ตอนที่ 1,336 เจ้าบังคับให้ข้าต้องใช้วิธีการนี้
มือยักษ์ข้างนี้เป็นมือข้างเดียวกับที่พุ่งทะลวงแผ่นฟ้าลงมาไล่จับผู้คนชาวเมืองหลิวตงในคืนนั้น
เมื่อเห็นมือข้างนี้ ภาพแห่งฝันร้ายก็ฉายซ้ำกลับมา
ในหัวใจของฉู่เหินกับไต้จือฉุนร้อนผ่าวด้วยความโกรธแค้น
ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์กว่าแปดแสนชีวิตต้องตายเพราะมือยักษ์ข้างนี้
ฉู่เหินกำมือเป็นหมัดด้วยความเดือดดาล หนวดเคราของเขาปลิวไสว
“พวกเรารีบไปกันเถอะ”
เฉียนหลงวิ่งเข้ามาดึงมือฉู่เหิน
“ปล่อยให้นายท่านจัดการไป นายท่านรับมือได้อยู่แล้ว”
“อยู่ที่นี่ต่อไปพวกเราก็ช่วยอะไรไม่ได้”
มู่หลินเซินและพรรคพวกรีบเข้ามาฉุดลากตัวฉู่เหินกับไต้จือฉุนให้รีบหลบหนีไป
“จริงด้วยสินะ”
ฉู่เหินได้สติขึ้นมาทันที “พวกท่านพูดจามีเหตุผลนัก…. พวกเรารีบหนีกันเถอะ”
แล้วเขาก็หมุนตัววิ่งหนีนำหน้าทุกคนไป
ในยามอันตรายเช่นนี้ มีแต่ต้องเชื่อมั่นในตัวพรรคพวกของตนเองเท่านั้น
ในเมื่อหลินเป่ยเฉินสั่งให้พวกเขารีบหลบหนีไปก่อน ก็หมายความว่าเจ้าเด็กนั่นคงมีวิธีรับมืออยู่แล้ว ต้องไม่ลืมว่าตอนอยู่ที่จักรวรรดิเป่ยไห่ หลินเป่ยเฉินก็เคยสร้างปาฏิหาริย์มานับครั้งไม่ถ้วน
ครั้งนี้เองก็คงไม่ต่างกัน…
ครืน!
เสียงแผ่นดินสั่นสะเทือนดังขึ้นจากทางด้านหลัง
พื้นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง
เกิดคลื่นพลังไล่หลังมาแทบทำให้กลุ่มคนที่วิ่งหลบหนีล้มคะมำลง
ฉู่เหินเหลียวหน้ามองกลับไป
ปรากฏว่าหลินเป่ยเฉินถูกฝ่ามือยักษ์ข้างนั้นตบลงไปกับพื้นดินเสียแล้ว
???
พวกของฉู่เหินได้แต่เบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
หลินเป่ยเฉินที่เคยยืนหยัดต่อสู้กับมือยักษ์อย่างสง่างาม เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น…
นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรวดเร็วมากเกินไป
มือยักษ์ข้างนั้นกดทับหลินเป่ยเฉินจมหายลงไปใต้ดินครึ่งลำตัว และบัดนี้ มือยักษ์ข้างนั้นก็กำลังกดทับกายท่อนบนที่โผล่พ้นพื้นดินของเด็กหนุ่ม จนกระทั่งเหลือเพียงศีรษะของเขาเท่านั้นที่ยื่นพ้นออกมาจากฝ่ามือที่กลายเป็นภูเขาหินขนาดใหญ่โตมโหฬาร…
“เชี่ย”
หลินเป่ยเฉินร้องตะโกนด้วยความโกรธแค้น “เจ้าเห็นข้าเป็นหงอคงหรือไง ข้าไม่อยากสวมใส่รัดเกล้าทองคำ ข้าไม่อยากไปค้นหาพระไตรปิฎกที่ชมพูทวีปนะเฟ้ย!”
ฉู่เหินหันมามองหน้าพรรคพวกของตนเองเพราะไม่รู้เลยว่าหลินเป่ยเฉินกำลังพูดถึงอะไร
หรือว่าหลินเป่ยเฉินจะถูกมือยักษ์ตบจนเสียสติไปแล้ว?
ทันใดนั้น…
วูบ! วูบ! วูบ!
เงาร่างหลายสายพุ่งออกมาจากเหมืองใต้ดิน
ในกลุ่มเงาร่างเหล่านั้นปรากฏใต้เท้าอวิ๋นอิงผู้ถือขวานเหล็กตามออกมาด้วย
“เจี๋ยนเซียวเหยา เวลาตายของเจ้ามาถึงแล้ว”
เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินถูกฝ่ามือยักษ์ข้างนั้นกดทับเหลือแต่ศีรษะโผล่พ้นออกมา จิตสังหารของใต้เท้าอวิ๋นอิงก็เข้มข้นสุดขีด เขารีบวิ่งเข้าไปพร้อมกับเงื้อขวานในมือขึ้นด้วยความโกรธแค้น
“ไม่ได้การแล้ว พวกเรารีบปกป้องนายท่าน”
เมื่อเห็นเหตุการณ์คับขัน เฉียนหลงก็ร้องตะโกนพร้อมกับใช้สองแขนผลักลู่ปิงเหวินกับมู่หลินเซินออกไปข้างหน้า ส่วนตนเองก็ถอยหลังพร้อมกับสำทับว่า “ข้าจะคอยระวังหลังให้พวกเจ้าเอง”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
นี่ยังมีเวลามาเกี่ยงกันอีกหรือไง?
เคร้ง!
ได้ยินเสียงเหล็กและทองคำกระทบกันดังขึ้น
ในวิกฤตการณ์ของหลินเป่ยเฉิน ฉู่เหินพลันมาปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าเด็กหนุ่มและใช้แขนของตนเองขึ้นรับขวานใหญ่ในมือใต้เท้าอวิ๋นอิง
ใต้เท้าอวิ๋นอิงเซถอยหลังไปสองก้าว
ส่วนฉู่เหินก็มีโลหิตไหลทะลักออกปากออกจมูก
ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
อันที่จริง ความแข็งแกร่งของฉู่เหินไม่ได้เป็นรองใต้เท้าอวิ๋นอิง แต่ด้วยความที่ตนเองมีสถานะคนบาป พลังบางส่วนจึงถูกกดทับเอาไว้เมื่อต่อสู้กับผู้ที่มีสถานะเป็นเทพเจ้า
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉู่เหินได้รับบาดเจ็บ
“เจ้าคนบาปโสโครก กล้าดีอย่างไรมาขวางทางข้า?”
ใต้เท้าอวิ๋นอิงระเบิดเสียงคำรามด้วยความเดือดดาล ขวานใหญ่ในมือยกขึ้นสูงอีกครั้ง
แต่ลมหายใจต่อมา เงาร่างสีดำก็เคลื่อนผ่านไป
ฟู่!
โลหิตพุ่งกระฉูดออกมาจากแขนของใต้เท้าอวิ๋นอิง
“นี่มันอะไรกัน?”
ใต้เท้าอวิ๋นอิงรีบถอยหลังออกมาด้วยความตกตะลึง
เงาดำเมื่อสักครู่นี้คืออะไร?
มือสังหาร?
ใต้เท้าอวิ๋นอิงรู้ดีว่าตนเองมีร่างกายแข็งแกร่ง นักรบธรรมดาไม่มีทางใช้อาวุธโจมตีตนเองจนเลือดตกยางออกเช่นนี้ได้ แต่วันนี้ เขาได้รับบาดเจ็บเป็นครั้งที่สองแล้ว จึงทำให้ใต้เท้าอวิ๋นอิงอดรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาไม่ได้
“เร็วเข้า รีบไปทำลายมือยักษ์นั้นและช่วยนายน้อยออกมา”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของฉู่เหิน
เป็นเสียงที่คุ้นหูอย่างยิ่ง
แต่เขากลับจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของใคร
ทว่า นี่ไม่ใช่เวลาจะมานึกหาคำตอบอีกแล้ว
ฉู่เหินหมุนตัวหันกลับไปลงมือทันที
นิ้วมือทั้งสิบของเขากางออกกว้าง แขนกลอันสวยงามสะท้อนประกายแวววาว แล้วข้อมือขวาของเขาก็หมุนวนไม่ต่างจากหัวเจาะสว่าน ในขณะที่มือซ้ายทำหน้าที่ไม่ต่างจากที่ตักดิน ฉู่เหินใช้สองมือของตนเองขุดเจาะมือยักษ์บริเวณเหนือศีรษะของหลินเป่ยเฉินด้วยความรวดเร็วยิ่ง…
ให้ตายสิ
หลินเป่ยเฉินแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองเห็น
นี่คือความเปลี่ยนแปลงของแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือให้เหมาะสมต่อการทำงานขุดเหมืองใช่หรือไม่?
ฉู่เหินมีความชำนาญในการขุดเจาะเป็นอย่างยิ่ง
ครืด! ครืด! ครืด! ครืด! ครืด! ครืด!
สะเก็ดไฟสาดกระจาย
เศษหินจำนวนมากกระจายไปรอบทิศทาง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกหูอื้อเหมือนตนเองกำลังจะหูหนวกในอีกไม่ช้า
“ไม่ไหว มันแข็งเกินไป”
ฉู่เหินรีบหยุดโดยทันที
ฝ่ามือยักษ์ที่แปรเปลี่ยนเป็นก้อนหินขนาดใหญ่มีความแข็งแกร่งมากเกินไปจนแม้แต่แขนกลของฉู่เหินก็ขุดเจาะไม่เข้า
“พยายามต่อไป”
เสียงของกงกงกระตุ้นเตือนด้วยความเร่งร้อน
หลังจากที่เขาขึ้นมาอยู่บนดินแดนทวยเทพ ร่างกายของกงกงก็เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่เทพเจ้า กงกงสามารถยื้อเวลาสู้กับใต้เท้าอวิ๋นอิงได้เพียงไม่นานเท่านั้น ยิ่งต่อสู้กันไปนานมากเท่าไหร่ ระดับพลังของเขาก็ยิ่งลดลงมากเท่านั้น
นี่คือช่องว่างระหว่างพลังของพลเมืองทั่วไปกับผู้ที่มีสถานะเป็นเทพเจ้า ซึ่งต่อให้มีความแข็งแกร่งเท่ากัน แต่ก็ไม่สามารถสู้กันได้ในระยะยาว
หลินเป่ยเฉินโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ หวังจะใช้ถุงมือเทวฤทธิ์และหมวกเหล็กอมตะช่วยพาตนเองออกจากใต้ฝ่ามือภูเขาหิน แต่กลับปรากฏว่าฝ่ามือภูเขาหินนี้ไม่สะเทือนแม้แต่น้อย
นี่สินะความน่ากลัวของหนึ่งในเจ็ดเทพสงคราม?
เป็นไปตามคาด หลินเป่ยเฉินรู้แล้วว่าขั้นพลังของตนเองในปัจจุบัน ยังห่างไกลจากเทพเจ้าชนชั้นผู้นำอยู่อีกมากนัก
สถานการณ์เริ่มแย่ลงทุกที
บรรดานักรบใต้อาณัติของเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ทยอยวิ่งออกมาจากเหมืองใต้ดิน และนักรบเหล่านั้นก็วางกำลังล้อมกรอบพวกของหลินเป่ยเฉินอยู่ตรงกลาง
“ฆ่ามัน”
“อย่าให้พวกมันหนีไปได้ ฆ่าพวกมันให้หมด”
ใต้เท้าอวิ๋นอิงยกขวานเหล็กที่มีขนาดใหญ่มากกว่าตนเองจามเข้าใส่เงาดำของกงกง ในเวลาเดียวกันนี้ ก็ระเบิดพลังกดดันคุกคามใส่พวกของหลินเป่ยเฉิน
“บัดซบ เรื่องใหญ่แล้วสิทีนี้”
เฉียนหลงชักกระบี่ของตนเองออกมาด้วยความขมขื่น
สัญชาตญาณของเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายใหญ่หลวง
ก่อนหน้านี้ สัญชาตญาณบอกเขาว่าการเดินทางมายังเหมืองใต้ดิน จะเป็นการเดินทางของความรุ่งเรืองแห่งชีวิต
แต่บัดนี้ สัญชาตญาณเอาแต่ร้องเตือนเฉียนหลงว่า …เจ้าตายแน่!
“ข้าส่งสัญญาณออกไปไม่ได้… ข้าขอความช่วยเหลือไม่ได้”
ลู่ปิงเหวินมีสีหน้าร้อนรน ร่างกายปกคลุมด้วยเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ เงาร่างวิหคเพลิงตัวหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา ด้วยรูปลักษณ์ที่สง่างามของเงาร่างวิหคเพลิง มันจึงดูแตกต่างมากกว่าวิหคเพลิงทั่วไป
“ให้ตายสิ ข้าอยากรู้นักว่าเมื่อสักครู่นี้ ผู้ใดเป็นคนผลักข้าออกมา”
ลำแสงสีเขียวสว่างเรืองรองออกมาจากศีรษะของมู่หลินเซิน
ทันใดนั้น ลำแสงสีเขียวก็แผ่ปกคลุมทั่วร่างกายของชายหนุ่ม มิหนำซ้ำ ลำแสงสีเขียวนั้นยังส่องแสงสว่างไปรอบทิศทางอีกด้วย
และทุกคนที่ได้รับการอาบไล้แสงสีเขียวนี้ ระดับพลังในร่างกายของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นทวีคูณ
ในเวลาเดียวกันนี้ มู่หลินเซินโบกสะบัดสองมือโปรยเมล็ดพืชบางชนิดออกมา ฉับพลันนั้น เมล็ดพืชเหล่านั้นก็กลายเป็นเถาวัลย์ไม้เลื้อยพุ่งเข้าไปหากลุ่มศัตรูพร้อมกับหนามแหลมทิ่มแทงส่งโลหิตสาดกระจาย…
ปรากฏว่านี่คือรูปแบบการโจมตีของผู้คนจากเผ่าเทพไม้เขียว
กวนรั่วเฟยและซือเกินตั๋งก็กำลังต่อสู้อย่างสุดกำลังเพื่อปกป้องหลินเป่ยเฉินที่อยู่ด้านหลัง
หลินเป่ยเฉินก้มหน้าต่ำด้วยความเศร้า
“แม่งเอ๊ย เกลียดบทแบบนี้จริง ๆ”
เขาพูดพึมพำ
ขณะนี้ ปรากฏนักรบเทวะระดับสูงภายใต้อาณัติของเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ได้เข้าร่วมการต่อสู้เพิ่มมาอีกหนึ่งคน
สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่มากกว่าเดิม
พลั่ก!
กงกงถูกต่อยกระเด็นจนล้มกลิ้ง
ฉู่เหินถูกโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า
บรรดาคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งห้าต่างมีบาดแผลฉกรรจ์กันอย่างถ้วนหน้า โลหิตไหลทะลักท่วมตัว…
“เจี๋ยนเซียวเหยา เจ้ากล้ามาก่อกวนที่เหมืองของข้า…”
ใต้เท้าอวิ๋นอิงควงขวางใหญ่ด้วยจิตสังหารแรงกล้า ดวงตาแดงก่ำด้วยเส้นเลือด สีหน้าบอกชัดถึงความเกลียดชังอันดุร้าย สองเท้าเดินเข้าหาหลินเป่ยเฉิน “บัดนี้ เจ้ากำลังจะต้องตายด้วยมือข้าแล้ว คงคิดไม่ถึงเลยสินะ ฮ่า ๆๆ …ตายซะเถอะ”
ขวานใหญ่ถูกจามลงมาด้วยความอำมหิต
“เจ้าบังคับให้ข้าต้องใช้วิธีการนี้เองนะ”
หลินเป่ยเฉินพ่นลมผ่านทางจมูกอย่างเย็นชาและตะโกนว่า “ช่วยข้าน้อยด้วยขอรับ”
กึก!
ทันใดนั้น ขวานใหญ่ในมือของใต้เท้าอวิ๋นอิงก็หยุดค้างอยู่กลางอากาศ ไม่สามารถจามลงมาได้แม้แต่นิดเดียว
ห่างไกลออกไป ได้ยินเสียงที่เบื่อหน่ายดังขึ้นว่า “เหตุไฉนเจ้าถึงต้องก่อปัญหาอยู่เรื่อยเลยนะ?”