ตอนที่ 1,346 เทพบรรพบุรุษ
ด้านหลังโรงเตี๊ยมเยวียนจิง
ห้องเก็บฟืน
“เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่มาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินกวาดตาสำรวจมองห้องเก็บฟืนและอดประหลาดใจไม่ได้
“ถูกต้อง ศิลาเทวะที่ข้ามีติดตัวอยู่ถูกใช้ไปจนหมดแล้ว ข้าต้องหาที่พักที่มีราคาถูกที่สุดเพื่ออยู่อาศัย ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมแห่งนี้ใจดีมาก นอกจากให้พวกเราอยู่ที่นี่โดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่าแล้ว ยังมอบน้ำร้อน ไม้ฟืนและพืชผักให้พวกเรารับประทานอีกด้วย เราเพียงแต่ต้องหาเนื้อสัตว์มารับประทานเองเท่านั้น”
ไป๋เสี่ยวเซียวตอบคำถามโดยไม่ปิดบัง
หลังจากนั้น นางก็จ้องมองใบหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ “ตกลงท่านเป็นใครกันแน่? ทำไมถึงได้มีของสิ่งนี้อยู่ในมือ?”
บัดนี้ เด็กสาวเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของปีศาจน้อยเจี๋ยนเซียวเหยาอย่างถนัดตา มันคือจี้เขี้ยวอสูรที่นางเคยมอบให้แก่คนรักของตนเอง
หลินเป่ยเฉินยิ้มเล็กน้อยและถอดหน้ากากออก
ไป๋เสี่ยวเซียวยืนตกตะลึง ก่อนฉีกยิ้มด้วยความดีใจและวิ่งเข้ามาสวมกอดหลินเป่ยเฉินแนบแน่น “หลินหลาง”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
นี่มันชื่อเรียกอะไรกันเนี่ย
“สตรีในเมืองนี้มักจะใส่คำว่าหลางต่อท้ายชื่อคนที่นางรักเจ้าค่ะ หากท่านไม่ชอบ ข้าก็จะเรียกท่านพี่หลินเหมือนเดิม”
ไป๋เสี่ยวเซียวกอดรัดหลินเป่ยเฉินไม่ยอมปล่อย “พี่หลิน ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ท่านมาตามหาข้าใช่หรือไม่? ท่านทราบว่าข้าจะมาที่นี่ จึงมารอคอยใช่ไหมเจ้าคะ?”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
หากไป๋เสี่ยวเซียวเป็นผู้คนในโลกยุคปัจจุบันของเขา นางต้องเป็นนักเขียนนิยายออนไลน์ที่ดีมากแน่ ๆ
“มาคุยกันก่อนดีกว่าว่าเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินจับไหล่ของไป๋เสี่ยวเซียวและดันนางออกไปจากอ้อมอก ก่อนรีบเปลี่ยนเรื่องโดยเร็ว “เจ้าควรอยู่ที่เผ่าจันทราขาวไม่ใช่หรือ? แล้วเจ้ามาปรากฏตัวในดินแดนทวยเทพได้อย่างไร? มิหนำซ้ำ ยังมีพลังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้อีก?”
ไป๋เสี่ยวเซียวกะพริบตาปริบ ๆ และอธิบายว่า “หลังจากที่ท่านจากไป เผ่าของเราก็เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย”
ปรากฏว่าหลังจากที่จักรวรรดิเป่ยไห่ทำภารกิจตรวจสอบลำดับจักรวรรดิสำเร็จ องค์จักรพรรดิและหลินเป่ยเฉินเดินทางกลับออกมาจากดินแดนจันทราขาว ความอุดมสมบูรณ์ของผลกวนเจี๋ยก็ทำให้ชาวเผ่าแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไป๋เสี่ยวเซียวเดินทางออกจากดินแดนจันทราขาวเพื่อไปยังแดนที่เรียกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลังจากผ่านการคัดเลือกอยู่หลายรอบ นางก็ได้รับเลือกให้เป็นลูกศิษย์เอกของวิหารแห่งซากปรักหักพัง โดยที่มีผู้อาวุโสใหญ่นามว่าซืออันหรานเป็นอาจารย์และความแข็งแกร่งของไป๋เสี่ยวเซียวก็เพิ่มขึ้นมากมายนับจากนั้นเป็นต้นมา
“ผู้อาวุโสใหญ่ดีต่อข้ามาก เขาสอนข้าทุกวิถีทางเพื่อให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น สุดท้ายก็สามารถปลดผนึกพลังของเทพบรรพบุรุษที่อยู่ในสายเลือดของข้าได้สำเร็จ หลังจากหลอมรวมพลังได้โดยสมบูรณ์ ข้าก็กลายเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในเผ่าจันทราขาวแล้ว”
พูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของไป๋เสี่ยวเซียวก็แสดงออกถึงความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
ในที่สุด นางก็มีความแข็งแกร่งเทียบเคียงได้กับบุรุษที่นางหลงรัก
เมื่อตนเองมีความแข็งแกร่งมากขึ้น สิ่งแรกที่ไป๋เสี่ยวเซียวอยากกระทำก็คือการตามหาหลินเป่ยเฉิน
สำหรับเรื่องนี้ นางจะให้ใครรู้ไม่ได้
ผลก็คือ เด็กสาวแอบเข้าไปในเขตต้องห้ามของวิหารเพื่อที่จะใช้กระจกวิเศษสอบถามถึงที่อยู่ในปัจจุบันของหลินเป่ยเฉิน
แต่นี่กลับเป็นหายนะใหญ่หลวง
เรื่องราวที่ตามมาหลังจากนั้นกลายเป็นจุดพลิกผัน
ภายในห้องแห่งความลับที่เก็บของวิเศษเอาไว้มากมายนั้น นอกจากมีกระจกวิเศษบานหนึ่งแล้ว ก็ยังมีวัตถุปริศนาอีกหลายชิ้นที่ไป๋เสี่ยวเซียวไม่เคยเห็นมาก่อน
แม้แต่ผู้อาวุโสของเผ่าจันทราขาวก็คงไม่ทราบเช่นกันว่าพวกมันคืออะไร…
สิ่งของเหล่านี้เป็นวัตถุโบราณที่เต็มเปี่ยมไปด้วยปริศนาดำมืด
หนึ่งในนั้นคือไม้เท้ากระดูกขาวขนาดใหญ่
และคัมภีร์ปริศนาที่อยู่ในสภาพขาดวิ่น
นี่คือคัมภีร์ที่ตกทอดมาจากเทพบรรพบุรุษของเผ่าจันทราขาว
“พี่หลินทราบหรือไม่ว่าในคัมภีร์นั้นมีเนื้อหาเป็นอย่างไร?”
ไป๋เสี่ยวเซียวกอดแขนหลินเป่ยเฉินพลางถามเองและตอบเองว่า “ปรากฏว่าเทพบรรพบุรุษของพวกเราเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเทพเจ้าแห่งแดนรกร้าง คัมภีร์เล่มนั้นบอกถึงข้อมูลมากมาย รวมถึงเรื่องที่เทพเจ้าแห่งแดนรกร้างเคยรับปากกับเทพบรรพบุรุษของพวกเราว่าจะอนุญาตให้ชาวเผ่าจันทราขาวเข้าร่วมการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่ได้เป็นกรณีพิเศษ และหากเทพบรรพบุรุษของพวกเราสามารถเอาชนะการแข่งขันได้สำเร็จ ของรางวัลทั้งหมดก็จะตกเป็นของชาวเผ่าจันทราขาวแล้ว”
หลินเป่ยเฉินประหลาดใจไม่น้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้
มีเรื่องราวนี้อยู่ด้วยหรือ?
ตามความเข้าใจของเขาก่อนหน้านี้ เผ่าจันทราขาวเป็นผู้คนจากดินแดนนอกระบบเทพเจ้า บรรพบุรุษของพวกเขาจึงมีสถานะเป็นปีศาจ ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามกับเทพเจ้าในดินแดนทวยเทพ
แต่กลับปรากฏว่าปีศาจและเทพเจ้าไม่ใช่ศัตรูกัน
มิหนำซ้ำ ข้อมูลในคัมภีร์โบราณยังระบุอีกว่าเทพบรรพบุรุษของชาวเผ่าจันทราขาวซึ่งควรจะเป็นปีศาจนั้นกลับต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านเทพแห่งแดนรกร้าง และความสัมพันธ์ของพวกเขาคงแน่นแฟ้นพอสมควร มิฉะนั้น เทพเจ้าแห่งแดนรกร้างก็คงไม่สัญญาเช่นนั้นกระมัง?
“ด้วยเหตุนี้ เจ้าถึงได้เดินทางมาเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้สินะ?”
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ได้เข้าใจแล้วว่าไป๋เสี่ยวเซียวมาปรากฏตัวในดินแดนทวยเทพได้อย่างไร
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ เมื่อเทพเจ้าใหญ่ในตลาดการค้าเห็นข้อมูลในคัมภีร์นั้น เขาก็ช่วยเหลือข้าในหลาย ๆ อย่างและแต่งตั้งข้าเป็นบุตรสาวบุญธรรมอีกด้วย”
“หุหุ ข้าไม่คิดเลยว่าตนเองจะโชคดีเช่นนี้”
“แต่เรื่องยังไม่จบนะเจ้าคะ ท่านเทพเจ้าผู้นั้นยังได้ช่วยเหลือข้าปลดผนึกพลังพิเศษจากสายเลือดบรรพบุรุษอีกหลายส่วน และนั่นจึงทำให้ข้าพร้อมเข้าร่วมการแข่งขันอย่างแท้จริง”
เมื่อไป๋เสี่ยวเซียวบอกเล่ามาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของนางก็เต็มเปี่ยมด้วยความมั่นอกมั่นใจ
ยามอยู่ต่อหน้าหลินเป่ยเฉิน เด็กสาวไม่ได้เป็นนางเสือดาวผู้ดุร้ายอีกแล้ว แต่ไป๋เสี่ยวเซียวกลับเป็นเพียงเด็กสาวที่ไม่สามารถซ่อนเร้นความตื่นเต้นของตนเองได้อีก และความรู้สึกของนางก็แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน
“แต่เจ้าเดินทางมาที่นี่ได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินถามอีกครั้ง “หากข้าจำไม่ผิด ดินแดนจันทราขาวกับตลาดการค้าสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ แต่จากตลาดการค้านั้นไม่น่าจะเดินทางมาที่ดินแดนทวยเทพแห่งนี้ได้ไม่ใช่หรือ?”
ไป๋เสี่ยวเซียวหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ตอนแรกข้าเองก็เข้าใจเช่นนั้น แต่ภายหลังท่านพี่ชินอวิ๋นได้รับคำสั่งจากเทพเจ้าใหญ่แห่งตลาดการค้าให้ส่งข้ามายังดินแดนแห่งนี้ นางจึงได้มอบแผ่นป้ายศักดิ์สิทธิ์มาให้กับข้าแผ่นหนึ่ง”
“และปรากฏว่าแผ่นป้ายนั้นเป็นตัวเปิดผนึกค่ายอาคมประตูมิติเจ้าค่ะ”
“และด้วยการขอร้องเป็นกรณีพิเศษของข้า ในที่สุด ชาวเผ่าจันทราขาวของเราจึงสามารถเดินทางมาที่ดินแดนทวยเทพได้สำเร็จ และข้าก็ได้นำผู้อาวุโสทั้งสามท่านจากวิหารแห่งซากปรักหักพังติดตามมาด้วย…”
“เมื่อมาถึงที่นี่ เราก็ได้นำแผ่นป้ายศักดิ์สิทธิ์นั้นไปเข้าพบกับท่านใต้เท้าเหลียน หลังผ่านการตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อย นางจึงอนุญาตให้ข้าเข้าร่วมการแข่งขันประจำปีนี้เจ้าค่ะ”
“อิอิ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หลิน เรื่องราวของข้าน่าตื่นเต้นหรือไม่?”
ไป๋เสี่ยวเซียวทำหน้าตาน่ารักน่าชัง ไม่ต่างจากเด็กอนุบาลอยากได้คำชมเชยจากผู้เป็นครู
“ตื่นเต้นมากกว่าพวกนิยายในเน็ตตั้งหลายเรื่องแน่ะ”
หลินเป่ยเฉินตอบรับกลับไปด้วยความชื่นชม
ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้แหละนะ
ไม่มีผู้ใดสามารถเป็นตัวเอกได้ตลอดไปอยู่แล้ว
ทุกคนต่างก็มีความสำคัญเท่าเทียมกัน
อย่างเช่นตัวเขาเองมีโทรศัพท์มือถือช่วยในการฝึกวิชาจนมีพลังแข็งกล้า และมักจะหลงลำพองใจว่าตนเองเป็นผู้ไร้เทียมทานเสมอ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าภายในระยะเวลาสั้น ๆ ไป๋เสี่ยวเซียวกลับสามารถเพิ่มพูนพลังได้อย่างแข็งแกร่งน่าเหลือเชื่อ จนสามารถมายืนหยัดเทียบเคียงกับเขาในการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าอย่างไม่เคอะเขิน
เมื่อสักครู่นี้ ไป๋เสี่ยวเซียวเอ่ยถึงไป๋ชินอวิ๋นออกมาเล็กน้อย
หลินเป่ยเฉินลังเลใจอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป
เพราะไป๋เสี่ยวเซียวไม่ทราบมาก่อนว่าเขารู้จักกับพี่สาวของนาง พูดไปตอนนี้ก็มีแต่วุ่นวายกันเสียเปล่า ๆ
“แล้วพี่หลินมาที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ?”
เมื่อไป๋เสี่ยวเซียวบอกเล่าเรื่องราวของตนเองจบ นางก็เป็นฝ่ายถามกลับมาบ้าง
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งเป็นไม่ได้ยิน พูดว่า “การแข่งขันกำลังจะดำเนินมาถึงรอบสุดท้ายแล้ว สถานการณ์อันตรายมาก ข้ากังวลว่าเจ้าจะตกอยู่ในอันตราย ดังนั้น เดิมทีจึงตั้งใจจะมาเกลี้ยกล่อมให้เจ้าถอนตัวออกจากการแข่งขัน แต่คิดไม่ถึงเลยว่า…”
พูดมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็ต้องถอนหายใจ
หากไป๋เสี่ยวเซียวเข้าร่วมการแข่งขันโดยที่มีความหวังของชาวเผ่าแบกอยู่เต็มสองบ่า นางคงไม่ยินยอมถอนตัวแน่ ๆ
เพราะการแข่งขันครั้งนี้ นางไม่ได้ทำเพื่อตนเอง
แต่นางทำเพื่อคนทั้งเผ่า
ไป๋เสี่ยวเซียวคือความหวังของเผ่าจันทราขาว
“คิดไม่ถึงอะไรเจ้าคะ?”
ไป๋เสี่ยวเซียวกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความสงสัย ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “พี่หลิน ข้าขอรับปากกับท่าน ข้าจะถอนตัวออกจากการแข่งขันครั้งนี้”
“ว่าไงนะ?”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความตกใจ
ทำไมถึงตัดสินใจง่ายดายขนาดนี้?
นางรู้หรือไม่ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่?