ตอนที่ 1,344 จริงหรือ? ข้าไม่เชื่อ
แดนตะวันออกเฉียงใต้ พื้นที่เขต 2
โรงเตี๊ยมเยวียนจิง
“ไสหัวไปให้พ้น”
เสียงคำรามดังออกมาพร้อมกับเกิดแรงระเบิด ส่งผลให้ผู้คนจำนวนหลายสิบชีวิตลอยกระเด็นทะลุผนังของโรงเตี๊ยมเข้าไปนอนกลิ้งเกลื่อนกลาดอยู่ที่ห้องโถงด้านใน
เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนโดยรอบตื่นตระหนก
“ไป๋เสี่ยวเซียว เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงทำเช่นนี้?”
ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะนักรบสีดำทมิฬผู้หนึ่งรีบลุกขึ้นยืนระเบิดเสียงคำราม
ด้านหลังเขายืนเรียงรายด้วยนักรบในชุดเกราะสีดำแดงอีกหลายสิบชีวิต รวมถึงมีนักเวทที่สวมใส่ชุดเสื้อคลุมลวดลายดวงตะวันฉายแสงอีกสามคนก็กำลังลุกขึ้นยืนด้วยการช่วยเหลือจากบรรดานักรบผู้คุมกัน
ดวงตาของพวกเขาจ้องมองไปยังกำแพงที่ทะลุเป็นรูโหว่ของโรงเตี๊ยม ซึ่งด้านนอกเป็นลานโล่งที่มีกองไฟถูกจุดเอาไว้
กองไฟนี้ถูกจุดขึ้นอยู่ตรงกลางเสาหินสี่ต้น ระหว่างเสาหินก็เรียงร้อยด้วยสายโซ่เส้นหนึ่ง ซึ่งโซ่เส้นนี้ก็กำลังยกหม้อใบหนึ่งอยู่เหนือกองไฟ
ได้ยินเสียงไขมันจากเนื้อสัตว์ระเบิดตัวดังมาจากด้านในหม้อใหญ่ใบนั้น…
ไป๋เสี่ยวเซียวกับชายฉกรรจ์อีกสองคนรวมถึงสตรีอีกหนึ่งคนรวมเป็นสี่คนต่างก็นั่งอยู่รอบกองไฟ กำลังรับประทานเนื้อย่างจนเหลือแต่กระดูกเงาวับ ใบหน้าของพวกเขามันแผลบ
“กลับไปบอกเทพตะวันของพวกเจ้า ว่าพวกเราชาวเผ่าจันทราขาวจะไม่ยอมศิโรราบต่อเทพเจ้าองค์อื่น พวกเรามาที่นี่เพื่อทวงคืนสิ่งที่เคยเป็นของเรา ไม่ได้มาเพื่อเป็นทาสรับใช้ผู้ใด”
ไป๋เสี่ยวเซียวพูดโดยไม่ต้องเหลียวหน้ามองกลับไป
“ความรุ่งเรืองของเผ่าจันทราขาวเป็นเพียงอดีตไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าคนของเผ่าเทพพงไพรเมตตาเจ้า เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ด้วยซ้ำ และบัดนี้ เผ่าเทพตะวันเรากำลังหยิบยื่นโอกาสที่ชีวิตนี้จะมีเพียงครั้งเดียวให้กับเจ้า หากเจ้าเลือกที่จะยอมสวามิภักดิ์ต่อตระกูลพาน พวกเราก็จะช่วยล้างบาปให้กับเจ้า แล้วเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้มาดูถูกพวกเราเช่นนี้…”
อีกด้านหนึ่งของลานโล่ง พานตั่วหลินขุนนางใหญ่จากเผ่าเทพตะวันคำรามเสียงแข็งกระด้าง
“พวกเจ้าจะไสหัวไปหรือไม่?”
ไป๋เสี่ยวเซียวหันใบหน้าที่สวยงามของนางกลับมาด้วยความเดือดดาลระคนรำคาญใจ “หากพวกเจ้ายังไม่รีบไสหัวไป ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้หมด แล้วก็จะเอาเนื้อของพวกเจ้ามาต้มรับประทานในหม้อกระดองเต่าจักรพรรดิใบนี้ พวกเจ้าเชื่อหรือไม่?”
“เจ้า…”
พานตั่วหลินตื่นกลัวจนเสียงสั่น “บัดซบ เจ้ามันไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
“แน่ใจหรือว่าเป็นเช่นนั้น”
เสาหินที่ตั้งอยู่ข้างกายไป๋เสี่ยวเซียวสั่นไหวเล็กน้อย หลังจากนั้น ตัวของเด็กสาวก็เปลี่ยนเป็นลำแสงหายวับไปในอากาศ
วูบ!
ลมหายใจต่อมา นางก็มาปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าพานตั่วหลิน
กำปั้นทมิฬถูกต่อยออกมาราวกับลูกธนูหลุดออกจากแหล่ง
“พวกเราเผ่าเทพตะวันก็มีเพลงหมัดร้ายกาจไม่แพ้ผู้ใด”
พานตั่วหลินกระแทกหมัดสวนกลับออกไป
เปรี้ยง!
หมัดของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน คลื่นพลังอันน่ากลัวแผ่กระจายไปรอบบริเวณ
กร๊อบ!
กระดูกแขนขวาของพานตั่วหลินแตกหัก กระดูกสีขาวทิ่มแทงทะลุผิวหนังออกมาด้านนอก โลหิตพุ่งกระฉูด
“อ๊าก…”
ขุนนางใหญ่จากเผ่าเทพตะวันส่งเสียงร้องโหยหวน “นังแพศยา เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำร้ายเทพเจ้าอย่างข้า เจ้า…”
ใบหน้าของไป๋เสี่ยวเซียวปรากฏความดุดันอำมหิต นางปล่อยหมัดออกมาอีกครั้งด้วยความเกรี้ยวกราด
เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร
เปรี้ยง!
กำปั้นของเด็กสาวกระแทกเข้าไปเต็มหน้าอกของพานตั่วหลิน
กร๊อบ! กร๊อบ! กร๊อบ! กร๊อบ!
ได้ยินเสียงกระดูกแตกหักดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กระดูกหน้าอกของพานตั่วหลินพลันยุบตัวลงไป
“ตายซะเถอะ”
ไป๋เสี่ยวเซียวรัวหมัดด้วยความดุดัน ไม่มีทีท่าว่าจะรามือแม้แต่น้อย
การต่อสู้ของพวกเขารวดเร็วมากเกินไป นักรบเผ่าเทพตะวันคนอื่น ๆ เช่นเดียวกับนักเวททั้งสามคนที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น พานตั่วหลินก็ถูกทุบตีจนมีสภาพไม่ต่างจากสุนัขข้างถนน…
ในเวลาเดียวกันนี้
“ความสามัคคีคือสิ่งสำคัญที่สุด”
ทันใดนั้น เสียงที่แสดงออกถึงความมีอำนาจก็ดังขึ้น
คลื่นพลังที่แผ่ความกดดันในอากาศทำให้สีหน้าของไป๋เสี่ยวเซียวแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางหยุดชะงักกำปั้นของตนเอง
และนั่นก็เป็นจังหวะที่พานตั่วหลินรีบหมุนตัวหลบหนีไปทางด้านหลัง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองต้องถูกต่อยจนตาย
ลำแสงหลายสายทิ้งตัวลงมาจากท้องฟ้า
เปลี่ยนเป็นร่างของผู้คน
คนแรกมีร่างกายผอมสูง สวมใส่เสื้อคลุมสีดำราวกับท้องฟ้ายามราตรี บนเสื้อคลุมปรากฏจุดสีดำเล็ก ๆ ไม่ต่างไปจากดวงดาวดาราดาษ
บุรุษวัยกลางคนผู้นี้มีผมสีดำดกหนา หัวไหล่กว้าง เอวบาง ใบหน้าหล่อเหลาราวกับหยกแกะสลัก สองเท้าของเขาปกคลุมด้วยหมอกควันสีดำที่น่าพิศวง ในมือขวาถือไม้คทาสีดำทมิฬ บริเวณยอดคทาประดับอัญมณีสีดำแวววาว…
พลังกดดันจากคนผู้นี้รุนแรงมาก ทำให้แสงสว่างที่อยู่รอบตัวดับวูบลง ผู้คนจึงมองไม่เห็นใบหน้าของเขาอีก…
ด้านหลังชายผู้นี้ยังยืนด้วยนักรบในชุดเกราะสีดำทมิฬอีกสองคน พวกเขามีหน้าตาดุดันอำมหิต พลังกดดันที่ปล่อยออกมาจากร่างกายรุนแรงหนาแน่น
เป็นพลังเวทมนตร์
ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนนี้เป็นองครักษ์
พวกเขาต่างก็ถูกส่งตัวมาจากสภาเทพเจ้า
“ข้าน้อยขอคารวะท่านใต้เท้าอวิ๋นจี”
แม้พานตั่วหลินจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่กล้าลังเลรีรอ รีบประสานมือทำความเคารพทันที
บรรดาลูกสมุนของเขาและนักเวทจากเผ่าเทพตะวันก็ทำความเคารพต่อผู้ที่ถูกเรียกว่าใต้เท้าอวิ๋นจีเช่นกัน
ไม่ใช่เพียงเท่านี้
แม้แต่ผู้คนที่เดินอยู่บนท้องถนนก็ยังคุกเข่าลงก้มศีรษะคำนับกับพื้นดินเช่นกัน
ไม่มีใครกล้าเงยหน้ามองใต้เท้าอวิ๋นจีอีกแล้ว
ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมและบรรดาเด็กรับใช้ล้วนวิ่งออกมาคุกเข่าทำความเคารพกันอย่างพร้อมเพียง
เห็นได้ชัดว่านักเวทผู้นี้มีสถานะไม่ต่ำต้อย
ในยามปกติ เป็นเรื่องยากมากที่นักเวทอวิ๋นจีจะปรากฏตัวออกมาในพื้นที่เขตสอง
สีหน้าของไป๋เสี่ยวเซียวปรากฏความตื่นกลัวขึ้นมาแล้ว
เพียงอีกฝ่ายกล่าวคำว่า ‘ความสามัคคีคือสิ่งสำคัญที่สุด’ นางก็ไม่กล้าลงมือรังแกผู้คนอีก จึงเป็นการแสดงให้เห็นแล้วว่าตนเองยำเกรงอีกฝ่ายมากเพียงใด
และชาวเผ่าจันทราขาวที่นั่งรับประทานอาหารร่วมกับไป๋เสี่ยวเซียวก่อนหน้านี้ก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเช่นกัน
“ชาวเผ่าจันทราขาว พวกเจ้าไม่สมควรมาก่อเรื่องในเมืองเยี่ยเฉิง”
เสียงของนักเวทอวิ๋นจีดังกังวานไปทั่วบริเวณ “หากเจ้ายอมแต่งงานกับคนตระกูลพาน เจ้าก็จะได้รับตำแหน่งเทพเจ้าโดยทันที นี่เป็นโอกาสที่ผู้คนจำนวนมากต่างก็ใฝ่ฝันถึง… จงอย่าได้ปฏิเสธโชคชะตาของตนเองอีกเลย”
ไป๋เสี่ยวเซียวพลันแสยะยิ้มและหัวเราะในลำคอด้วยความเย้ยหยัน
นักเวทอวิ๋นจีพูดออกมาอีกครั้ง “นอกจากนี้ การทำร้ายผู้คนจากเผ่าเทพตะวัน จะทำให้เจ้าถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่โดยทันที”
ไป๋เสี่ยวเซียวกำมือเป็นหมัดแน่นและกล่าวสวนกลับไป “ข้าเข้าร่วมการแข่งขันก็เพื่อทวงคืนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แม้พวกท่านจะมาจากสภาเทพเจ้า ข้าก็ไม่หวั่นเกรง ต่อให้นี่จะเป็นการทำผิดกฎ แต่ข้าก็จะเข้าร่วมการแข่งขันต่อไป… ครั้งนี้ ข้าจะต้องทวงคืนทุกอย่างที่เคยเป็นของเผ่าจันทราขาวกลับมาให้ได้”
“หากเป็นเช่นนั้น เผ่าของเจ้าก็คงรับผลที่ตามมาไม่ไหวแล้ว”
นักเวทอวิ๋นจีกล่าวเสียงเรียบ “ในดินแดนทวยเทพ ไม่มีผู้ใดสามารถขัดคำสั่งจากสภาเทพเจ้า”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
“จริงหรือ? ข้าไม่เชื่อ”
เสียงที่สามพลันดังขึ้น
หลินเป่ยเฉินผู้สวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีดำและสวมหน้ากากสัตว์อสูรลายเปลวไฟค่อยๆ เดินเข้ามาจากริมถนน
นักเวทอวิ๋นจีหรี่ตาลงเล็กน้อย
เจี๋ยนเซียวเหยา?
เขามาทำอะไรที่นี่?
เมื่อไป๋เสี่ยวเซียวเห็นร่างของหลินเป่ยเฉิน ใบหน้าที่สวยงามของนางก็แสดงความดุร้ายออกมาทันที
แม้นางจะไม่เคยเผชิญหน้าตัวจริงของเจี๋ยนเซียวเหยามาก่อน แต่เด็กสาวก็เคยได้ยินชื่อเสียงเรื่องความชั่วร้ายของเขามาแล้ว รวมไปถึงการแสดงฝีมือของเจี๋ยนเซียวเหยาระหว่างการแข่งขันค้นหาเทพเจ้า มันจึงทำให้ไป๋เสี่ยวเซียวต้องระมัดระวังบุรุษผู้นี้เป็นพิเศษ
มีข่าวลือว่าบุคคลผู้นี้มีนิสัยดุร้ายก้าวร้าว จิตใจอำมหิต แม้แต่ขุนนางเทวะก็สามารถฆ่าได้ไม่ลังเล สองมือของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเลือดของคนตาย… แล้วเจี๋ยนเซียวเหยามาที่นี่เพราะเหตุใด?
นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
แต่หากจะพูดถึงบุคคลที่ตื่นกลัวมากที่สุดในเวลานี้ แน่นอนว่าคงไม่ใช่ไป๋เสี่ยวเซียว
กลับเป็นผู้คนจากเผ่าเทพตะวันหลายสิบชีวิตนั้น
เมื่อพวกเขาเห็นร่างของหลินเป่ยเฉินปรากฏตัวขึ้น ทุกคนก็ใบหน้าซีดขาว สีหน้าแสดงออกถึงความหวาดกลัวราวกับเห็นยมทูตถือเคียวมาเตรียมเอาชีวิตของตนเองก็ไม่ปาน