ตอนที่ 1,339 ข้าไม่เชื่อ
ซ่า!
น้ำร้อนอุ่นสายหนึ่งราดรดลงไปที่ใบหน้าของใต้เท้าอวิ๋นอิง
ในขณะนี้ ไต้จือฉุนเป็นผู้ที่มีพลังอ่อนด้อยที่สุดในกลุ่มคนของหลินเป่ยเฉิน
แต่เดิมทีนั้น ไต้จือฉุนมีความแข็งแกร่งมากยิ่งกว่าฉู่เหินเสียอีก แต่เขาเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหยุนเมิ่งกับภรรยาและบุตรสาวอย่างเงียบสงบ
สำหรับบุคคลประเภทนี้ ต่อให้ชีวิตอยู่ในจุดต่ำสุด ก็ยังไม่อาจซ่อนเร้นสัญชาตญาณของความเป็นผู้กล้า
เขามักจะทำสิ่งที่ผู้อื่นไม่กระทำ
กลุ่มคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งห้าหันมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
น่าประทับใจ
บรรดาคนสนิทมิตรสหายของนายท่านล้วนแล้วแต่น่าประทับใจทั้งสิ้น
พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนป่วยผู้นี้จะถึงกับกล้าฉี่รดใบหน้าของขุนนางเทวะ
นี่เป็นการระบายความแค้นได้ดีกว่าการรัวพายุกำปั้นของพวกเขาเมื่อสักครู่นี้เสียอีก
“ข้า…”
ลู่ปิงเหวินกลืนน้ำลายลงคอและพูดว่า “ข้าชักรู้สึกปวดฉี่ขึ้นมาบ้างแล้วสิ…”
มู่หลินเซินพูดด้วยความกระตือรือร้นว่า “พอเจ้าพูดออกมาเช่นนี้ ข้าก็ชักจะรู้สึกปวดขึ้นมาเช่นกัน…”
“ครั้งนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าตัดหน้าข้าไปอีก”
ซือเกินตั๋งผู้โง่เขลาที่สุดในกลุ่มถึงกับเริ่มปลดเข็มขัดและเตรียมถอดกางเกงแล้ว
“เจ้าพวกจั๊ดง่าว*[1]เอ๊ย”
หลินเป่ยเฉินต้องเดินเข้ามาห้ามปราม “พวกเจ้าดื่มสุราชั้นเลิศกันมาตลอดทั้งคืน ระบบเผาผลาญในร่างกายยังทำงานไม่เต็มที่ ระวังเจ้าสุนัขรับใช้เหมืองใต้ดินผู้นี้จะได้ลิ้มรสความหวานของพวกเจ้าเถอะ…”
“นายท่าน จั๊ดง่าวหมายความว่าอะไรหรือขอรับ?”
ลู่ปิงเหวินถามออกมาด้วยความสงสัย
“เอ่อ… เดิมทีมันเป็นคำเรียกขานพญาอินทรีทะเลทรายน่ะ ภายหลังจึงเป็นคำเปรียบเปรยไว้ใช้เรียกขานผู้ที่มีสติปัญญาเฉียบแหลม มีนิสัยกล้าหาญและมีหัวใจเด็ดเดี่ยวมั่นคง”
หลินเป่ยเฉินพูดตอบกลับไปโดยไม่รู้ตัว
ซือเกินตั๋งได้ยินดังนั้นก็รีบตอบกลับมาว่า “หากหมายความเช่นนี้ นายท่านก็เป็นผู้ที่สุดยอดจั๊ดง่าวที่สุดในกลุ่มพวกเราแล้ว”
“ใช่แล้วขอรับ พวกเราไม่สามารถจั๊ดง่าวเท่านายท่านได้เลย”
เฉียนหลงสนับสนุนด้วยความกระตือรือร้น
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบๆ
เขาเนี่ยนะ?
ไม่น่าพูดจามั่วซั่วเลยเรา
สะท้อนเข้าหาตัวเองซะงั้น
“พวกเราที่นี่ก็จั๊ดง่าวเหมือนกันหมดนั่นแหละ”
หลินเป่ยเฉินรีบจบหัวข้อนี้ลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อเขาดีดนิ้วมือ ลำแสงกระบี่ไฟก็พุ่งเข้าใส่ก้นของใต้เท้าอวิ๋นอิงวูบหนึ่ง
“โอ๊ย…”
เมื่อความเจ็บปวดจากเปลวไฟเผาไหม้กระดูกก้นกบ ใต้เท้าอวิ๋นอิงก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาโดยทันที
และเมื่อเขาผงกศีรษะขึ้นมา ก็ได้พบกับกระบี่เงินเล่มหนึ่งที่จ่ออยู่กลางหน้าผาก
รังสีกระบี่แผ่ปกคลุมตลอดร่างกาย
“ลองคิดเล่นไม่ซื่อดูสิ รับรองว่าร่างของเจ้าพรุนแน่”
หลินเป่ยเฉินถือกระบี่เงินอยู่ในมือ ใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบหน้าอกใต้เท้าอวิ๋นอิงและก้มหน้ามองลงไปด้วยสีหน้าดุดันอำมหิต “ข้าไม่อยากพูดคำนี้เป็นครั้งที่สอง ส่งสัญญาทาสของทั้งสองคนนี้ออกมา มิเช่นนั้น เจ้าจะได้รู้ว่าความอำมหิตที่แท้จริงเป็นเช่นไร”
ใต้เท้าอวิ๋นอิงจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาแห่งความเกลียดชังอันขมขื่น
หลินเป่ยเฉินไม่พูดคำใดอีก แต่เพิ่มน้ำหนักกระบี่ในมือลงเล็กน้อย
ปลายกระบี่ที่ลุกเป็นไฟทะลุผิวหนังกลางหน้าผากใต้เท้าอวิ๋นอิงลงไปอย่างช้า ๆ
“อ๊าก…”
ใต้เท้าอวิ๋นอิงส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน
ในที่สุด เขาก็ต้องยอมแพ้
คนที่เคยเฉียดใกล้ความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ย่อมรู้สึกกลัวตายเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น จังหวะที่ปลายกระบี่ทิ่มแทงลงมาในหน้าผากของเขา ใต้เท้าอวิ๋นอิงจึงเข้าใจความรู้สึกที่กลัวตายนั้นเป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่เคยพบเจอความเจ็บปวดทรมานเช่นนี้มาก่อน คมกระบี่ของเจี๋ยนเซียวเหยานอกจากจะทำให้ร่างกายเจ็บปวดแล้ว มันยังทำร้ายลึกลงไปถึงขั้นจิตวิญญาณอีกด้วย
ใต้เท้าอวิ๋นอิงส่งมอบสัญญาทาสให้แต่โดยดี
และเขาก็ไม่ลืมประทับตราสัญลักษณ์ประจำตัวเป็นการยกเลิกสัญญาทาสทั้งสองฉบับ
“เจี๋ยนเซียวเหยา ข้าทำสิ่งที่เจ้าต้องการเสร็จสิ้นหมดแล้ว เจ้าจะปล่อยข้าไปได้หรือยัง?”
ใต้เท้าอวิ๋นอิงกัดฟันกรอด
บัดนี้ ผู้ดูแลเหมืองใต้ดินทั้งอับอายทั้งโกรธแค้นที่ตนเองไม่สามารถโต้ตอบอีกฝ่ายได้เลย
ใต้เท้าอวิ๋นอิงได้แต่สาบานอยู่ในใจว่าหากตนเองสามารถรอดชีวิตกลับไปได้ เขาก็จะหาทางทำให้พวกของเจี๋ยนเซียวเหยาต้องชดใช้ความเจ็บปวดของตนในครั้งนี้อย่างสาสม
นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่หลินเป่ยเฉินถามกลับไปว่า “หากข้าปล่อยเจ้าไป เจ้าจะคิดล้างแค้นพวกเราหรือไม่?”
“ไม่ ไม่ล้างแค้นแน่นอน”
ใต้เท้าอวิ๋นอิงรีบตอบรับโดยเร็ว
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเทพเจ้า ยามที่ควรอ่อนก็ต้องอ่อน อย่าได้คิดแข็งขืนเด็ดขาด
สวบ!
กระบี่เงินเสียบทะลุศีรษะของใต้เท้าอวิ๋นอิง
“ข้าไม่เชื่อ”
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงเรียบ
ใต้เท้าอวิ๋นอิงเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
เขาไม่คิดเลยว่าเจี๋ยนเซียวเหยาจะขวัญกล้าบังอาจถึงกับสามารถฆ่าตนเองได้เช่นนี้
กลุ่มคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งห้าตัวสั่นสะท้านกันหมดสิ้น
นี่หรือคือนายท่านของพวกเขา?
ไม่คิดจะปล่อยให้ผู้อื่นได้มีโอกาสกลับเนื้อกลับตัวบ้างเลยหรือ?
เมื่อสักครู่นี้ พวกเขาเพิ่งจะได้เข้าใจว่าฉู่เหินกับไต้จือฉุนมีความโหดร้ายอำมหิตไม่ธรรมดา
แต่บัดนี้ ดูเหมือนว่าผู้ที่มีความโหดร้ายอำมหิตมากที่สุด กลับเป็นนายท่านของพวกเขาเอง
เพียงพูดคำว่า ‘ข้าไม่เชื่อ’ ขุนนางเทวะผู้หนึ่งก็ถูกฆ่าตายอย่างง่ายดาย
“นายท่านช่างกล้าหาญและมีวิสัยทัศน์เป็นเลิศ ข้าน้อยไม่เคยพบเห็นผู้ใดมีจิตใจที่แข็งแกร่งเช่นนี้มาก่อน หากจะพูดถึงเรื่องความจั๊ดง่าว ในหมู่พวกเราไม่มีใครสามารถสู้นายท่านได้เลยขอรับ”
ซือเกินตั๋งพูดออกมาด้วยความจริงใจ
หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุกเล็กน้อย
อยากให้ลูกสมุนของตนเองรีบหุบปากไปซะ
เปรี๊ยะปร๊ะ!
ได้ยินเสียงเปลวไฟปะทุดังขึ้น
ร่างกายของใต้เท้าอวิ๋นอิงเริ่มหลอมละลาย
ตามตำนานเล่าขานว่าใต้เท้าอวิ๋นอิงถือกำเนิดเกิดขึ้นมาจากก้อนหินใหญ่ในภูเขาใต้ดิน เขาเป็นดั่งมนุษย์หินที่มีสติสัมปชัญญะ ร่างกายแข็งแรงไม่เปราะบาง แต่เมื่อพบกับเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ของหลินเป่ยเฉิน ร่างของใต้เท้าอวิ๋นอิงก็หลอมละลายกลายเป็นหินเหลวกองหนึ่ง…
“นั่นมันอะไรน่ะ?”
หลินเป่ยเฉินเห็นขวานใหญ่สะท้อนประกายอยู่ในกองหินเหลวของใต้เท้าอวิ๋นอิง เช่นเดียวกับกำไลเก็บของวิเศษที่ลอยขึ้นมาบนแอ่งหินเหลว เพียงมองดูวูบเดียว เด็กหนุ่มก็รู้แล้วว่าของวิเศษทั้งสองชิ้นนี้ต้องมีราคามากมายแน่นอน
สมควรแล้วที่มีตำแหน่งเป็นขุนนางเทพเจ้า
ไม่เสียทีที่เหนื่อยแรงฆ่าตาย
หลินเป่ยเฉินยิ้มด้วยความดีใจและก้มตัวหยิบของวิเศษทั้งสองชิ้นนั้นขึ้นมา
“นี่คือขวานยอดศิลา ข่าวลือเล่าขานว่าใต้เท้าอวิ๋นอิงรวบรวมแร่ถึงแปดสิบเอ็ดชนิดในเหมืองใต้ดินนำไปให้ท่านเทพอัคคีช่วยหลอมออกมาเป็นขวานด้ามนี้ มันมีน้ำหนักเท่ากับภูเขาหนึ่งลูกและมีความคมอย่างที่หาอาวุธอื่นใดเปรียบไม่ได้… นับเป็นสุดยอดศาสตราวุธชิ้นหนึ่งเลยขอรับ”
เฉียนหลงอธิบายข้อมูลได้ทันที สมแล้วที่เป็นสารานุกรมเคลื่อนที่ของหลินเป่ยเฉิน
“แล้วของชิ้นนี้ล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินชูกำไลสีเหลืองเข้มให้ดู
เฉียนหลงตอบว่า “นี่คือวัตถุเก็บของวิเศษของใต้เท้าอวิ๋นอิงขอรับ ด้านในก็คงบรรจุสมบัติที่ใต้เท้าอวิ๋นอิงเก็บเอาไว้ตลอดหลายปี แต่นายท่านคงทราบดีนะขอรับว่าวัตถุเก็บของวิเศษของขุนนางเทวะหรือเทพเจ้าระดับสูง ๆ เหล่านี้ จำเป็นต้องเปิดด้วยปราณเทวะประจำตัวเท่านั้น เมื่อผู้อื่นได้มันไปจึงไม่มีประโยชน์อันใด… แต่หากนำออกไปประมูล ก็คงมีคนรับซื้อของเก่าสนใจอยู่บ้าง แต่นายท่านจะตั้งความหวังไม่ได้เด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปตบศีรษะเฉียนหลงดังเพียะ ก่อนกัดฟันชื่นชมว่า “เจ้านี่มันแสนรู้จริง ๆ เลยนะ”
หลังจากนั้น เขาจึงกล่าวด้วยความร้อนรนว่า “แต่ได้โปรดจำเอาไว้ หลังจากนี้ห้ามไม่ให้มีผู้ใดพูดคำว่าจั๊ดง่าวอีกเป็นอันขาด”
ลู่ปิงเหวินเบิกตาโตด้วยความพิศวง “ทำไมล่ะขอรับ? ข้าน้อยคิดว่านี่เป็นคำที่น่าสนใจมาก สามารถสื่อสารออกมาได้ง่าย และมีความหมายที่ครอบคลุม”
“เพราะว่า…”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงอำมหิต “หากเจ้าพูดเยอะเกินไป มีหวังได้บ้าตายแน่ ๆ”
“อะไรนะขอรับ?”
กลุ่มคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งห้าต่างก็ถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ
หลินเป่ยเฉินต้องอธิบายอย่างอดทน “เพราะว่าพวกเรายังอ่อนเยาว์กันมากเกินไป พวกเรายังไม่เคยผ่านประสบการณ์ความโหดร้ายของชีวิตที่แท้จริง พวกเรายังไม่เคยแสดงความกล้าหาญให้ผู้คนได้ประจักษ์ เพราะฉะนั้น พวกเราจึงยังไม่คู่ควรกับคำ ๆ นั้น ด้วยเหตุนี้ ได้โปรดอย่าพูดถึงคำนั้นอีกเลย”
กลุ่มคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งห้าเข้าใจขึ้นมาทันที
“แต่ว่า…”
ซือเกินตั๋งลังเลเล็กน้อย “พวกเราอาจจะใช้คำนี้ไม่ได้ แต่ด้วยภาพลักษณ์ของนายท่าน นายท่านเหมาะสมกับคำนี้มากเลยนะขอรับ นายท่านถึงกับสังหารขุนนางเทวะ และนายท่านก็น่าจะได้ตำแหน่งผู้ชนะเลิศการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่ในครั้งนี้ หากเรียกขานนายท่านเป็นสุดยอดผู้จั๊ดง่าว รับรองได้ว่าไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธ… โอ๊ย!”
ท้ายประโยคเป็นเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ซือเกินตั๋งถูกหลินเป่ยเฉินต่อยลอยกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า ตัวคนแปรเปลี่ยนเป็นแสงดาวระยิบระยับก่อนจะหายวับไป
ให้ตายเถอะ
เขาอดทนมานานมากเกินไปแล้ว
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ลดกำปั้นของตนเองลง
“ไป พวกเรากลับไปดื่มฉลองกันดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินว่า “ไม่ทราบเลยว่าการแข่งขันรอบที่สี่จบลงแล้วหรือไม่ ใครบ้างที่จะได้ผ่านเข้ารอบต่อไป”
พูดจบ ทุกคนถึงเพื่งนึกได้ว่าผลการแข่งขันรอบที่สี่ยังไม่ได้ประกาศออกมา
ดังนั้น พวกเขาจึงรีบออกเดินทางไปยังคฤหาสน์บนภูเขาเซียวฝูอย่างรวดเร็ว
[1] ภาษาเหนือแปลว่าโง่บรมโง่ เป็นการแปลจากต้นฉบับที่เล่นคำว่า 傻屌 (ฉาเตี่ยว – แปลว่าเจ้าโง่)