ตอนที่ 1,362 ผลประโยชน์มหาศาล
หืม?
ตายแล้ว?
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต จ้องมองเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงด้วยความเหลือเชื่อ
“ท่านเพิ่งบอกว่า…”
เมื่อสติกลับคืนมาอีกครั้ง หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกได้ถึงหมอกดำบางอย่างที่อยู่ในจิตใจ
ไม่กี่อึดใจก่อนหน้านี้ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเพิ่งบอกเขาว่าความจริงนั้น ท่านมหาเทพไม่ได้เก็บตัวจำศีลอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่ในความเป็นจริง ท่านมหาเทพได้เสียชีวิตไปแล้วอย่างนั้นหรือ?
“นี่คือความลับที่มีคนรู้น้อยมาก”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเอนตัวเข้ามาชิดใกล้หลินเป่ยเฉิน เป่าลมหายใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นสุราใส่เต็มใบหน้าของเขา “ผู้ที่จะรู้ความลับนี้ได้ มีแต่เทพเจ้าระดับสูงสุดของเมืองเยี่ยเฉิงเท่านั้น ภายนอกทุกคนแจ้งข่าวว่าท่านมหาเทพเก็บตัวจำศีล แต่ความจริงนั้นท่านมหาเทพธาตุไฟเข้าแทรก และต้องเก็บตัวอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์เพียงลำพัง… มีเพียงข้าที่เป็นคนนอกผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ว่าท่านมหาเทพได้ตายไปแล้ว”
“เขาตายได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินถาม
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบว่า “มีความเป็นไปได้สูงที่จะธาตุไฟแตกจนตาย”
“หืม… แล้วท่านรู้ได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงด้วยความระมัดระวัง “ท่านเป็นเพียงเทพธิดาฝึกหัดไม่ใช่หรือ… เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมตั้งแต่ที่ข้ามาถึงดินแดนทวยเทพ ข้าถึงไม่เคยได้ยินผู้ใดดำรงตำแหน่งเทพธิดาฝึกหัดเลยสักครั้ง?”
“ข้ารู้ก็แล้วกัน เจ้าอย่าถามให้มากนัก”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยืดลำคอขาวระหงของนางขึ้น ก่อนจะยกไหสุราดื่มอีกอึกใหญ่ และใช้มือปาดคราบสุราที่เปื้อนอยู่มุมปากออกไป “อย่าว่าแต่เรื่องนี้เลย ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในดินแดนทวยเทพ ไม่มีเรื่องใดจะรอดพ้นหูตาของข้าไปได้หรอก หากข้าไม่ได้รู้ข้อมูลดี ๆ เช่นนี้ ข้าก็คงต้องตายไปนานแล้ว”
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็เข้าใจแผนการของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
เหตุผลที่นางกล้าคิดเข้าไปขโมยทรัพย์สมบัติของท่านมหาเทพในวิหารต้องห้ามนั้น ก็เพราะเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงรู้ว่าท่านมหาเทพได้ตายไปแล้ว
คนที่ตายไปแล้ว ไม่มีอันใดให้ต้องกลัวอีกต่อไป
หากได้ครอบครองทรัพย์สมบัติของท่านมหาเทพ ดีไม่ดี หลินเป่ยเฉินอาจจะได้ขึ้นเป็นมหาเทพคนใหม่ด้วยซ้ำ
แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงมาก
หากทำได้สำเร็จ ผลประโยชน์มหาศาลก็จะตามมาไม่รู้จบ
หลินเป่ยเฉินเคาะนิ้วมือลงบนโต๊ะสุราอย่างใช้ความคิด
ผ่านไปครึ่งค่อนวัน เขาถึงได้ยกมือนวดขมับและกล่าวว่า “เรามาแบ่งผลประโยชน์ให้ชัดเจนกันก่อนดีกว่า”
ดูเหมือนเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจะดื่มมากเกินไป
ใบหน้าของนางกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า มุมปากมีสุราไหลหยดออกมา นางแลบลิ้นออกมาเลียหยดสุรานั้น ก่อนจะเรอใส่หน้าหลินเป่ยเฉินเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่ทราบได้
เส้นผมสีดำของหลินเป่ยเฉินปลิวไสว
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหัวเราะในลำคอและกล่าวว่า “ไม่มีอันใดให้ต้องพูดคุยอีก หากเจ้าคว้าตำแหน่งชนะเลิศในการแข่งขันประจำปีนี้ได้สำเร็จ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่อยู่ในห้องแห่งความลับของท่านมหาเทพ ไม่ว่าจะเป็นศิลาเทวะ ลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ คัมภีร์เวทมนตร์ หรือทรัพยากรต่าง ๆ ข้าขอส่วนแบ่งแค่หนึ่งในสามเท่านั้น ส่วนนอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นของเจ้าทั้งหมด ไม่ทราบว่าตกลงหรือไม่?”
“ลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์คืออะไร?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
“เมื่อเทพเจ้าผู้หนึ่งตายไป วิญญาณก็จะหลอมรวมเป็นลูกแก้วดวงหนึ่ง เราเรียกสิ่งนั้นว่าลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์ และผู้ใดก็ตามที่นำลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์มาดูดซับพลังเข้าสู่ร่างกาย คนผู้นั้นก็จะได้ครอบครองพลังทั้งหมดของวิญญาณเจ้าของลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิดเล็กน้อย “ลักษณะคล้ายกับผลึกวิญญาณของพวกสัตว์อสูรในหุบผาอเวจีกระมัง?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงวางสองมือของนางลงบนปากไหสุราใบหนึ่ง ใต้คางของนางเปียกชุ่มไปด้วยคราบสุราที่กำลังไหลหยดลงมาติ๋ง ๆ “ถูกต้องแล้ว”
“แต่เท่าที่ฟังดู ลูกแก้ววิเศษน่าจะมีค่ามากกว่าทรัพย์สินชิ้นอื่น ๆ มากเลยนะ” หลินเป่ยเฉินพูดเสียงเรียบ
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความเมามาย “เจ้าอย่าได้คิดโลภมากเกินไป สำหรับเจ้า ลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้หาได้มีประโยชน์ไม่ เจ้าไม่สามารถดูดซับพลังจากพวกมันได้ รีบหาทางปลดผนึกขอบเขตพลังจากวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณให้หมดสิ้นก่อนเถอะ หากเจ้าสามารถปลดผนึกพลังครบได้ทั้งห้าธาตุเมื่อไหร่ เจ้าก็จะมีความแข็งแกร่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าท่านมหาเทพแล้ว”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด “ฟังดูมีเหตุผล แต่เหมือนท่านจะลืมอะไรไปบางอย่าง”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยกมือขึ้นปัดเส้นผมที่ตกลงมาปรกใบหน้าตนเอง ก่อนแสยะยิ้มและถามว่า “เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าลืมคิดส่วนแบ่งให้แก่เทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่ใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
ถึงอย่างไร จุดเริ่มต้นของแผนการครั้งนี้ก็มีอยู่ด้วยกันสามคน ถึงเขาจะไม่ทราบเลยว่าเทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่มีบทบาทอย่างไรบ้าง แต่อย่างน้อย หลินเป่ยเฉินก็พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว
และในเมื่อเขาพยายามอย่างสุดความสามารถ หลินเป่ยเฉินจึงไม่สามารถเอารัดเอาเปรียบกอบโกยผลประโยชน์จากพวกเดียวกันเองได้เด็ดขาด
เพราะนี่ไม่ใช่นิสัยของหลินเป่ยเฉิน
แม้เขาจะเป็นพวกเจ้าเล่ห์ขี้โกงหน้าเลือดเห็นแก่เงิน มิหนำซ้ำยังรักตัวกลัวตายขี้ขลาดตาขาวและบ้าตัณหาราคะ แต่อย่างน้อย หลินเป่ยเฉินก็เป็นคนดีคนหนึ่ง
“ก๊าก ก๊าก ก๊าก ก๊าก ก๊าก ก๊าก…”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพลันระเบิดเสียงหัวเราะและพูดว่า “เจ้าคงพอใจแล้วกระมัง ข้าบอกแล้วไงว่าเด็กคนนี้ไม่มีทางลืมเจ้าหรอก เขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อพวกพ้องเสมอ”
สิ้นเสียงของนาง
แสงสีฟ้าก็เป็นประกายระยิบระยับ
แล้วเทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่ก็มาปรากฏตัวอยู่ที่ข้างโต๊ะสุรา
นางยิ้มด้วยความพอใจ พยักหน้าให้แก่หลินเป่ยเฉินพร้อมกับพูดว่า “ประเสริฐ ไม่เสียทีที่เจ้าเป็นคนที่ข้าเลือก ในสถานการณ์เช่นนี้ยังคงพึ่งพาได้เสมอ… เจ้าผ่านการทดสอบแล้ว”
นี่มันอะไรกันเนี่ย…
หลินเป่ยเฉินมีแต่ความสงสัยอยู่ในหัวใจเต็มไปหมด
“สำหรับสตรีที่มีความงดงามและสูงส่งเช่นท่าน ข้าน้อยจะลืมเลือนได้อย่างไร?”
เด็กหนุ่มรีบยิ้มอย่างประจบประแจง
“เจ้านี่มันน่าสนใจจริง ๆ”
เทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่ยิ่งพูดก็ยิ่งมีความสุขและอดหันไปชำเลืองมองเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงด้วยความเย้าแหย่ไม่ได้
“ข้ามีบางอย่างที่น่าสนใจมากกว่านี้อีก ไม่ทราบว่าพี่สาวอยากจะชมดูหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินเริ่มต้นพูดจาเกี้ยวพาราสีโดยไม่ปิดบัง
“เอาสิ ข้าเองก็อยากดูเหมือนกัน”
เทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่พยักหน้าและขยิบตาตอบกลับมา
หลินเป่ยเฉินถึงกับไปไม่ถูกเลยทีเดียว
เชี่ย
เขาแค่หยอดไปเล่น ๆ เองนะ
ในขณะนี้ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกำลังส่งเสียงหัวเราะคิกคักอย่างตลกขบขันเสียเต็มประดา
หลินเป่ยเฉินจึงหันขวับกลับไปพูดทันทีว่า “หรือว่าท่านอยากจะมาร่วมวงความสนุกกับพวกเราด้วย?”
เพล้ง!
ไหสุราพลันถูกทุ่มใส่ศีรษะของหลินเป่ยเฉิน
“น้องชาย เจ้าอย่าลืมสิว่าพวกเราร่วมเป็นร่วมตายกันมาขนาดไหนแล้ว”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเช็ดคราบสุราที่เปื้อนบนฝ่ามือ ใบหน้าที่สวยงามแสดงออกถึงความดุร้ายขณะพูดว่า “อย่าได้กล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้กับข้าให้ผู้อื่นได้ยินอีก เข้าใจหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถูกไหสุราทุ่มใส่เข้าไปขนาดนั้น แต่ผมของเขาก็ยังไม่เสียทรงเลยสักนิด
“หมายความว่าไม่ให้พูดต่อหน้าผู้อื่น แต่ให้พูดกันตามลำพังได้ใช่หรือไม่?”
เขากล่าวประเด็นสำคัญ
“ก๊าก ก๊าก ก๊าก ก๊าก ก๊าก ก๊าก… ประเสริฐ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหัวเราะออกมาจนตัวโยนคล้ายกับคนวิกลจริต
“แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกเหมือนท่านเพียงอยากหาโอกาสทุ่มไหสุราใส่ศีรษะของข้าเฉย ๆ เท่านั้น” หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เฮ้อ นางเมามายเกินไปอีกแล้ว”
เทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่ยกมือกุมหน้าผาก ก่อนจะประคองเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงลุกขึ้นยืนด้วยมือข้างเดียว และหันมาหาหลินเป่ยเฉิน พูดว่า “ข้าจะพานางกลับไปก่อน ส่วนทุกอย่างหลังจากนี้ ก็ทำตามแผนการเดิมต่อไป”
พูดจบ เทพธิดาทั้งสองก็เปลี่ยนเป็นลำแสงหายวับไปในอากาศ
เขาจะเชื่อคำพูดของพวกนางดีหรือไม่?
หลินเป่ยเฉินนั่งอยู่ที่โต๊ะสุราด้วยความสับสน แต่หลังจากชั่งใจอยู่พักใหญ่ เขาก็ตัดสินใจเชื่อคำพูดของพวกนาง
เด็กหนุ่มลุกขึ้นเดินออกมาจากร้านสุรา
“นี่ เดี๋ยวก่อนสิขอรับ คุณชายยังไม่ได้จ่ายค่าสุราและค่าอาหารเลยนะขอรับ?”
เถ้าแก่รีบวิ่งออกมาด้วยความลนลาน
หลินเป่ยเฉินหมุนตัวกลับไปถามด้วยความประหลาดใจว่า “ศิลาเทวะครึ่งก้อนที่ข้าวางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะไม่พอหรือ?”
เถ้าแก่ยิ้มกริ่ม “เทพธิดาทั้งสองท่านสั่งสุราหมักประจำร้านเรากลับไปด้วยอีกหนึ่งร้อยไหขอรับ และนอกจากนี้ยังได้สั่งอาหารกลับไปด้วยอีกสองชุดใหญ่”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
ให้ตายสิ
เมื่อสักครู่ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงคงมีเจตนาแกล้งทำตัวเมามายเพื่อให้เทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่อ้างเหตุผลในการขอตัวกลับแน่ ๆ …ปรากฏว่านี่คือหลุมพรางที่พวกนางขุดดักล่อเขาเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
หลินเป่ยเฉินมองหน้าเถ้าแก่ร้านสุรา อดถามตนเองในใจไม่ได้ว่า ฆ่าตาเฒ่านี่ทิ้งเลยดีไหมนะ?
ยิ่งไปกว่านั้น ความลับที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงบอกเขาก่อนหน้านี้มีความสำคัญมากเกินไป หากเถ้าแก่ร้านผู้นี้ได้ยินขึ้นมาจะทำอย่างไร?
คิดได้ดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ปลดปล่อยรังสีอำมหิตออกมาโดยไม่รู้ตัว มือของเขากำเป็นหมัด ก่อนจะยื่นออกไปข้างหน้า…
และส่งศิลาเทวะออกไปสามก้อน
“พอหรือไม่?”
“พอแล้วขอรับ พอแล้ว… ไว้คุณชายกลับมารับประทานอีกนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินหมุนตัว รีบเดินออกมาอย่างรวดเร็ว
เวลากำลังจะหมดแล้ว ยังคงมีอีกหลายเรื่องราวที่เขาต้องไปจัดการให้เรียบร้อย