ตอนที่ 1,341 หรือว่าจะเป็นเขาผู้นั้น?
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วใช้ความคิด ก่อนจะสลายค่ายอาคมและเปิดประตูรั้วออกกว้าง
นักรบในชุดเกราะสีแดงเข้มกลุ่มหนึ่งกรูเข้ามาพร้อมกับยกหอกในมือชี้หน้าพวกของหลินเป่ยเฉินทั้งสามคน
ด้านหลังนักรบกลุ่มนี้ยังมีนักเวทในชุดเสื้อคลุมสีดำยืนคุมเชิงอยู่อีกสามคน
หืม?
นี่มันพวกเผ่าเทพตะวันนี่นา
แต่นักเวททั้งสามคนนั้นเป็นตัวแทนจากสภาเทพเจ้า
หรือพวกเขาจะมาที่นี่เพื่อจับตัวฉู่เหินและไต้จือฉุนกลับไป?
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบด้วยจิตอำมหิต
“ทำไมถึงได้เปิดประตูช้านัก?”
หัวหน้ากลุ่มนักรบพูดเสียงแข็งกระด้าง
เขามีร่างกายสูงกว่าเก้าเซียะ เอวหนา ชุดเกราะแกะสลักเป็นลวดลายดวงตะวันฉายแสง หมวกเหล็กที่สวมใส่มีพู่หางมังกรปลิวไสวอยู่ด้านบน พลังกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างกายหนาแน่น เพียงมองดูวูบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่มีจิตใจอำมหิต
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินไม่ได้สวมใส่หน้ากากสัตว์อสูร
ฉู่เหินก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยและไม่ได้สวมใส่หน้ากากเช่นกัน
เพราะฉะนั้น อีกฝ่ายจึงไม่ทราบเลยว่าทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้คือปีศาจน้อยเจี๋ยนเซียวเหยากับคนบาปพิฆาตเทพเจ้าจุ่ยถูู
หัวหน้ากลุ่มนักรบรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่นั่งอยู่เบื้องหน้าผู้นี้ก็คงไม่พ้นบรรดาคุณชายตระกูลผู้สูงศักดิ์ที่หาได้มีดีอันใดนอกจากหน้าตาไม่ เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่ได้ระวังตัวอย่างที่ควรกระทำ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาแผ่วเบา
จิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร
ตราบใดที่อีกฝ่ายพูดบางอย่างซึ่งส่อถึงการคุกคาม หลินเป่ยเฉินก็พร้อมที่จะลงมือโจมตีได้ทุกเมื่อ และหลังจากนั้น เขาก็จะพาฉู่เหินกับไต้จือฉุนหลบหนีไป
พวกเขาแค่ต้องโดยสารแท็กซี่ตี๋น้อยเดินทางออกจากดินแดนทวยเทพเท่านั้น
น่าเสียดายหน่อยก็ที่ไม่ได้อยู่ร่วมการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่จนจบ
“บัดนี้ เผ่าเทพตะวันกำลังตามจับตัวมือสังหารไปทั่วเมือง”
ในเวลาเดียวกันนี้ มือขวาของหัวหน้ากลุ่มนักรบก็แสดงป้ายรับมอบอำนาจจากเทพตะวัน ซึ่งมีพลังกดดันผู้คนอย่างร้ายกาจ
หัวหน้ากลุ่มนักรบจ้องมองพวกของหลินเป่ยเฉินทั้งสามคนด้วยแววตาคมกริบ กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “เปิดประตูช้าเช่นนี้ พวกเจ้ามัวทำอะไรอยู่? บอกมา เจ้าซ่อนมือสังหารอยู่ด้านในคฤหาสน์ใช่หรือไม่? พวกเราเข้าไปตรวจคนด้านใน อย่าให้มีผู้ใดหลบหนีออกไปได้เด็ดขาด”
ตามจับตัวมือสังหาร?
มีคนลอบสังหารสมาชิกเผ่าเทพตะวันอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะแน่ใจแล้วว่าเรื่องราวนี้ไม่มีสิ่งใดข้องเกี่ยวกับพวกฉู่เหิน
ตอนแรก เขานึกว่าเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่จะนำเรื่องราวทั้งหมดไปฟ้องร้องต่อสภาเทพเจ้า และเมื่อได้รับความกดดันจากทุกฝ่าย ใต้เท้ากั้วก็ไม่สามารถช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินได้อีก จึงนำมาสู่การจับกุมในครั้งนี้… แต่ดูเหมือนว่าใต้เท้ากั้วจะมีอำนาจล้นฟ้าจริง ๆ
“ช้าก่อน”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นขวางทางกลุ่มนักรบที่จะเข้าไปตรวจค้นด้านในคฤหาสน์ “ที่นี่ไม่มีมือสังหารที่พวกท่านกำลังตามหา ไปค้นหาที่อื่นเถอะ”
เขาไม่อยากให้คนกลุ่มนี้ทำห้องซึ่งชิงเล่ยจัดเก็บข้าวของอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยให้กลับมารกรุงรังอีกครั้ง
“เจ้ากล้าดีอย่างไรมาขวางทางพวกเรา?”
หัวหน้ากลุ่มนักรบหัวเราะเยาะและอดส่งเสียงคำรามไม่ได้ “ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียแล้ว ความผิดในการช่วยเหลือมือสังหารมีโทษเท่ากับประหารชีวิต”
วูบ! วูบ! วูบ! วูบ!
หอกทองคำสี่เล่มแทงออกมาจากมือของนักรบเทวะสี่คน รังสีอำมหิตคุกคามผู้คน หอกเหล่านั้นต่างก็มีจุดประสงค์ที่จะหมายมั่นเอาชีวิตหลินเป่ยเฉินอย่างโหดร้ายอำมหิต
“พวกเจ้าช่างรนหาที่ตายนัก”
หลินเป่ยเฉินกระแทกฝ่ามือออกมาข้างหน้า
คลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์ระเบิดกระจายไปรอบทิศทาง
ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ!
นักรบผู้ถือหอกทองคำทั้งสี่ล้มกลิ้งไปนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นดินและอาวุธคู่กายของพวกเขาก็เผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านปลิวหายไปกับสายลม
“บังอาจนัก!”
เมื่อหัวหน้ากลุ่มนักรบเห็นเช่นนั้น เขาก็ต้องระเบิดเสียงคำรามออกมาด้วยความเดือดดาล
ป้ายรับมอบคำสั่งจากเทพตะวันในมือพลันฉายแสงเจิดจ้าพุ่งเข้าหาหลินเป่ยเฉิน
“ช่างโง่เขลา”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นและปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์
คลื่นพลังกวาดผ่านไปรอบบริเวณอีกครั้ง
หัวหน้ากลุ่มนักรบรู้สึกตัวอีกที ในมือของเขาก็ว่างเปล่าแล้ว
ป้ายรับมอบคำสั่งจากเทพตะวันไปปรากฏอยู่ในมือของหลินเป่ยเฉิน
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ!
และด้วยเปลวไฟที่ลุกโชนจากนิ้วมือทั้งห้า ป้ายรับมอบคำสั่งก็ถูกเผาไหม้และถูกโยนทิ้งลงบนพื้นดินอย่างไร้ความหมาย
“ทะ…”
บัดนี้ หัวหน้ากลุ่มนักรบรู้แล้วว่าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าหาใช่คุณชายผู้สูงศักดิ์ธรรมดาไม่ เขาก้าวถอยหลังด้วยความลนลาน “ท่าน… เป็นใครกันแน่?”
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ขยับเท้าก้าวตาม
เขาแค่ยกมือขึ้นมา
หน้ากากสัตว์อสูรปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ สวมใส่หน้ากาก กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “เจ้าทราบแล้วหรือยังว่าข้าคือใคร?”
หัวหน้ากลุ่มนักรบหัวใจกระตุกวูบ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“เจี๋ยนเซียวเหยา”
เขาอุทานสามคำนี้ออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ
ลมหายใจต่อมา พลังที่อยู่เต็มร่างพลันเลือนหายไปในพริบตา แขนขาปราศจากเรี่ยวแรง แม้แต่มือที่ถือหอกทองคำก็ยังสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
“คุกเข่าและอธิบายเรื่องราวทั้งหมดออกมาเดี๋ยวนี้”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งเสียงเรียบ
“เจ้า…”
หัวหน้ากลุ่มนักรบอยากจะพูดคำหยาบคายออกมา แต่เมื่อเห็นแววตาที่เย็นชาของหลินเป่ยเฉิน เขาก็พูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงคุกเข่าลงบนพื้นดินด้วยความอับอายเท่านั้น
น่าหวาดกลัว
เจี๋ยนเซียวเหยามีความน่ากลัวมากเกินไป
สิ่งที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงเบิกฟ้าคือคำตอบที่อธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง
นอกจากนี้ เจี๋ยนเซียวเหยายังมีตำแหน่งเป็นเทพเจ้าอีกด้วย
หากเจี๋ยนเซียวเหยาฆ่าพวกตนเองหมดสิ้นในวันนี้ หัวหน้ากลุ่มนักรบก็ทราบดีว่าเผ่าเทพตะวันคงไม่สามารถล้างแค้นให้แก่พวกตนเองได้เลย
เพราะระหว่างพวกเขากับเจี๋ยนเซียวเหยาเคยมีหนี้แค้นกันมาก่อน พานตั่วชิงเคยลอบสังหารเจี๋ยนเซียวเหยา หลักฐานก็คือซากศพนักรบเทวะสูงจากเผ่าเทพตะวันที่มัดตัวพานตั่วชิงจนดิ้นไม่หลุด
หลินเป่ยเฉินกวาดตามองไปที่นักรบเทวะคนอื่น ๆ
ตุบ! ตุบ!
พวกเขารีบคุกเข่าอย่างร้อนรน
มีเพียงนักเวทจากสภาเทพเจ้าเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
หลินเป่ยเฉินไม่ได้สนใจพวกเขา
เพราะใต้เท้ากั้วของเขาเป็นผู้มีอำนาจในสภาเทพเจ้า
หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องไว้หน้านักเวทเหล่านี้บ้าง
“บอกมา นี่เป็นเรื่องอันใดกันแน่?”
เด็กหนุ่มถาม
หัวหน้ากลุ่มนักรบรีบตอบอย่างรวดเร็ว “เป็นคุณชายพานตั่วชิง… หลังผ่านการแข่งขันรอบที่สี่ได้สำเร็จ เขาก็ถูกมือสังหารปริศนาลอบโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสหลังงานเลี้ยงฉลอง สาวรับใช้ทั้งสี่คนข้างกายเขาถูกฆ่าตายหมดสิ้น นักเวทจากสภาเทพเจ้าที่มาร่วมงานเลี้ยงอีกสามท่านก็ถูกสังหารเช่นกัน นี่คือเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญสั่นวิญญาณชาวเมืองเยี่ยเฉิง บัดนี้ เผ่าเทพพงไพรและเผ่าเทพตะวันกำลังร่วมมือกันไล่ล่าตัวมือสังหารอย่างสุดความสามารถขอรับ”
หืม?
มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?
“พานตั่วชิงโดนลอบสังหาร แต่แค่ได้รับบาดเจ็บเองหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความเสียดาย “บาดเจ็บหนักเพียงใด? ใกล้ตายแล้วหรือไม่?”
“คือว่าเรื่องนี้…”
หัวหน้ากลุ่มนักรบก้มหน้างุด กัดฟันกรอดข่มความโกรธแค้น ก่อนตอบว่า “ข้าน้อยมีตำแหน่งต่ำต้อยเกินไป จึงไม่ทราบรายละเอียดอาการบาดเจ็บของคุณชายพานตั่วชิง แต่ว่ากันว่านักเวทอันดับหนึ่งของเผ่าเทพตะวันกำลังรักษาอาการบาดเจ็บให้เขาอยู่ขอรับ”
“คุณชายเจี๋ยน นี่เป็นภารกิจที่ทางเบื้องบนส่งคนมาตามล่าหาตัวมือสังหาร แม้นักรบกลุ่มนี้อาจจะล่วงเกินคุณชายไปบ้าง แต่ก็ได้โปรดรามือเถอะ”
ในที่สุด นักเวทจากสภาเทพเจ้าก็อดเข้ามาแทรกแซงไม่ได้
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
“กลับไปซะ”
เขาโบกมือไล่
แล้วกลุ่มนักรบที่เข้ามาตามหาตัวมือสังหารก็รีบลุกขึ้นและวิ่งหนีไปจากคฤหาสน์บนภูเขาเซียวฝู
ประตูรั้วปิดลงอีกครั้ง
“เรื่องนี้ส่งผลดีต่อพวกเรา”
ฉู่เหินผู้ที่เงียบงันตลอดเวลากล่าวออกมาอย่างมีความสุข “แม้พานตั่วชิงจะเคยพ่ายแพ้ให้แก่เจ้ามาแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนของเผ่าเทพตะวัน และได้รับการหนุนหลังโดยใต้เท้าฉาง ระหว่างการแข่งขันที่ผ่านมา เคยแสดงความเป็นปฏิปักษ์กับเจ้านับครั้งไม่ถ้วน การที่เขาถูกลอบสังหารจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้… พานตั่วชิงคงไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันรอบต่อไปได้อีกแล้ว”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความเศร้าใจ “น่าเสียดายมากเลยขอรับ ข้าอยากจะเผชิญหน้ากับหมอนั่นระหว่างการแข่งขัน จะได้ถือโอกาสฆ่ามันซะเลย”
“พูดถึงเรื่องนี้แล้ว มือสังหารปริศนาผู้นั้นก็ใจกล้าทีเดียวนะ นอกจากพยายามลอบสังหารพานตั่วชิงแล้ว ยังถึงกับฆ่าคนของเผ่าเทพตะวันตายไปอีกหลายศพ แม้แต่นักเวทจากเผ่าเทพพงไพรก็พลอยถูกฆ่าตายไปด้วย แสดงว่ามือสังหารผู้นี้คงมีสถานะไม่ต่ำต้อย มิเช่นนั้น เขาคงไม่กล้าล่วงเกินเผ่าเทพพงไพรเช่นนี้หรอก”
ฉู่เหินกล่าวออกมาอีกครั้ง
เขามาอยู่ในดินแดนทวยเทพเป็นเวลานาน จึงทราบดีว่าการล่วงเกินเผ่าเทพพงไพรหมายถึงสิ่งใด
แม้แต่บรรดาเจ็ดเทพสงคราม ก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าตอแยต่อเทพเจ้าระดับสูงของเผ่าเทพพงไพรเลยด้วยซ้ำ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ในวันนี้เทพเจ้าแห่งเหมืองแร่เลือกที่จะไม่เผชิญหน้ากับใต้เท้ากั้ว
เพราะว่าเผ่าเทพพงไพรก็ถือเป็นขุมกำลังสำคัญของสภาเทพเจ้า
เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่เหิน เงาร่างสายหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นในห้วงคิดของหลินเป่ยเฉิน
หรือว่าจะเป็นเขาผู้นั้น?