ตอนที่ 1,347 หม้อกระดองเต่าจักรพรรดิ
“ตราบใดที่เป็นความต้องการของพี่หลิน ข้าไม่มีทางปฏิเสธ”
ไป๋เสี่ยวเซียวเงยหน้าที่สวยงามของนางขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หลินเป่ยเฉินถึงกับตกตะลึง
เหตุผลนี้มัน…
ไป๋เสี่ยวเซียวเห็นแก่เหตุผลส่วนตัวมากกว่าความสำคัญของชาวเผ่าตนเองอีกหรือ?
เขาต้องการจะหยอกเย้ากลับไปว่า นี่เจ้าเห็นข้าสำคัญกว่าผู้คนทั้งเผ่าอีกหรือ?
แต่เมื่อเห็นแววตาจริงจังของเด็กสาว หลินเป่ยเฉินก็พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ไป๋เสี่ยวเซียวจ้องมองเขาด้วยแววตาเคร่งเครียด เพียงมองดูก็รู้ว่านางหมายความตามที่พูดจริง ๆ ไม่ได้เป็นเพียงความต้องการประจบเอาใจเขาเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินรู้สึกปวดแปลบราวกับถูกไฟฟ้าช็อตที่ขั้วหัวใจ
“แล้วเผ่าของเจ้าจะทำอย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับ ถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เจ้าต้องการชนะการแข่งขันครั้งนี้ เพื่อทวงคืนสมบัติทุกอย่างที่ควรจะเป็นของเผ่าจันทราขาวไม่ใช่หรือ?”
ไป๋เสี่ยวเซียวพยักหน้า ก่อนหัวเราะด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “นั่นคือความต้องการของท่านเทพบรรพบุรุษ แต่ท่านเทพเจ้าใหญ่แห่งตลาดการค้าสอนข้ามาว่า สิ่งที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้คือตัวเราเองต่างหาก ชาวเผ่าจันทราขาวไม่ได้ยึดติดกับอดีตถึงขนาดนั้น… และข้าก็ไม่ทราบว่าหากตนเองเป็นผู้ชนะจริง ๆ พวกเราจะได้ตำแหน่งเทพเจ้าและของรางวัลตามคำสัญญาหรือไม่ ข้าเคยลองเปรยเรื่องนี้กับใต้เท้าเหลียนแล้ว แต่ดูเหมือนนางจะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่”
สำหรับหลินเป่ยเฉิน ไม่มีสิ่งใดที่ไป๋เสี่ยวเซียวจะต้องปิดบังต่อเขา
นอกจากความจริงที่ว่านางหลงรักเขาหมดหัวใจแล้วนั้น อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญก็คือหลินเป่ยเฉินเคยเป็นผู้ช่วยชีวิตนางและชาวเผ่าจันทราขาวทุกคนเอาไว้
หากไม่ใช่เพราะหลินเป่ยเฉินยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ป่านนี้เผ่าจันทราขาวคงสูญสิ้นไปแล้ว
เรื่องนี้นับเป็นบุญคุณที่นางใช้ทั้งชีวิตตอบแทนก็ไม่มีวันหมด
สตรีชาวเผ่าจันทราขาวมีจิตใจเด็ดเดี่ยวเสมอ
ต่อให้รู้ว่านี่คือความรักที่จะมีบทสรุปเป็นความเจ็บปวด แต่ไป๋เสี่ยวเซียวก็ไม่กลัว
หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือไปยีศีรษะไป๋เสี่ยวเซียวเล่น ก่อนอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “การแข่งขันครั้งนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ข้าอยากให้เจ้าถอนตัว เพราะข้ากลัวว่าเจ้าจะได้รับอันตราย…”
“ข้ารู้เจ้าค่ะ”
ไป๋เสี่ยวเซียวมีดวงตาเป็นประกายแวววาวราวกับดวงดารา พูดด้วยเสียงเป็นธรรมชาติว่า “พี่หลินย่อมเป็นห่วงข้า จึงอยากให้ข้าถอนตัวออกจากการแข่งขัน แต่ท่านไม่เหมือนกลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านนอก พวกเขาต่างก็หวังผลประโยชน์ทั้งสิ้น หากไม่มีข้าร่วมการแข่งขัน พวกเขาก็จะหมดคู่แข่งไปอีกหนึ่งคน และพวกเขาก็อยากจะได้ชาวเผ่าจันทราขาวไปเป็นบริวาร… นับเป็นกลุ่มเทพเจ้าที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง สมควรต้องสั่งสอนให้หลาบจำนัก”
แม้ว่าเด็กสาวจะขาดประสบการณ์ต่อการผจญภัยในโลกภายนอก แต่ด้วยความฉลาดเฉลียวของนาง ไป๋เสี่ยวเซียวย่อมอ่านสถานการณ์ได้ทะลุปรุโปร่ง
ดังนั้น นางจึงเลือกตัดสินใจทุกอย่างตามความต้องการของตนเอง
หลินเป่ยเฉินขยี้ศีรษะของไป๋เสี่ยวเซียวเล่นอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วงนะ ชาวเผ่าจันทราขาวก็เปรียบเสมือนญาติพี่น้องของข้า… ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะพยายามหาทางทวงคืนทรัพย์สมบัติที่เคยเป็นของชาวเผ่าจันทราขาวกลับมาให้ได้”
“เจ้าค่ะ”
ไป๋เสี่ยวเซียวพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าเชื่อมั่นในตัวพี่หลินเสมอ”
“อ้อ แล้วก็อย่าให้ใครรู้นะว่าพวกเราเคยรู้จักกันมาก่อน” หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ “ช่วงหลังข้าสร้างศัตรูไว้เยอะมากเกินไป อาจทำให้เจ้าได้รับอันตราย เจ้าและผู้อาวุโสอีกสามท่านพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ต่อไปเถอะ มีความคืบหน้าอย่างไร ข้าจะมาแจ้งอีกที”
“รับทราบเจ้าค่ะ”
ไป๋เสี่ยวเซียวพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังพี่หลินเสมอ”
หลินเป่ยเฉินหยิบถุงหนังสัตว์บรรจุศิลาเทวะหนึ่งร้อยก้อนออกมายื่นส่งให้นาง “ย้ายเข้าไปอยู่ในห้องที่ดีกว่านี้ ซื้ออาหารอร่อย ๆ รับประทาน หาเสื้อผ้าดี ๆ มาสวมใส่ บัดนี้ ข้าพอจะมีเงินทองอยู่บ้าง หากเงินก้อนนี้ยังไม่พอ ข้าจะให้คนนำมาเพิ่มอีก”
“ไม่ต้องแล้วเจ้าค่ะ”
ครั้งนี้ ไป๋เสี่ยวเซียวกลับปฏิเสธอย่างแข็งขัน
หลังจากนั้น เด็กสาวก็กล่าวด้วยความกระตือรือร้นว่า “เพียงเท่านี้ ชาวเผ่าจันทราขาวเราก็เป็นหนี้บุญคุณพี่หลินมากมายแล้ว ต่อให้ข้าใช้เวลาทั้งชีวิตก็คงทดแทนบุญคุณท่านไม่หมด… แม้ข้าเพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่ข้าก็ทราบดีว่าศิลาเทวะเป็นสิ่งมีค่าขนาดไหน อย่าว่าแต่เป็นชาวเผ่าจันทราขาวเราเลย ต่อให้เป็นวิหารแห่งซากปรักหักพัง พวกเขาก็สามารถหาศิลาเทวะได้เพียงปีละไม่กี่ก้อนเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินไม่ยอมรับฟัง
เขายัดถุงเก็บศิลาเทวะใส่มือของไป๋เสี่ยวเซียวพร้อมกล่าวว่า “สาวน้อย ตอนที่พวกเราอยู่ในเผ่าจันทราขาว เจ้าเชื่อฟังข้าเสมอไม่ใช่หรือ? บัดนี้ ไม่เจอหน้ากันเพียงไม่นาน เจ้ากลับไม่เชื่อฟังข้าแล้ว”
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ…”
ไป๋เสี่ยวเซียวรีบส่ายหน้าปฏิเสธด้วยความร้อนรน
หลินเป่ยเฉินหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รับไว้เถอะ… จริงด้วยสิ หม้อใบใหญ่ที่อยู่ข้างนอกนั้นเป็นของเจ้าหรือ?”
เด็กหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องโดยเร็ว
ไป๋เสี่ยวเซียวถือถุงเก็บศิลาเทวะอยู่ในมือและกล่าวตอบว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ นั่นเรียกว่าหม้อกระดองเต่าจักรพรรดิ เป็นหนึ่งในของวิเศษที่ท่านเทพเจ้าใหญ่แห่งตลาดการค้ามอบให้กับข้า นอกจากสามารถใช้ทำอาหารในเวลาปกติได้แล้ว ยามต่อสู้ยังสามารถนำมาสวมไว้บนแผ่นหลัง ใช้กำบังอาวุธจากฝ่ายตรงข้ามได้อีกด้วยเจ้าค่ะ…”
สวมใส่บนแผ่นหลัง?
ใช้กำบังอาวุธจากฝ่ายตรงข้าม?
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตนเองสมควรหัวเราะหรือร้องไห้มากกว่ากัน “ยังมีความสามารถพิเศษใดอีกหรือไม่?”
ไป๋เสี่ยวเซียวยืดตัวขึ้นและยกมือตบหน้าอกตนเองด้วยความภาคภูมิใจ “การปลดผนึกพลังจากสายเลือดของข้านั้น ทำให้ข้าต้องรับประทานเนื้อสัตว์ทุกวันเป็นจำนวนมาก และความพิเศษของหม้อกระดองเต่าจักรพรรดิใบนี้ก็คือ เนื้อหนึ่งชิ้นที่นำลงไปประกอบอาหารจะมีคุณค่าทางอาหารเท่ากับเนื้อหนึ่งร้อยชิ้นเจ้าค่ะ และนั่นก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายข้าแล้ว”
หืม?
ถือว่าเป็นของวิเศษจริง ๆ ด้วย
ตอนแรกที่ได้ยินว่าหม้อใบนี้มีชื่อเรียกเป็นหม้อกระดองเต่าจักรพรรดิ หลินเป่ยเฉินเข้าใจว่ามันทำขึ้นมาจากกระดองเต่าเสียอีก
แต่ฟังคำอธิบายจากไป๋เสี่ยวเซียวแล้วคงไม่น่าใช่
แล้วมันเกี่ยวข้องกับกระดองเต่าตรงไหนกัน?
ท่านเทพเจ้าใหญ่แห่งตลาดการค้าคงมีปัญหาทางสมองแน่ ๆ
หลินเป่ยเฉินแอบบ่นอยู่ในใจ
ไป๋เสี่ยวเซียวเห็นเขามีสีหน้าคล้ายกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง จึงรีบกล่าวออกมาทันที “หากพี่หลินอยากได้หม้อใบนั้น ข้ายินดีมอบให้กับท่าน”
“เอ่อ…”
หลินเป่ยเฉินรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก”
เขาประทับใจในความทุ่มเทของเด็กสาวคนนี้จริง ๆ
ไม่ว่าเขาต้องการสิ่งใด หากนางมีมันอยู่ในการครอบครอง ไป๋เสี่ยวเซียวก็จะมอบให้เขาโดยไม่ลังเล
“จริงด้วยสิ หากเจ้าจะถอนตัวออกจากการแข่งขัน เจ้าจะถอนตัวออกมาเฉย ๆ ไม่ได้ ข้ามีวิธีที่จะทำให้เจ้าได้รับเงินก้อนโต”
พลัน หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาด้วยความเจ้าเล่ห์
…
นักเวทอวิ๋นจีและพรรคพวกยังคงรอคอยอยู่ด้านนอก
หลายครั้งที่เขาอยากใช้พลังเวทมนตร์เพื่อแอบฟังบทสนทนาที่อยู่ด้านในโรงเตี๊ยม แต่สุดท้ายก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจ
หากถูกเจี๋ยนเซียวเหยาจับได้…
เด็กหนุ่มจอมโหดผู้นั้นคงจะต้องไล่ฆ่าพวกเขาแน่ ๆ
อาการบาดเจ็บของพานตั่วหลินได้รับการรักษาแล้ว
เขาลุกขึ้นมายืนอยู่เคียงข้างนักเวทอวิ๋นจี กัดฟันกรอดและรอคอย
บนท้องถนนยังคงมีผู้คนจำนวนมากคุกเข่าด้วยความเกรงกลัว
ตราบใดที่นักเวทอวิ๋นจียังไม่กลับไป พวกเขาก็ไม่กล้าลุกขึ้น
ในที่สุด คนทั้งสองก็เดินกลับออกมาจากด้านในโรงเตี๊ยม
ย่อมเป็นหลินเป่ยเฉินกับไป๋เสี่ยวเซียว
ควับ ควับ
ดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองไปที่คนทั้งสอง
“เฮอะ นี่คือข้อเสนอเดียวที่ข้าให้เจ้าได้ อย่าได้โลภมากเกินไป… เจ้าลองคิดดูให้ดีก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินพ่นลมผ่านทางจมูกอย่างเย็นชา ตัวคนแปรเปลี่ยนเป็นลำแสง พุ่งหายวับไปในอากาศ
คำถามใหญ่ปรากฏขึ้นในหัวใจของนักเวทอวิ๋นจี
ดูเหมือนการเจรจาระหว่างคนทั้งสองจะไม่เป็นผลสินะ?
แล้วพวกเขาจะมีโอกาสแก้ตัวหรือไม่?
“หากพวกท่านอยากให้ข้าถอนตัวจริง ๆ ก็ได้โปรดแสดงความจริงใจออกมา”
ไป๋เสี่ยวเซียวเดินเข้ามามองหน้านักเวทอวิ๋นจีและกล่าวว่า “อย่าได้กล่าววาจาเลื่อนลอยอีกเลย สิ่งที่ข้าต้องการคือความจริงใจที่สามารถมองเห็นและจับต้องได้”