ตอนที่ 1,332 เรื่องมันยาว
ชายฉกรรจ์หมวกเหล็กเป็นนักรบชั้นนำภายใต้อาณัติของขุนนางเทวะอวิ๋นอิง
เพียงป้ายศักดิ์สิทธิ์ในมือของเขาก็มีพลังกดดันมากพอแล้ว
เมื่อประกอบการโจมตีร่วมเข้ากับค้อนเหล็กนั้น มวลอากาศก็เกิดความปั่นป่วน คลื่นพลังแผ่รัศมีกดดันไปรอบบริเวณ…
นี่คือค้อนทมิฬที่สามารถทุบทำลายโลกได้ทั้งใบ
ค้อนทมิฬกำลังจะฟาดใส่ท้ายทอยของหลินเป่ยเฉิน…
ชายฉกรรจ์หมวกเหล็กยิ้มมุมปากเย้ยหยัน
แต่ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็พร่ามัว
ส่วนที่ควรจะเป็นท้ายทอยของฝ่ายตรงข้ามกลับเป็นใบหน้าผู้คน
ใบหน้าที่มีหน้ากากสัตว์อสูรปกคลุม ริมฝีปากของหน้ากากนั้นแสยะยิ้ม…
ชายฉกรรจ์หมวกเหล็กตัวสั่นสะท้าน
ไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบรับ
แขนกระตุก
ค้อนทมิฬปลิวกระเด็นหลุดออกจากมือ
ฝ่ามือที่ขาวเนียนคว้ารวบลำคอของเขา และยกตัวของชายฉกรรจ์หมวกเหล็กลอยขึ้นในอากาศราวกับเป็นกระสอบป่านเก่าขาดใบหนึ่ง
“นี่คือคำเตือนแรกและคำเตือนสุดท้าย…”
เสียงที่เต็มไปด้วยความอำมหิตดังออกมาจากหลังหน้ากากสัตว์อสูรนั้น ดวงตาที่อยู่หลังหน้ากากเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความเดือดดาล “ห้ามไม่ให้… มีผู้ใด… มารบกวน… ข้าอีก!”
ชายฉกรรจ์หมวกเหล็กดิ้นรนด้วยความทุรนทุราย
มือที่กำลำคอของเขาแข็งแกร่งเกินไปที่จะสลัดหลุดพ้น
บัดนี้ ชายฉกรรจ์หมวกเหล็กรู้สึกเหมือนตนเองไม่ต่างไปจากแกะน้อยที่อยู่ใต้อุ้งเท้าของพญามังกร ต่อให้เคยเป็นคนที่มีจิตใจกล้าหาญเพียงใด ความกล้าหาญเหล่านั้นก็ได้สลายหายไปหมดสิ้นแล้ว
ชายฉกรรจ์หมวกเหล็กไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลยสักคำเดียว
พลั่ก!
ร่างของเขาถูกโยนทิ้งลงบนพื้นดินอย่างแรง
กระดูกแตกหักทั่วร่างกาย
หลังจากนั้น ชายฉกรรจ์หมวกเหล็กก็เห็นเด็กหนุ่มในชุดเกราะทมิฬผู้นั้นหันหลังกลับและเดินตรงไปยังโพรงถ้ำ…
ชายฉกรรจ์หมวกเหล็กพูดอะไรไม่ออก
เนื่องจากเขากำลังตกตะลึงในความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย
หลินเป่ยเฉินเดินมาถึงทางเข้าถ้ำใต้ดิน…
ปึก!
ลำแสงสีดำพุ่งมาหยุดอยู่แทบเท้าของเขา
เป็นเสียมขุดดินขนาดใหญ่ยักษ์ปักลงในพื้นหินลึกครึ่งหนึ่ง ด้ามเสียมยังคงสั่นไหวด้วยแรงสั่นสะเทือนในอากาศ
“อย่ามายุ่งกับข้า”
เสียงของฉู่เหินดังออกมาจากในถ้ำ
บ่งบอกถึงความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักและกล่าวว่า “สิ่งที่น่าเบื่อที่สุดก็คือการเจรจากับท่านนี่แหละ…”
ตึกตึก! ตึกตึก!
ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอยู่ภายในถ้ำ
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไป “ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าอยากจะใช้ชีวิตเช่นไร ข้าอยากจะตื่นขึ้นมาหัวเราะเยาะใส่ทุกคน ลืมเลือนความฝันในชีวิต ขจัดความรักและความเกลียดชัง ร่ำสุราร้องเพลงทั้งวันทั้งคืน ข้าเพียงอยากใช้ชีวิตเช่นคนเสเพลไปจนวันตาย…”
“เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่?”
เสียงของฉู่เหินดังกลับออกมาอีกครั้ง คราวนี้เสียงสั่นเครืออย่างไม่อาจปิดบัง
หลินเป่ยเฉินถามกลับไปว่า “ไม่ทราบ… ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่?”
“เจ้า… เชิญเข้ามาได้”
ฉู่เหินรีบปรับเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง น้ำเสียงกลับมาสงบสุขุมดังเดิม แต่มีเพียงคนสนิทเท่านั้นจึงจะรู้ว่าอารมณ์ความรู้สึกของเขากำลังร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง
หลินเป่ยเฉินก้าวเท้าข้ามเสียมขุดดินและเดินเข้าสู่ด้านในถ้ำหิน
ร่างของเขาหายลับไปในความมืด
บริเวณปากทางเข้าถ้ำ
กลุ่มลูกสมุนทั้งห้าคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่กเมื่อเห็นร่างของผู้เป็นลูกพี่ใหญ่หายไปจากคลองสายตา
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เมื่อสักครู่นี้นายท่านใช่ร่ายบทกวีบอกรักหรือไม่?”
“เรื่องนั้นข้าไม่แน่ใจนะ แต่จุ่ยถููเป็นบุรุษไม่ใช่หรือ?”
“ดูเหมือนว่า…”
“บทกวีจากนายท่านจะทำให้จุ่ยถููใจอ่อนแล้วกระมัง?”
“ผู้ใดพูดนะว่านายท่านรับมือบุรุษไม่ได้หรอก?”
กลุ่มคุณชายผู้สูงศักดิ์รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทันใดนั้น พวกเขาก็รู้สึกหนาวหนาว ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ยิ่งคิดถึงเรื่องราวนี้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นกลัวมากเท่านั้น
ชายฉกรรจ์หมวกเหล็กยังคงนอนหมดสภาพอยู่บนพื้นดิน
นี่คือเรื่องปกติใช่หรือไม่?
นายท่านของพวกเขาแม้แต่เทพเจ้าก็ยังทุบตีได้ไม่มีปัญหา นับประสาอะไรกับนักรบเทวะผู้หนึ่ง?
ทุกคนล้วนวิตกกังวลว่าหากนักรบเทวะผู้นี้ตายไป การจะไถ่ตัวคนบาปจุ่ยถููออกมาก็คงมีปัญหายุ่งยากมากกว่าเดิมหลายเท่า
ทันใดนั้น พวกเขาสังเกตเห็นว่าชายฉกรรจ์หมวกเหล็กได้สิ้นลมหายใจไปเรียบร้อยแล้ว
…
ในถ้ำใต้ดินมีแสงสว่างเรืองรอง
แสงสว่างเหล่านั้นมาจากแท่งแร่เรืองแสงที่ติดอยู่บนเพดานถ้ำเป็นจำนวนมาก
พื้นที่ภายในถ้ำใต้ดินได้รับการทำความสะอาดและจัดวางสิ่งของอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ที่นี่มีแม้กระทั่งห้องนอนที่ถูกขุดลึกเข้าไปในผนังหิน และห้องนอนก็มีขนาดกว้างใหญ่ไม่ใช่น้อย
ส่วนห้องนั่งเล่นหน้าห้องนอนนั้นก็มีข้าวของเครื่องใช้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ หีบบรรจุสิ่งของ…
ทุกสิ่งทุกอย่างแกะสลักขึ้นมาจากก้อนหินขาว รูปแบบการแกะสลักบ่งบอกถึงความเป็นเมืองหยุนเมิ่งชัดเจน
หลินเป่ยเฉินเดินตามเข้ามาและจ้องมองไปที่ใบหน้าของฉู่เหิน
ริมฝีปากของเขาสั่นระริก คำพูดจำนวนมากกระจุกอยู่ที่ลำคอ สุดท้าย เขาก็กล่าวออกมาได้เพียงหนึ่งประโยคว่า “อาจารย์ฉู่ ในที่สุด ข้าก็หาท่านพบแล้ว”
ทันใดนั้น ฉู่เหินพยายามข่มความตื่นเต้นอย่างสุดความสามารถ จ้องมองมาที่หน้ากากของหลินเป่ยเฉินและถามว่า “เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่?”
แม้ว่าชายวัยกลางคนจะพอคาดเดาได้อยู่แล้ว
แต่เขาก็ไม่กล้าพูดออกมา
เพราะนี่มันเหมือนความฝันมากเกินไป
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ปลดหน้ากากลงมา
ฉู่เหินยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้นเอง
“เจ้า…”
เขาขยับเท้าก้าวออกมาข้างหน้า ก่อนหยุดชะงัก “เจ้าลูกเต่า… เจ้ามาเป็นเทพเจ้าได้อย่างไร? เจ้ามาที่นี่… ได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้าง “จะไม่กอดกันหน่อยหรือขอรับ?”
ฉู่เหินแสดงสีหน้ารังเกียจขึ้นมาทันที “ข้าไม่เคยกอดบุรุษ”
แต่ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็ถูกดึงเข้าไปสวมกอดด้วยแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือ
“อะแฮ่ม…”
หลินเป่ยเฉินพยายามดิ้นรนขัดขืน “ใจเย็นก่อนขอรับ… กระดูกของข้าจะแตกหักหมดแล้ว เป็นแขนของท่านแข็งแกร่งมากเกินไป”
“อ้อ ข้าลืมตัวไปเสียสนิทเลย… ขอโทษที”
ฉู่เหินปล่อยตัวเด็กหนุ่ม
หลินเป่ยเฉินบ่นอุบ “ข้าว่าท่านตั้งใจกลั่นแกล้งข้ามากกว่า…”
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่นี้
“แค่ก แค่ก แค่ก….”
เสียงไออย่างรุนแรงก็ดังออกมาจากห้องนอนที่อยู่ในผนังหิน
“เหล่าไต้ตื่นแล้ว…”
ฉู่เหินหยุดชะงักและกล่าวว่า “จริงด้วยสิ เจ้ารีบเข้าไปดูเหล่าไต้ก่อนดีกว่า อาการของเขาไม่ค่อยดี… เขาป่วยเป็นโรคบุปผามรณะ… เฮ้อ”
ฉู่เหินกับหลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปในห้องนอนด้านใน
เตียงหินขนาดใหญ่ปูรองด้วยเบาะอันนุ่มนิ่ม
บนเตียงหลังนั้นชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งกำลังนั่งไออย่างรุนแรง หน้าอกของเขาพองขึ้นยุบลง ร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก…
แต่ถึงกระนั้น หลินเป่ยเฉินก็ยังจำได้ตั้งแต่แรกเห็นว่านี่คือไต้จือฉุน
อดีตมือกระบี่ฝีมือฉกาจที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองหยุนเมิ่งเพื่อใช้ชีวิตเรียบง่ายและสงบสุข แต่ในยามที่ชาวเมืองเผชิญหน้าการคุกคามจากชาวทะเล ไต้จือฉุนผู้นี้กลับแสดงตัวออกมาช่วยเหลือผู้คนอย่างไม่เกรงกลัวความตาย…
และเขาก็เป็นหนึ่งในกลุ่มองครักษ์พิทักษ์องค์ชายเจ็ดกลับสู่มหานคร
แต่บัดนี้…
“พี่ไต้ ขะ…ข้ามาสายแล้ว”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปจับแขนของไต้จือฉุน
ก่อนจะโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ ช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายของอีกฝ่ายเท่าที่จะทำได้
ไต้จือฉุนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน ตอนแรกเข้าใจว่าตนเองกำลังจะตายจึงได้มองเห็นภาพหลอน แต่เมื่อพลังในร่างกายเริ่มฟื้นคืนขึ้นมา สติสัมปชัญญะของเขาก็กลับมาแจ่มใส ในที่สุด ไต้จือฉุนก็มั่นใจแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างคือความจริง
“น้องชาย จะ…เจ้าก็ถูกจับตัวมาที่นี่เหมือนกันหรือ?”
ไต้จือฉุนถามออกมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
หลินเป่ยเฉินจึงต้องรีบอธิบายเรื่องราวทั้งหมดโดยเร็ว
ฉู่เหินช่วยกล่าวเสริมว่า “ใช่แล้ว เจ้าลูกเต่าผู้นี้คือเจี๋ยนเซียวเหยา เทพเจ้าหนุ่มผู้มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่เกรียงไกรในเมืองเยี่ยเฉิง เหล่าไต้ ข้าบอกเจ้าแล้ว… พวกเรามีความหวังแล้วจริง ๆ”
ไต้จือฉุนยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
ทันใดนั้น เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงจับมือหลินเป่ยเฉินและถามว่า “ภรรยากับ… พวกนางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “พี่ไต้ไม่ต้องเป็นกังวล ภรรยาและบุตรสาวของท่านยังปลอดภัยดี และพวกนางก็คิดถึงท่านมาก… บัดนี้ ท่านดูแลตนเองก่อนดีกว่า อีกไม่กี่วันหลังจากนี้ ข้าจะพาพวกท่านกลับบ้าน”
“จริงหรือ… เจ้าพาพวกเรากลับไปได้แน่นะ?”
ฉู่เหินผู้ยืนอยู่ด้านข้างถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
“จริงสิขอรับ”
หลินเป่ยเฉินตอบรับด้วยความกระตือรือร้น
ด้วยการใช้บริการแท็กซี่ตี๋น้อย แค่เพิ่มผู้โดยสารอีกสองคนคงไม่มีปัญหาอะไร
ทั้งฉู่เหินทั้งไต้จือฉุนต่างก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้งว่า “สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ขอรับ? ทำไมพวกท่านถึงมาอยู่ที่นี่ ข้าหรือก็อุตส่าห์ค้นหาพวกท่านทั่วจักรวรรดิเป่ยไห่เสียตั้งนาน…”
ฉู่เหินถอนหายใจตอบว่า “เรื่องมันยาวน่ะ…”