ตอนที่ 1,342 ไปเยี่ยมเยือน
หลินเป่ยเฉินนึกถึงตัวประหลาดที่กระโดดเข้าไปในเงามืดตอนที่เขาสังหารนักรบเทวะระดับสูงของเผ่าเทพตะวันในคืนนั้น
ตัวประหลาดนั้นมีรูปแบบการเคลื่อนไหวพิสดาร
คล้ายกับว่าสามารถหายตัวได้ในเงามืด
ครั้งที่แล้ว ตัวประหลาดนั้นถูกตามล่าเพราะว่าลอบสังหารสมาชิกระดับสูงของเผ่าเทพตะวันล้มเหลว
ว่าแต่คืนนั้นตัวประหลาดต้องการลอบสังหารผู้ใดกันนะ?
หลินเป่ยเฉินอยากจะยกมือเขกหัวตนเองนัก
เขาลืมถามไปเสียสนิทเลย
แต่ช่างมันเถอะ เรื่องนั้นไม่สำคัญอีกแล้ว
เพราะว่าตอนนี้…
ครืด
ข้อมือของเขาสั่นสะเทือน
หลินเป่ยเฉินก้มมองกำไลผลึกแก้วกิเลนรุ่นที่สามบนข้อมือของตนเอง
เป็นข่าวเกี่ยวกับการแข่งขัน
ผู้ที่ส่งข่าวมาคือเฉียนหลง
ข่าวนั้นคือการประกาศผลรายชื่อผู้ที่ผ่านรอบที่สี่ได้สำเร็จ…
รายชื่อผู้ที่ผ่านเข้ารอบสิบคนสุดท้ายประกอบด้วยหลินเป่ยเฉิน ฮั่วเซี่ย พานตั่วชิง ฉู่เหิน ลู่จ้ง ฮันลั่วเซวี่ย ไป๋เสี่ยวเซียว เจ้าอ้วน ฉางจิ้งคงและหลี่อี้เทียน
นี่คือรายชื่อที่ทำให้เมืองเยี่ยเฉิงสั่นสะเทือนอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะนอกจากพานตั่วชิงเพียงผู้เดียว ผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ที่เข้ารอบมาได้ล้วนแต่เป็นม้ามืดทั้งสิ้น
บรรดาผู้เข้าแข่งขันตัวเต็งต่างก็ตกรอบไปอย่างไม่น่าเชื่อ
ความปั่นป่วนเกิดขึ้นตามมา
แม้แต่นักบวชสาวเซียงเหยียนก็ไม่มีชื่ออยู่ในกลุ่มผู้เข้าแข่งขันสิบคนสุดท้ายเช่นกัน
นี่ทำให้หัวใจของหลินเป่ยเฉินรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
หรือว่านักบวชสาวเซียงเหยียนจะเสียชีวิตลงในการแข่งขันรอบที่สี่?
เขารีบสอบถามกับเฉียนหลง
“คำถามนี้สมแล้วที่เป็นนายท่าน”
เฉียนหลงตอบข้อความกลับมาด้วยความหยอกเย้า “วางใจเถอะขอรับ ท่านนักบวชเซียงเหยียนถอนตัวออกจากการแข่งขันไปก่อนหน้านี้แล้ว นักบวชสาวยอดดวงใจของนายท่านยังคงมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยดี แม้แต่ผมสักเส้นก็ไม่มีหลุดร่วงขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าแม้แต่ผมสักเส้นของนางก็ไม่มีหลุดร่วง?” หลินเป่ยเฉินบังคับตนเองให้ตอบข้อความกลับไป “หากข้าลองไปถามนางเมื่อไหร่และพบว่านางมีผมร่วงแม้สักเส้นเดียว ข้าจะฆ่าเจ้า”
“นายท่าน ข้าน้อยผิดไปแล้ว”
เฉียนหลงรีบเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ กำไลผลึกแก้วกิเลนยังแจ้งข่าวที่สองซึ่งเกี่ยวข้องกับหลินเป่ยเฉินโดยตรง ในที่สุด เรื่องราวที่เขาไปบุกเหมืองใต้ดินก็ได้รับการเปิดเผยในวงกว้าง ซึ่งทำให้สภาเทพเจ้าเกิดความวุ่นวายโกลาหลไม่ใช่น้อย
เห็นได้ชัดว่าการเผชิญหน้ากันระหว่างใต้เท้ากั้วและเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ผู้มาทวงถามความยุติธรรมให้แก่การตายของใต้เท้าอวิ๋นอิงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต่างก็ให้ความสนใจ
นี่คือครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีเทพเจ้าระดับสูงขัดแย้งกันเองอย่างชัดเจนเช่นนี้
และนี่ก็คือครั้งแรกที่มีการสังหารขุนนางเทพเจ้า
ว่ากันว่าเจ็ดเทพสงครามต้องประชุมร่วมกับบรรดาใต้เท้าใหญ่ประจำสภาเทพเจ้าอยู่นานทีเดียว พวกเขาพยายามหารือว่าจะเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ใดบ้างจากเหตุการณ์ครั้งนี้ และสุดท้าย ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของใต้เท้าอวิ๋นอิงก็ถูกยึดคืนเข้าสู่วิหารต้องห้าม กลายเป็นสมบัติของส่วนรวมที่ผู้ใดก็แตะต้องไม่ได้
ปรากฏว่าเมื่อมีขุนนางเทพเจ้าถูกฆ่าตาย ทรัพย์สินและสมบัติทั้งหมดรวมไปถึงตำแหน่งทางหน้าที่การงาน ก็จะถูกนำมาเก็บไว้ที่วิหารต้องห้าม
หลินเป่ยเฉินคล้ายกับจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาเล็กน้อย
“นายท่านขอรับ เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นที่สนใจจากผู้คนรอบด้าน นายท่านคงต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่าเดิมเสียแล้ว”
“ข้าน้อยสังหรณ์ว่าเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่คงไม่อยู่เฉยแน่”
ลู่ปิงเหวินเป็นคนที่ส่งข้อความถัดมาจากเฉียนหลง
“ใช่แล้วขอรับ บัดนี้ใต้เท้าเหลียนเป็นผู้ดูแลสูงสุดของสภาเทพเจ้า เรายังไม่ทราบว่านางจะมีท่าทีต่อเรื่องนี้เป็นอย่างไร นายท่านจะก่อเรื่องวุ่นวายอีกไม่ได้ขอรับ พักนี้เก็บตัวสงบเสงี่ยมก่อนดีกว่า”
ซือเกินตั๋งก็ส่งข้อความมาหาหลินเป่ยเฉินเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึก
ดูเหมือนครั้งที่แล้วที่เขาต่อยซือเกินตั๋งลอยกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า หมัดของเขาคงยังไม่หนักหน่วงมากพอสินะ
หลินเป่ยเฉินบอกข้อมูลให้แก่ฉู่เหินกับไต้จือฉุนได้รับทราบ
“บัดนี้เหลือแค่สองหนทางแล้วเท่านั้น อย่างแรก พวกท่านรีบไปหาเทพีกระบี่และขอให้นางยอมรับพวกท่านเป็นลูกศิษย์ วิธีนี้ พวกท่านก็จะได้รับการคุ้มครองตามกฎเทพเจ้า…”
“ส่วนอีกวิธีนั้น พวกท่านจงมาเป็นสาวกของข้าซะ เพราะข้าเองก็มีสถานะเป็นเทพเจ้าเช่นกัน ข้าสามารถคุ้มครองพวกท่านได้”
หลินเป่ยเฉินเสนอทางเลือก
“เราเองก็อยู่ในดินแดนทวยเทพกันมานานแล้ว ต่างก็เฝ้าสวดภาวนาทั้งวันทั้งคืน แม้แต่ชาวเมืองหลิวตงก็ภาวนาร้องขอให้เทพีกระบี่มาช่วยเหลือพวกเรา แต่นางก็ไม่เคยปรากฏตัวมาช่วยเหลือพวกเราเลยสักครั้ง”
ไต้จือฉุนว่า “ข้าไม่อยากฝากความหวังเอาไว้ที่เทพเจ้าเหล่านี้อีกแล้ว ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้ามากกว่า”
ฉู่เหินกล่าว “ระหว่างที่ข้าอยู่ที่นี่ ข้าแทบไม่เคยได้ยินผู้คนกล่าวถึงเทพีกระบี่เลยด้วยซ้ำ จนข้านึกสงสัยว่านางมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ข้าพยายามสืบหาความจริงเรื่องนี้ แต่ก็ไม่พบเจอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับนางเลย…”
หืม?
เมื่อหลินเป่ยเฉินได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสทั้งสองท่านกล่าวออกมาก็อดตกตะลึงไม่ได้
ก่อนหน้านี้ ฉู่เหินกับไต้จือฉุนล้วนเป็นสาวกที่ซื่อสัตย์ของเทพีกระบี่
แต่บัดนี้
พวกเขากลับเลิกศรัทธาในตัวเทพีกระบี่เสียแล้ว
แต่พูดถึงเรื่องนี้ เทพีกระบี่ก็ทำเป็นเมินเฉยเกินไปจริงๆ
ไม่ว่านางจะกระทำเรื่องราวใด ก็ต้องคอยให้เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเป็นผู้จัดการทั้งหมดและเทพีฝึกหัดนางนี้ก็พึ่งพาไม่ค่อยได้เสียด้วย
หากเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพึ่งพาได้มากกว่านี้ ทุกคนก็คงไม่เสื่อมศรัทธาในตัวเทพีกระบี่เช่นนี้หรอก
ยิ่งเมินเฉยต่อความยากลำบากของสาวกมากเท่าไหร่ จำนวนผู้ติดตามก็จะยิ่งลดน้อยลงมากเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและพยายามติดต่อไปที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
แต่นางก็ไม่ตอบข้อความของเขาอีกแล้ว
“งั้นพวกท่านมาเป็นสาวกของข้า เวลาคนอื่นอยู่ด้วย พวกท่านต้องเรียกข้าว่านายท่าน แต่ถ้าไม่มีคนอื่นอยู่ก็เรียกข้าตามปกตินั่นแหละ”
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจด้วยความมุ่งมั่น
นี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุด
เขาจะโหดร้ายกับคนรู้จักของตนเองมากเกินไปได้อย่างไร?
เมื่อหลินเป่ยเฉินดำเนินความคิดมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็พบว่ายังคงมีเรื่องราวบางอย่างที่ตนเองไม่เข้าใจ
เขาสมควรต้องรีบปลดผนึกวงแหวนหลังศีรษะให้ได้ เพื่อที่จะได้ครอบครองตำแหน่งเทพเจ้าที่แท้จริงใช่หรือไม่?
แต่เขายังมีตำแหน่งเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุนอยู่ด้วยนี่นา
เมื่อเวลานั้นมาถึง บนศีรษะและด้านหลังศีรษะของเขา ก็จะมีวงแหวนขึ้นมาสองวงใช่หรือไม่?
หลินเป่ยเฉินเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
นี่เท่ากับเขาควบตำแหน่งเทพเจ้าถึงสองตำแหน่ง
และเขาก็จะต้องมีสาวกเพิ่มมากขึ้นแน่นอน
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
“ข้าได้ข่าวมาว่าการแข่งขันรอบที่ห้าจะจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า”
ฉู่เหินพลันพูดขึ้นมา
“เร็วขนาดนี้เชียวหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินอุทานด้วยความประหลาดใจ
ในไม่ช้า เขาก็ได้รับข้อความเดียวกันนี้ผ่านทางสายรัดข้อมือประจำตัวผู้เข้าแข่งขัน
หากยึดตามการแข่งขันรอบที่ผ่านมา ผู้เข้าแข่งขันจะมีเวลาได้หยุดพักประมาณสี่ถึงห้าวัน
แต่ครั้งนี้ อีกสองวันพวกเขาก็ต้องแข่งต่อแล้ว
หลินเป่ยเฉินมองรายชื่อผู้เข้าแข่งขันรอบสิบคนสุดท้ายอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นจึงหันหน้ามากล่าวว่า “อาจารย์ฉู่ ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้าจึงคิดว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เหตุไฉนจึงมีม้ามืดเข้าสู่รอบลึก ๆ ได้เยอะเช่นนี้? มันแปลกประหลาดมากเกินไป…อาจารย์ฉู่ถอนตัวเถอะขอรับ”
ฉู่เหินเห็นด้วยโดยไม่ต้องคิดแม้แต่น้อย
เพราะเขาเองก็ไม่มีความสนใจที่จะเข้าร่วมการแข่งขันต่อไปอยู่แล้ว
ที่ตนเองเข้าร่วมการแข่งขันก่อนหน้านี้ นอกจากเป็นเพราะถูกใต้เท้าอวิ๋นอิงบังคับแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งก็คือฉู่เหินต้องการจะใช้ชัยชนะสร้างความหวังในการมีชีวิตอยู่ต่อไปให้แก่ไต้จือฉุน
แต่บัดนี้ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาต้องเป็นกังวลอีก
ทว่าที่สำคัญก็คือ ยิ่งการแข่งขันดำเนินไปมากเท่าไหร่ ฉู่เหินก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติมากเท่านั้น คล้ายกับว่ามีวังน้ำวนลึกลับที่กำลังฉุดดึงทุกคนลงไปสู่ห้วงกับดักมรณะ
“ทำไมเจ้าไม่ถอนตัวออกมาด้วยกันล่ะ?”
ฉู่เหินคิดก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “ถึงอย่างไรเจ้าก็มีตำแหน่งเป็นเทพเจ้าอยู่แล้ว ของรางวัลสำหรับผู้ชนะการแข่งขันไม่ได้มีค่าอันใดต่อเจ้าเลย สำหรับเจ้าแล้ว ถึงชนะก็เหมือนไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทน… ถอนตัวออกมาเถอะ รักษาความปลอดภัยของตนเองเอาไว้ก่อนดีกว่า”
“ข้าเองก็อยากถอนตัวเช่นกันขอรับ”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า “ยิ่งนานไป ข้ายิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ปัญหาก็คือข้ารับปากกับเทพีกระบี่เอาไว้แล้วว่าจะต้องคว้าตำแหน่งผู้ชนะการแข่งขันมาให้ได้ ข้าจึงต้องพยายามให้เต็มที่ขอรับ… อาจารย์ฉู่ ท่านก็คงทราบดีว่าเมื่อข้ารับปากผู้ใดแล้ว ข้าไม่มีทางผิดคำสัญญาเด็ดขาด…”
ฉู่เหินกับไต้จือฉุนต่างก็ไม่พูดอะไรอีก พวกเขายังคงเฝ้ามองเด็กหนุ่มต่อไปเงียบ ๆ
ต้องเป็นเทพีกระบี่บังคับให้หลินเป่ยเฉินแข่งขันต่อไปแน่นอน
เพราะพวกเขารู้จักเด็กคนนี้ดี
“แต่ข้าก็นึกอะไรได้บางอย่างแล้วขอรับ”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นโดยไม่รู้ตัว “ข้าควรเดินทางไปเยี่ยมเยือนผู้เข้าแข่งขันเหล่านี้ ข้าจะไปบอกให้พวกเขาถอนตัวออกจากการแข่งขันซะ พวกเขาคงเห็นแก่หน้าข้าบ้างไม่มากก็น้อย คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกกระมัง?”
“เจ้าจะไปทำร้ายและข่มขู่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นอย่างนั้นหรือ?”
ฉู่เหินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว “หากข้าจำไม่ผิด มีกฎระบุอยู่นะว่าห้ามผู้เข้าแข่งขันลงมือทำร้ายและข่มขู่กันเองนอกเวลาการแข่งขันน่ะ”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม “ใครบอกว่าข้าจะไปทำร้ายพวกเขาขอรับ?”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้า…”
“ข้าจะไปขอร้องพวกเขาด้วยความรักต่างหาก”
หลินเป่ยเฉินเชิดหน้าขึ้นทำมุมสี่สิบห้าองศา