ตอนที่ 1,353 เรียกข้าว่าพ่อ
มองไม่เห็นตัวคน ช่างน่าหงุดหงิดเหลือเกิน
หลินเป่ยเฉินตะโกนสวนกลับไปว่า “อย่าคิดว่าเจ้าซ่อนตัวแล้วข้าจะหาเจ้าไม่เจอ… อย่าคิดนะว่าเจ้าจะเห็นข้าแต่เพียงฝ่ายเดียว”
กระบวนท่ากระบี่ที่แปด
ลำแสงกระบี่สว่างไสวออกจากมือของหลินเป่ยเฉิน
คลื่นพลังแผ่กระจาย
ลำแสงกระบี่จำนวนมากสาดส่องไปทั่วค่ายอาคมหมอกขาว
หลังจากนั้น…
วูบ! วูบ! วูบ! วูบ!
ลำแสงกระบี่จำนวนมากกระจัดกระจายไปรอบทิศทาง
นี่คือลำแสงกระบี่ของหลินเป่ยเฉิน
ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกลืนหายเข้าไปภายในหมอกขาวนั้น…
นี่คือวิธีการของหลินเป่ยเฉิน
เรียบง่ายไม่ซับซ้อน
หากอีกฝ่ายซ่อนตัวอยู่หลังม่านหมอกขาว เขาก็ต้องระเบิดลำแสงกระบี่เข้าไปแบบหว่านแห ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องค้นหาตำแหน่งพบเจอบ้าง
“อุ๊วะฮ่า ๆๆ ทำไมไม่ปากเก่งแล้วล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะออกมาอย่างตัวชั่วร้าย ร่างกายของเขาปลดปล่อยลำแสงกระบี่ออกไปรอบทิศทางสามร้อยหกสิบองศา
แต่ทันใดนั้น
“ท่านอยากให้ข้าพูดอะไร?”
เสียงของฉางจิ้งคงดังตอบกลับมาจากรอบทิศทางอย่างมีความสุข
“เรียกข้าว่าพ่อ”
หลินเป่ยเฉินพูดขณะที่ปลดปล่อยลำแสงกระบี่ต่อไป
“อิอิ ที่แท้ท่านก็มีความต้องการเพียงเท่านี้เอง”
ฉางจิ้งคงหัวเราะคิกคักเหยียดหยาม “ท่านพ่อ?”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาว่า “เชี่ย!”
นางถึงกับเรียกเขาว่าพ่อจริง ๆ
แม้จะประหลาดใจ แต่เด็กหนุ่มก็โจมตีด้วยกระบวนท่ากระบี่ที่แปดต่อไป
ทว่า ไม่ว่าโจมตีอย่างไรก็ไม่เป็นผล
ค่ายอาคมหมอกขาวแห่งนี้คงสลายลงไม่ง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว
“ท่านพ่อ วันนี้ของปีหน้า ข้าจะเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ท่าน” เสียงของฉางจิ้งคงกล่าวอย่างเย้ายวน “ท่านอยากได้สิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่? ได้โปรดสั่งเสียออกมา ลูกจะเผาไปให้”
หลินเป่ยเฉินได้แต่สบถคำหยาบอยู่ในใจ
ให้ตายเถอะ
พวกนักเวทมีวาจาร้ายกาจเช่นนี้เหมือนกันหมดหรือไม่?
ทำไมถึงได้ยั่วโมโหเขาขนาดนี้?
บัดซบที่สุด
“อย่าดีกว่า ให้พ่อเป็นฝ่ายเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ลูกเถอะนะ”
หลินเป่ยเฉินตะโกนตอบกลับไป
พูดจบ
พรึ่บ!
เขากระทืบเท้า
เปลวไฟลุกลามจากใต้เท้าแผ่กระจายออกไปราวกับใยแมงมุม
ทันใดนั้น เถาวัลย์สายฟ้าก็พุ่งทะลุขึ้นมาจากใต้สะพานหิน พวกมันลุกเป็นไฟ คลื่นความร้อนแผ่กระจายไปรอบบริเวณ
และภายใต้การควบคุมจากหลินเป่ยเฉิน เถาวัลย์ไฟเหล่านั้นก็เคลื่อนที่ไม่ต่างจากอสรพิษร้าย ซึ่งคล่องแคล่วปราดเปรียวเป็นอย่างยิ่ง
“อิอิ ท่านพ่ออย่าได้ทำเช่นนี้เลย”
เสียงของฉางจิ้งคงเดี๋ยวดังอยู่ใกล้ เดี๋ยวดังอยู่ไกล เดี๋ยวดังอยู่ทางซ้าย เดี๋ยวย้ายไปอยู่ทางขวา ส่งผลให้หลินเป่ยเฉินไม่สามารถจับทิศทางเสียงได้อย่างถนัดชัดเจน
แต่โชคดีที่เขาระมัดระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว
เพียงไม่นาน หลินเป่ยเฉินก็พบบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
เถาวัลย์ไฟของเขาครอบคลุมไปทั่วสะพานหิน
แต่หลินเป่ยเฉินกลับตรวจไม่พบการดำรงอยู่ของฉางจิ้งคง
เกิดอะไรขึ้น?
นางสามารถรอดพ้นการตรวจจับได้อย่างไร?
หรือว่า… ค่ายอาคมแห่งนี้จะเป็นมิติแยกที่อยู่นอกเหนือสะพานหินโบราณ?
พวกนักเวทนี่มันน่ารำคาญจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินเริ่มคิดหาวิธีการรับมือด้วยความปวดหัว
“ฮ่า ๆๆ…”
เสียงหัวเราะของฉางจิ้งคงพลันดังขึ้นอีกครั้ง “ท่านพ่อเป็นอะไรไป? คิดออกหรือยังว่าปีหน้าอยากได้อะไร? ลูกจะได้เผาไปให้”
เผาเชี่ยอะไรกันเล่า
นักเวทสาวผู้นี้แทบจะทำให้เขาบ้าตายแล้ว
หลินเป่ยเฉินสบถคำหยาบอยู่ในใจ
หากเขาประมาทเพียงนิดเดียว ก็คงต้องพ่ายแพ้แน่นอน
ก่อนหน้านี้ ตนเองหลงกลเข้ามาอยู่ในค่ายอาคมโดยไม่ทันตั้งตัว บัดนี้จึงรับมือได้ยากแล้ว
“ข้าจะเอาจริงแล้วนะ”
หลินเป่ยเฉินสวมหมวกเหล็กอมตะและใส่ถุงมือเทวฤทธิ์ พร้อมกันนั้นก็เปิดเพลงในพื้นหลังเพื่อเสริมสร้างพละกำลัง เปลวไฟตามร่างกายลุกโชนสว่างไสวมากกว่าเดิมหลายเท่า…
หลังจากนั้น…
“มารับความรักไปจากพ่อเสียดี ๆ”
เขาก้มตัวต่อยกำปั้นลงไปบนพื้น
หากสลายค่ายอาคมไม่ได้ ก็ถล่มสะพานให้พังไปเลยแล้วกัน
เมื่อสะพานพังถล่ม ค่ายอาคมก็จะถูกสลายไปโดยปริยาย
หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าค่ายอาคมของฉางจิ้งคงต้องครอบทับอยู่บนสะพานหินโบราณ ตราบใดที่สะพานพังถล่ม ค่ายอาคมก็จะถูกทำลาย
ครืน!
คลื่นพลังแทรกซึมเข้าสู่พื้นสะพานใต้เท้าอย่างน่ากลัว
สะพานหินโบราณสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
แต่แล้วทุกอย่างก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง
…
“นี่มันอะไรกัน?”
กลุ่มคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งห้าและพวกของฉู่เหินรับชมการถ่ายทอดสดด้วยความตกตะลึง
สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือหลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนสะพานหิน ก่อนจะก้มตัวลงไปต่อยหมัดใส่พื้นสะพานไม่หยุดยั้ง แต่ว่าสะพานหินกลับไม่เป็นอะไรเลย ผิดกับพื้นที่ริมหน้าผาซึ่งอยู่ห่างจากสะพานออกไปประมาณห้าสิบวาที่เกิดรอยแตกร้าวขึ้นมาขนาดใหญ่…
“นี่คือพลังของค่ายอาคม”
ชิงเล่ยพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “คุณชายเจี๋ยนตกเข้าไปอยู่ในค่ายอาคมโดยไม่รู้ตัว… ต่อให้เขาต่อยหมัดแทบตาย ก็ไม่มีทางสลายค่ายอาคมได้เลย”
นางเรียนวิชาเวทมนตร์กับอาจารย์อู่จิวมาได้หลายวันแล้ว จึงพอจะมีความรู้อยู่บ้าง
“ถ้าอย่างนั้นนายท่านควรทำอย่างไร?”
“เป็นเช่นนี้ต่อไป นายท่านก็ต้องพ่ายแพ้น่ะสิ?”
“บัดซบ ฉางจิ้งคงผู้นี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว”
กลุ่มคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งห้าคำรามออกมาด้วยความเดือดดาล
พวกเขาสามารถมองเห็นฉางจิ้งคงผู้ที่เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย สวมใส่เสื้อกั๊กเอวลอยและกระโปรงสั้นสีชมพูยืนอยู่ห่างจากหลินเป่ยเฉินไม่มาก แต่ดูเหมือนว่าผู้เป็นนายท่านของพวกเขาจะไม่สามารถมองเห็นหญิงสาวผมสีชมพูผู้นี้ได้เลย
“คุณชายตกอยู่ในอันตรายแล้ว”
ชิงเล่ยบิดชายเสื้อของตนเองด้วยความวิตกกังวล ใบหน้ารูปไข่ของนางแสดงออกถึงความหวาดหวั่นอย่างชัดเจน
ฉู่เหินขมวดคิ้วและถามว่า “ต้องทำอย่างไรถึงจะสลายค่ายอาคมนี้ได้?”
“ต้องฆ่าผู้ควบคุมค่ายอาคมอย่างเดียวเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ชิงเล่ยตอบ “แต่เมื่อตกอยู่ในค่ายอาคมแล้ว คุณชายเจี๋ยนก็ไม่มีทางออกมาทำอย่างนั้นได้… เว้นแต่จะได้รับความช่วยเหลือจากคนนอก”
ได้รับความช่วยเหลือจากคนนอก?
แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นไปได้
นี่คือการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ
เป็นการแข่งขันแบบตัวต่อตัว
ไม่มีทางที่ผู้อื่นจะยื่นมือเข้าไปแทรกแซง
และสภาเทพเจ้าก็คงไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นเด็ดขาด
ฉู่เหินขมวดคิ้วด้วยความเคร่งเครียด
บรรดาผู้เข้าแข่งขันที่เหลืออยู่ในขณะนี้ ล้วนแต่ไม่สามารถประมาทฝีมือได้เลยจริง ๆ
…
ให้ตายสิ
เขาคิดผิด
หลินเป่ยเฉินรู้แล้วว่าตนเองจำเป็นต้องหาวิธีการอื่น เพราะไม่สามารถทำลายสะพานได้สำเร็จ
“ฮ่า ๆๆ ท่านพ่อหน้าเครียดเชียวนะเจ้าคะ”
ทันใดนั้น เสียงของฉางจิ้งคงเริ่มเย้ยหยันขึ้นอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินยืดตัวตรงและคิดหาวิธีทำลายค่ายอาคมต่อไป
มันต้องมีจุดอ่อนบ้างสิน่า
แต่ในทันใดนั้น…
“เฮ้อ น่าเบื่อเกินไป ข้าหมดความสนใจในตัวเจ้าแล้ว”
เสียงของฉางจิ้งคงกลับมาเคร่งเครียดดุดัน ไม่ต่างจากนางเป็นหญิงงามที่กำลังส่งยิ้มอ่อนหวานให้อยู่เมื่อสักครู่ แต่เพียงพริบตาเดียว นางก็แปลงร่างกลายเป็นมือสังหารที่ถือมีดอยู่ในมือเสียแล้ว
หมอกขาวเริ่มเพิ่มความเย็นเยียบ
“ดวงตา… จงมืดบอด”
เมื่อเสียงที่เย็นชาของฉางจิ้งคงดังขึ้น สายตาของหลินเป่ยเฉินก็ดับวูบลงทันที เขาไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย แม้ตนเองจะลืมตาอยู่ก็ตาม
นี่เขาตาบอดแล้วหรือ?
พลัน หลินเป่ยเฉินมีเหงื่อออกท่วมตัว