ตอนที่ 1,349 ความศรัทธาสั่นคลอน
ขั้นตอนการเกลี้ยกล่อมให้ไป๋เสี่ยวเซียวถอนตัวออกจากการแข่งขันง่ายดายมากกว่าที่หลินเป่ยเฉินคิดเอาไว้หลายเท่า
เขาช่างเป็นบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันเหลือล้น
หลินเป่ยเฉินมีความสุขมาก
ถัดจากนี้ ผู้เข้าแข่งขันคนสุดท้ายที่เขาต้องไปเกลี้ยกล่อมก็คือ…
เจ้าอ้วน!
นอกจากฮันลั่วเซวี่ย ไป๋เสี่ยวเซียวและเจ้าอ้วนสามคนนี้ ผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ จะเป็นจะตายอย่างไร ก็ไม่ข้องเกี่ยวกับหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว
ความจริง หลินเป่ยเฉินได้สั่งให้เฉียนหลงลองสืบหาชาติกำเนิดของเจ้าอ้วนมาโดยละเอียด
และเรื่องที่มารดาของเจ้าอ้วนป่วยเป็นโรคบุปผามรณะ หลินเป่ยเฉินก็รับทราบเช่นกัน
เจ้าอ้วนจะเข้าร่วมการแข่งขันต่อไปหรือไม่ การตัดสินใจล้วนขึ้นอยู่กับมารดา
ฟังจากข้อมูลที่เฉียนหลงสืบทราบมา มารดาเจ้าอ้วนมีจิตใจเด็ดเดี่ยว และนางพยายามผลักดันให้บุตรชายเข้าร่วมการแข่งขันมาโดยตลอด
เพราะฉะนั้น หลินเป่ยเฉินไม่มั่นใจเลยว่าจะสามารถเกลี้ยกล่อมหญิงชราได้สำเร็จ
เขาตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการ
ครึ่งชั่วยามต่อมา
บนท้องถนนที่สุดโทรมของพื้นที่เขตสาม เจ้าอ้วนได้พบกับผู้ขนส่งโอสถลึกลับที่มักจะนำยารักษาโรคบุปผามรณะมามอบให้แก่มารดาของเขาเสมอ
“ทะ… ทะ… ท่าน… มะ… มะ… มาหาข้า… ทะ… ทะ… ทำไมหรือ?”
เจ้าอ้วนยืนอึ้ง ข้างกายยืนหยัดด้วยเจ้ากิ้งก่ายักษ์
หนึ่งคนหนึ่งสัตว์อสูรกลายเป็นคู่หูที่ตัวติดกันไปแล้ว
เจ้ากิ้งก่ายักษ์ยืนสองขาไม่ต่างจากมนุษย์ มิหนำซ้ำ มันยังสวมใส่เสื้อคลุมและกางเกงลายดอกไม้ ที่ปากยังคาบบุหรี่ ลักษณะไม่ต่างจากองครักษ์พิทักษ์เจ้าอ้วน ดูน่าตลกขบขันอย่างยิ่ง
“หลังจากได้รับประทานยาอีกไม่กี่ชุด มารดาของเจ้าก็จะหายดี”
ผู้ส่งโอสถปริศนาซึ่งสวมใส่เสื้อคลุมสีดำปิดบังหน้าตากล่าวด้วยเสียงอันแหบแห้ง “ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเรารักษามารดาให้เจ้าโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และโอสถของพวกเราก็สามารถรักษาโรคบุปผามรณะได้ผลเป็นอย่างดี… แต่ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าจะได้มาโดยไม่ต้องตอบแทน หากเจ้าอยากให้มารดาได้รับการรักษาต่อไป เจ้าก็ต้องทำตามคำสั่งของเราเพียงหนึ่งอย่างเท่านั้น”
เจ้าอ้วนเป็นคนจริงใจใสซื่อ
เขาเตรียมตัวเตรียมใจอยู่นานแล้ว
เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “ดะ… ได้เลย… ทะ… ท่าน… ยะ… อยากให้ข้า… ทะ… ทะ… ทำอะไรหรือ?”
“ถอนตัวออกจากการแข่งขันซะ”
ผู้ส่งโอสถปริศนากล่าวเน้นย้ำทีละคำ
“ถะ… ถะ… ถอนตัวออกจากกะ… การแข่งขัน?”
เจ้าอ้วนเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง “ตะ… ตะ… แต่ว่า…”
“ไม่มีคำว่าแต่”
ผู้ส่งโอสถปริศนาไม่เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มได้ต่อรอง
เขาปฏิเสธเสียงแข็ง “หากเจ้าถอนตัวออกจากการแข่งขัน เราก็จะรักษามารดาเจ้าโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายต่อไป อย่างที่บอกว่าใช้เวลาอีกไม่นาน มารดาของเจ้าก็จะหายดี แต่หากนางขาดยาในตอนนี้ อาการทุกอย่างก็จะกำเริบกลับมาและมารดาของเจ้าก็จะต้องตายในไม่ช้า”
“คะ… คะ… คือว่า…”
เจ้าอ้วนเริ่มลนลานทำอะไรไม่ถูก
เขาเกิดความลังเล
เนื่องจากทราบดีว่าการที่ตนเองจะชนะการแข่งขันในครั้งนี้ คือความปรารถนาอันสูงสุดของมารดา
หากเขายอมรับปากอีกฝ่ายง่าย ๆ มารดาก็จะต้องเดือดดาลแล้ว
เจ้ากิ้งก่ายักษ์มองหน้าผู้ส่งโอสถปริศนา ดวงตาสีทองคำเป็นประกายแวววาวราวกับค้นพบอะไรบางอย่าง
“กรร กรร…”
มันส่งเสียงครางในลำคอออกมาสองสามครั้ง
เจ้าอ้วนต้องหันกลับไปมองหน้า “จะ… จะ… เจ้าพูดจริงหรือ?”
เจ้ากิ้งก่ายักษ์ยกขาหน้าตบหน้าอกตนเองด้วยความมั่นใจ
ดังนั้น เจ้าอ้วนจึงตอบตกลงถอนตัวออกจากการแข่งขัน
หากไม่ใช่ความปรารถนาของมารดา เขาเองก็ไม่อยากแข่งขันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว การฆ่าคนและการต่อสู้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าอ้วนสนใจ เพราะสิ่งเดียวที่เขาสนใจก็คือการรับประทานอาหารเท่านั้น
อีกอย่าง ครั้งนี้เจ้าอ้วนถอนตัวก็เพื่อมารดา
เจ้าอ้วนส่งมอบสายรัดข้อมือประจำตัวผู้เข้าแข่งขันให้แก่ผู้ส่งโอสถปริศนา
“ตัดสินใจได้ดี”
เมื่อผู้ส่งโอสถปริศนารับสายรัดข้อมือไปแล้ว เขาก็หมุนตัวเดินจากมา
“มารดาของเจ้าจะต้องได้รับการรักษาจนหายดีอย่างแน่นอน”
เมื่อกลับออกมาแล้ว ผู้ส่งโอสถปริศนาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้ากิ้งก่ายักษ์ ‘พูด’ อะไรกับเจ้าอ้วนกันแน่ เจ้าอ้วนถึงได้ตอบตกลงอย่างง่ายดายเพียงนี้
…
พื้นที่ชานเมืองเยี่ยเฉิง
เนินเขาเตี้ยรายล้อมด้วยต้นไม้เขียวขจี ก่อเกิดเป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม
บ้านเรือนจำนวนมากถูกสร้างขึ้นในบริเวณนี้ ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นกระท่อมไม้น้อยใหญ่มีขนาดความกว้างขวางแตกต่างกันไป
แต่โดยรวมแล้วบรรยากาศของที่นี่เงียบสงบ
เมื่อเทียบกับสภาพแวดล้อมในพื้นที่เขตสองและพื้นที่เขตสามของเมืองเยี่ยเฉิง บรรยากาศของเขตชานเมืองยังมีความน่าดึงดูดใจมากกว่ากันหลายเท่า
แต่ที่นี่กลับมีผู้อยู่อาศัยเพียงหยิบมือเดียว
เพราะพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ในอากาศสำหรับให้ผู้คนดูดซับมีน้อยมาก
สมุนไพรหลายชนิดไม่สามารถนำมาเพาะปลูกในพื้นที่ชานเมือง หากพลเมืองธรรมดามาอาศัยอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลานาน ร่างกายก็จะเสื่อมโทรม พละกำลังขาดหาย อายุขัยสั้นลง…
ดังนั้น จึงไม่ค่อยมีผู้คนอยากอาศัยอยู่ที่นี่สักเท่าไหร่
ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองหรือเทพเจ้า ต่อให้ยากจนเพียงใดพวกเขาก็เลือกเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองเยี่ยเฉิงที่สกปรกโสมม มากกว่าจะอาศัยอยู่ในเขตชานเมืองที่มีสภาพแวดล้อมสวยงาม
ดังนั้น ผู้ที่ครอบครองที่ดินส่วนใหญ่ในเขตชานเมืองจึงเป็นเทพเจ้าระดับสูง
มีเพียงเทพเจ้าระดับสูงเท่านั้นจึงจะสามารถมาอาศัยอยู่ในเขตชานเมืองได้โดยที่ไม่เกิดผลกระทบต่อร่างกาย และก็มีเทพเจ้าบางส่วนที่เลือกเข้าไปดูดซับพลังในตัวเมืองโดยเฉพาะและใช้พื้นที่ชานเมืองเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยหลัก
กระท่อมไม้น้อยใหญ่เหล่านั้นจัดตั้งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เจ้าของกระท่อมเหล่านี้ต่างก็เป็นเทพเจ้าผู้อ่อนแอและแทบไม่เคยมีใครรับทราบถึงการมีตัวตนอยู่ของพวกเขา
โดยส่วนใหญ่แล้ว พื้นที่ชานเมืองมักจะสงบสุข
เพราะผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่มักเป็นพวกที่ไม่กระตือรือร้นต่อการใช้ชีวิต พวกเขาจึงไม่เคยคิดแข่งขันกัน
แต่ไม่นานมานี้ ได้เกิดเหตุประหลาดขึ้น ณ พื้นที่ชานเมือง
เกิดเหตุแผ่นดินไหวอย่างไม่คาดฝัน
ศูนย์กลางของเหตุแผ่นดินไหวคือกระท่อมไม้หลังเก่าที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ นอกจากเกิดแรงสั่นสะเทือนแล้ว ยังมีเปลวไฟลุกชนพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกด้วย
และบังเกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากเปลวไฟนั้น
เมื่อบรรดา ‘เพื่อนบ้าน’ วิ่งออกมาดู เทพเจ้าผู้มีนามว่ากู่ฉาง ซึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมไม้หลังนั้นก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว
เป็นการเสียชีวิตอย่างน่าอนาถยิ่ง
เพื่อนบ้านหลายสิบชีวิตมารวมตัวกันอยู่ข้างกระท่อมไม้ที่ไหม้ไฟ
“กู่ฉางตายเสียแล้ว”
“เขาตายอย่างแปลกประหลาดเหลือเกิน”
“เทพเจ้าสามารถถูกไฟไหม้ตายได้ด้วยหรือ? แม้ว่ากู่ฉางจะเป็นเทพเจ้าระดับสามัญ แต่เขาก็ไม่สมควรตายเช่นนี้…”
–
“นั่นเป็นเพราะว่าไม่มีมนุษย์ศรัทธาเขาแล้วไงล่ะ”
“จริงด้วยสินะ เขาไม่มีสาวกอยู่บนโลกมนุษย์อีกแล้ว”
บรรดาเพื่อนบ้านต่างก็ตัวสั่นเทาเมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า
นับตั้งแต่ที่มีการลงนามในสนธิสัญญาโบราณและก่อตั้งระบบเทพเจ้าขึ้น กาลเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ ไม่เคยมีเทพเจ้าผู้ใดต้องเสียชีวิตเพราะขาดความศรัทธาจากมนุษย์มาก่อน
แต่บัดนี้ เหตุการณ์นั้นได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
กู่ฉางเป็นเทพเจ้าแห่งลมภูเขาฤดูใบไม้ผลิและเป็นสมาชิกของระบบเทพเจ้าอย่างเป็นทางการ
แม้ว่ากู่ฉางจะเป็นเทพเจ้าระดับสามัญ ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม แต่ด้วยความที่มีสถานะเป็นสมาชิกระบบเทพเจ้า เขาก็ไม่สมควรต้องตายเพราะขาดความศรัทธา
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ทุกคนต่างก็รู้สึกสงสัยอยู่ในหัวใจ
ห่างไกลออกไปนับร้อยลี้
ในคฤหาสน์หลังหนึ่ง
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยังคงหลับใหล
แสงตะวันส่องผ่านลงมาจากยอดโดมกระทบเรือนร่างของเทพธิดาสาวราวกับแสงโคมไฟ นางยังคงมีความงดงามสมบูรณ์แบบดังเดิมไม่เสื่อมคลาย
ห้องของนางเหม็นคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรา
รูปปั้นเทพีกระบี่ที่ตั้งอยู่ใจกลางห้องหมองแสงลง จากที่เคยมีรัศมีสว่างไสวราวกับแสงจันทร์นวลผ่อง บัดนี้มันกลับกลายเป็นรูปปั้นที่มีสีเทาหม่น รอยแตกร้าวปรากฏขึ้นทั่วตัวรูปปั้น คล้ายกับว่ามันพร้อมจะแตกสลายลงมาได้ทุกเมื่อ…