ตอนที่ 1,311 ทุกคนพบเจอเหมือนกันหมดหรือไม่?
“เจ้าคงรู้สึกหมดหวังแล้วสินะ?”
พานตั่วชิงจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินด้วยสายตาแห่งความเย้ยหยันและแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เห็นหลินเป่ยเฉินเสียสติ
บรรดาผู้คนในห้องโถงใหญ่ต่างก็จ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความเวทนา
ผลคะแนนของพานตั่วชิงแทบจะเป็นสิ่งที่ชี้วัดผู้แพ้ชนะแล้ว
ปีศาจน้อยเจี๋ยนเซียวเหยาคงสูญเสียชื่อเสียงของตนเองในค่ำคืนนี้
“พี่ใบ้อย่าไปสนใจเขาเลย…”
ฮันลั่วเซวี่ยพยายามปลอบโยนหลินเป่ยเฉิน
นักบวชสาวเซียงเหยียนถอนหายใจและกล่าวว่า “บางครั้งการที่คนเราพบเจอช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก มันก็จะเป็นประสบการณ์ที่สอนให้เราเติบโตมากขึ้น หลังจากนี้ จิตใจของเจ้าจะแข็งแกร่งมากกว่าเดิม…”
“พี่ใหญ่ ทะ… ทะ… ท่านอย่าได้… สะ… สะ… เสียใจไปเลย”
เจ้าอ้วนพูดตะกุกตะกัก “ต่อให้… ทะ… ท่านต้องพ่ายแพ้ ขะ… ข้าก็ยังเป็น… นะ… น้องชาย… ของท่านอยู่เสมอ”
ส่วนเจ้ากิ้งก่ายักษ์รีบไปซ่อนตัวเพราะกลัวว่าตนเองจะเป็นที่ระบายอารมณ์ของหลินเป่ยเฉิน
ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินกำลังรู้สึกตื่นตระหนกอย่างแท้จริง
พานตั่วชิงได้คะแนนสูงถึงเพียงนั้น คงไม่ได้โกงหรอกกระมัง?
แล้วทำไมคะแนนถึงสูงขนาดนั้น?
หลินเป่ยเฉินไม่กลัวที่จะต้องยอมรับต่อหน้าทุกคนว่าเขาเป็นบุคคลหน้าหนาไร้ยางอาย
แต่เขากลัวที่จะสูญเสียศิลาเทวะหนึ่งหมื่นหนึ่งพันก้อนนั้นไปต่างหาก
ไม่ทราบเลยว่าต้องล่าสัตว์อสูรในหุบผาอเวจีให้ได้กี่ร้อยตัว หลินเป่ยเฉินถึงจะได้คะแนนศรัทธาเทียบเท่ากับศิลาเทวะเหล่านี้
แต่สิ่งที่นักบวชสาวเซียงเหยียนพูดออกมาก่อนหน้านี้ถูกต้องทุกประการ การวัดพลังความแข็งแกร่งไม่ได้หมายถึงความแข็งแกร่งเสียอย่างเดียว ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงไม่มีความมั่นใจเลยว่าตนเองจะสามารถวัดพลังออกมาได้หนึ่งร้อยคะแนนเต็ม
เขาจะทำอย่างไรดีนะ?
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนและจุดบุหรี่อีกหนึ่งมวน
ไม่รู้เลยว่าโทรศัพท์มือถือจะช่วยเหลือได้หรือไม่?
จะมีแอปพลิเคชันใดที่มีความสามารถช่วยเหลือเขาในเวลานี้ได้บ้าง?
หลินเป่ยเฉินพยายามใช้สมองขบคิดหาคำตอบ
ทันใดนั้น หูของเขาก็ได้ยินเสียงสายแส้สะบัดฟาดโบย
เพียะ!
เป็นสายแส้ฟาดโบยใส่บุคคลผู้หนึ่ง
เสียงดังชัดเจน
หลินเป่ยเฉินหันหน้าไปมอง
และเขาก็ได้เห็นชายฉกรรจ์ผู้มีนามว่าเซวี่ยอี้กำลังใช้สายแส้วิเศษเส้นหนึ่งเฆี่ยนตีจุ่ยถููอย่างรุนแรง
“ไร้ประโยชน์ ไร้ประโยชน์ ไร้ประโยชน์”
ชายฉกรรจ์ชักสีหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์ “เจ้าต้องเป็นผู้ที่มีคะแนนสูงสุดและนำของรางวัลกลับไปมอบให้แก่เทพแห่งเหมืองแร่ให้ได้สิ แต่นี่เจ้าทำคะแนนสู้เขาไม่ได้ เจ้ามันเป็นทาสรับใช้ที่ไร้ประโยชน์… เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ”
ปรากฏว่าด้วยความเคียดแค้นที่พวกของตนเองเป็นผู้แพ้ แต่เซวี่ยอี้ไม่กล้าระบายอารมณ์ใส่พานตั่วชิง เขาจึงมาระบายโทสะกับจุ่ยถููผู้ที่ได้หกสิบห้าคะแนนแทนแล้ว
จุ่ยถููยืนนิ่งเฉยไม่เคลื่อนไหว
ปล่อยให้สายแส้ฟาดโบยลงบนร่างกาย
ผิวหนังเกิดบาดแผล โลหิตสาดกระเซ็น
เป็นภาพที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง
แม้จุ่ยถููจะมีระดับพลังแข็งแกร่งกว่าเซวี่ยอี้ แต่ด้วยสถานะคนบาปที่ต่ำต้อย เขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความขยะแขยงและโกรธแค้น
“หุบปากของเจ้าไปเดี๋ยวนี้”
เขาร้องคำรามออกมา “น่ารำคาญ ข้าแทบจะหูหนวกด้วยเสียงของเจ้าแล้ว”
ชายฉกรรจ์นามเซวี่ยอี้หันหน้ามองมาที่หลินเป่ยเฉิน พูดโดยปราศจากความหวาดกลัว “เจ้าเป็นใคร กล้าดีอย่างไรมายุ่งเกี่ยวเรื่องของข้า?”
เซวี่ยอี้ไม่ใช่ผู้เข้าแข่งขัน แต่เป็นตัวแทนจากเทพเจ้าแห่งเมืองแร่ สถานะจึงสูงล้ำกว่าผู้เข้าแข่งขันทั่วไป… ยังไม่ต้องพูดถึงอีกว่าเจี๋ยนเซียวเหยากำลังจะต้องพ่ายแพ้ให้แก่พานตั่วชิง เพราะฉะนั้น จึงไม่มีสิ่งใดให้เซวี่ยอี้ต้องเกรงกลัวแม้แต่น้อย
“เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”
หลินเป่ยเฉินกระโดดวูบไปปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าเซวี่ยอี้
เพียะ!
เขาสะบัดมือตบหน้า
เซวี่ยอี้หมุนคว้างกลิ้งกระเด็น
เพียะ!
หลินเป่ยเฉินเดินตามเข้าไปตบหน้าซ้ำอีกหลายรอบ สุดท้าย เซวี่ยอี้ก็มีใบหน้าบวมช้ำยิ่งกว่าหัวหมูไหว้เจ้า
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลินเป่ยเฉินก็ปล่อยมือออกมาด้วยความพอใจ
เซวี่ยอี้มองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความขมขื่น กัดฟันกรอด พูดว่า “เจ้ากล้าดีอย่างไรมาตบตีข้า? เจ้าเป็นเพียงสาวกเทพีกระบี่ผู้ต่ำต้อย นายของเจ้าเป็นเพียงเทพเจ้าชั้นต่ำเท่านั้น รู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้มาดูถูกเทพีกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่?”
หลินเป่ยเฉินกระโดดกลับเข้าไปพร้อมกับกำปั้นทมิฬ “รนหาที่ตายซะแล้ว”
พลั่ก! พลั่ก!
แล้วศีรษะของเซวี่ยอี้ก็ยุบหายลงไปในช่องอก
โลหิตสีแดงสาดกระจาย
ตุบ!
ร่างไร้วิญญาณล้มลงกระแทกพื้นหิน
ไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมาอีกแล้ว
“เฮ้อ… ค่อยสบายใจหน่อย”
หลินเป่ยเฉินจุดไฟขึ้นมาบนฝ่ามือของตนเองเพื่อทำความสะอาดคราบเลือดที่เปื้อนบนร่างกาย
หลังจากฆ่าเซวี่ยอี้จอมโหดร้ายได้แล้ว เด็กหนุ่มก็มีอารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็น
และนับตั้งแต่ที่เหตุการณ์เกิดขึ้นจนกระทั่งจบลง จุ่ยถููก็ยังคงนั่งอยู่ด้านข้างไม่ขยับเขยื้อน
ใต้เท้าหมิงรั่วผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ ออกมา
ส่วนคนอื่น ๆ ในห้องโถงใหญ่ต่างก็รู้สึกหนังหัวชายิบกันหมดสิ้น
เห็นได้ชัดว่าเจี๋ยนเซียวเหยารู้ตัวว่าตนเองกำลังจะต้องพ่ายแพ้การเดิมพัน เขาจึงหันมาระบายอารมณ์เอากับเซวี่ยอี้และถึงกับฆ่าตัวแทนเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ได้โดยไม่สะทกสะท้าน สมแล้วที่เป็นเจ้าปีศาจน้อยผู้ไร้ซึ่งความหวาดกลัวตามคำเล่าลือ
แต่หลังจากนี้ ปัญหาคงตามมาอีกมากมายเป็นพรวน
“เจ้าอย่ามาถ่วงเวลาเลยดีกว่า”
พานตั่วชิงอาศัยจังหวะนี้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “เมื่อรู้ตัวว่าตนเองกำลังจะต้องพ่ายแพ้ แต่กลับไประบายอารมณ์ใส่ผู้อื่น… หึหึ นี่นับเป็นวิถีของยอดวีรบุรุษอย่างนั้นหรือ? ช่างน่าหัวเราะยิ่งนัก”
หลินเป่ยเฉินหันกลับมาถลึงตามองพานตั่วชิง ก่อนจะเดินตรงไปที่หอคอยผู้พิชิต
ลองวัดพลังดูก่อนแล้วกัน
ผลออกมาอย่างไรค่อยว่ากันอีกที
มุมปากของพานตั่วชิงกระตุกตัวเป็นรอยยิ้ม ก่อนพูดว่า “หากเจ้ายอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้ ข้าจะยกโทษให้ และเจ้าก็ไม่ต้องยอมรับต่อหน้าทุกคนว่าตนเองเป็นบุคคลไร้ยางอาย”
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
ใจดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ไม่สมกับเป็นพานตั่วชิงเลยสักนิด
แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเข้าใจเจตนาแท้จริงของพานตั่วชิง
แม้วาจาฟังเหมือนจะปลดปล่อยเจี๋ยนเซียวเหยา แต่ในความเป็นจริงนั้น นี่กลับเป็นการถากถางที่กดดันมากกว่าเดิม
หากเจี๋ยนเซียวเหยายอมรับข้อเสนอ ศักดิ์ศรีทั้งหมดของเขาก็คงย่อยยับลงในพริบตา
และจะไม่มีปีศาจน้อยผู้น่าเกรงขามในดินแดนทวยเทพอีกต่อไป
หากเจี๋ยนเซียวเหยายอมรับความพ่ายแพ้ เขาก็จะกลายเป็นตัวตลกให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะตลอดกาล ไม่มีโอกาสได้ล้างอายไปตลอดชีวิต
ฝีเท้าของหลินเป่ยเฉินเชื่องช้าลง
“เจ้าถามว่าข้ารู้สึกหมดหวังแล้วใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินพูดโดยไม่หันหน้ามองกลับไป “พานตั่วชิง เจ้าต่างหากที่กำลังจะต้องรู้สึกหมดหวัง”
พูดจบ เขาก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหอคอยผู้พิชิต
แล้วลำแสงสีแดงเข้มก็ถูกยิงออกมาจากหอคอยรัดพันลำตัวของหลินเป่ยเฉินลากเขาเข้าสู่ด้านใน
…
“หืม? ข้างในหอคอยเป็นแบบนี้เองเหรอเนี่ย? เหมือนเป็นโลกใบเล็ก ๆ เลยแฮะ”
รอบกายมีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า
ไม่มีด้านบนด้านล่าง ไม่มีด้านซ้ายด้านขวา ไม่มีตะวันออก ไม่มีตะวันตก
มีเพียงอย่างเดียวคือจุดดาราสีแดงรอบบริเวณ
ห่างออกไปหลายสิบวา ภาพจำลองของหมวกเหล็กอมตะตั้งตระหง่านไม่ต่างจากภูเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่ง
“พลังที่แผ่ออกมาจากหมวกเหล็กทำไมเรารู้สึกคุ้น ๆ จังเลยนะ…”
หลินเป่ยเฉินสัมผัสพลังที่แผ่มากระทบผิวกาย…
ปรากฏว่ามวลพลังที่แผ่ออกมาจากหมวกเหล็กอมตะนั้น คล้ายคลึงกับมวลพลังที่แผ่ออกมาจากถุงมือทองคำที่ใต้เท้ากั้วมอบเป็นของขวัญให้เขามาก่อนหน้านี้
ไม่สิ จะบอกว่า ‘คล้ายคลึง’ กันไม่ได้
ต้องบอกว่ามันเป็นพลังชนิดเดียวกันเลยต่างหาก
แต่มันจะเป็นจริงหรือ?
หรือว่าหลินเป่ยเฉินคิดไปเอง?
แต่ในไม่ช้า เด็กหนุ่มก็ได้ทราบว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง
เพราะว่าในลมหายใจต่อมา ภาพจำลองของหมวกเหล็กขนาดใหญ่ก็ลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว มันเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง ไม่ต่างจากเด็กน้อยได้พบเห็นบิดา มวลอากาศเกิดความปั่นป่วน แล้วหมวกเหล็กใบนั้นก็พุ่งตรงเข้ามาหาหลินเป่ยเฉิน
“อ้าวเฮ้ย นี่มัน…”
หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกไปรับไว้ตามสัญชาตญาณ
หมวกเหล็กอมตะเข้ามาอยู่ในมือของเขาอย่างง่ายดาย…
มิหนำซ้ำ มันยังหมุนวนไปมาด้วยความตื่นเต้นอีกต่างหาก
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
ตกลงนี่ไม่ใช่ภาพจำลองหรอกหรือ?
ทำไมมันถึงดูเหมือนหมวกของจริงขนาดนี้
สามารถจับต้องได้ด้วย
หืม?
นี่เขากำลังถือหมวกเหล็กอมตะของจริงอยู่ในมือใช่หรือไม่?
นี่เป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการทดสอบความแข็งแกร่งหรือเปล่า?
ทุกคนที่เข้ารับการวัดพลังต้องประสบพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกันหรือไม่?
แปลกชะมัด
“ว่าแต่ทำไมถึงไม่เห็นคัมภีร์ไพรีดารารายเลยล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองรอบตัวด้วยความสงสัย
ทันใดนั้น เขาก็เห็นผมเส้นหนึ่งลอยอยู่ในอากาศห่างออกไปประมาณห้าวา
เป็นเส้นผมสีดำที่ขดงอเส้นหนึ่ง
มันมีความยาวเท่ากับหนึ่งนิ้วมือ
“ฮะ… ผมใครวะเนี่ย”
หลินเป่ยเฉินขบคิดด้วยความแปลกใจ “นี่คือหนึ่งในเครื่องมือที่จะใช้วัดพลังหรือเปล่า? แต่คนบ้าที่ไหนกันจะใช้เส้นผมมาวัดพลังคนอื่น?”