ตอนที่ 1,366 ความหวั่นไหวและการเตรียมตัว
“บอกมาสิ”
หลังจากเงียบงันไปเล็กน้อย ในที่สุด ใต้เท้าฉางก็กล่าวออกมา
“ใต้เท้าสามารถเปลี่ยนตัวแทนได้นะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม “ทุกคนย่อมทราบดีว่าพานตั่วชิงโง่เขลาเบาปัญญา บ้าตัณหาราคะ เปรียบดั่งเศษสวะข้างถนน ผู้คนมีแต่คำติฉินนินทา…”
เด็กหนุ่มไม่ปล่อยให้โอกาสเล่นงานศัตรูในรอบชิงชนะเลิศหลุดมือไป
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึกและกล่าวต่ออย่างแช่มช้า “ยิ่งไปกว่านั้น พานตั่วชิงเคยพ่ายแพ้ให้แก่ข้าน้อยมาแล้ว นี่ทำให้เผ่าเทพตะวันเสื่อมเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง ข้าน้อยไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดใต้เท้าถึงยังสนับสนุนเขาต่อไปอีกขอรับ?”
หมอกควันของใต้เท้าฉางเกิดการสั่นไหวเล็กน้อย
ดูเหมือนจิตใจของเขาจะหวั่นไหวไปกับคำพูดของหลินเป่ยเฉินพอสมควร
หลินเป่ยเฉินยังคงยิ้มแย้มกล่าวต่อ “ใต้เท้าอย่าไปฝากความหวังไว้กับบุคคลเช่นนี้เลยขอรับ หันมาสนับสนุนข้าน้อยไม่ดีกว่าหรือ ข้าน้อยสัญญาว่าจะคว้าตำแหน่งอันดับหนึ่งมาครอบครองให้ได้… เมื่อพวกเราร่วมมือกัน ในเมืองเยี่ยเฉิงก็ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานเราได้อีกแล้ว”
ใต้เท้าฉางเงียบงันไปอึดใจใหญ่ ก่อนปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“พลังของเจ้ามันแปลกประหลาดมากเกินไป”
ใต้เท้าฉางกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมอีกครั้ง “เจ้าไม่มีคุณสมบัติมาต่อรองกับข้า ผู้เดียวที่กล้าเดิมพันในตัวเจ้าคือใต้เท้ากั้ว และมันก็มีความเป็นไปได้น้อยมากที่เขาจะชนะการเดิมพัน”
“ใต้เท้ามั่นใจว่าข้าน้อยจะแพ้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”
หลินเป่ยเฉินอดรู้สึกว่าตนเองกำลังโดนดูถูกขึ้นมาไม่ได้
เขายกมือทำท่าดันแว่นและพูดด้วยความไม่สบอารมณ์ “หากเป็นเช่นนี้ ไว้เจอกันในสนามแข่งขันดีกว่าขอรับ… ข้าน้อยไม่มีทางถอนตัวเด็ดขาด”
“เจ้าจะต้องเสียใจกับการตัดสินใจครั้งนี้”
น้ำเสียงที่ถูกส่งผ่านออกมาจากกลุ่มหมอกควันของใต้เท้าฉางปรากฏความเย็นชาและอำมหิต “เจี๋ยนเซียวเหยา เจ้าอาจจะคิดว่าตนเองสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้เสมอ และไม่มีผู้ใดสามารถแตะต้องเจ้าได้ แต่ความเป็นจริงเล่า? เจ้าเป็นเพียงเทพเจ้าระดับสามัญ ไม่ได้มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการเสียด้วยซ้ำ… เมื่อเจ้าพ่ายแพ้ในรอบชิงชนะเลิศ ข้าก็สามารถฆ่าเจ้าได้เพียงดีดนิ้วมือ อีกอย่าง เจ้าไม่เป็นห่วงบรรดาสหายของเจ้าบ้างหรือ? พวกเขาจะต้องพบกับความเดือดร้อนมากมายจากการตัดสินใจของเจ้าในครั้งนี้”
“ชักจะมากเกินไปแล้วนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากด้วยความเหยียดหยาม “ใต้เท้าฉาง ท่านเป็นถึงเทพเจ้าระดับสูง แต่กลับมาข่มขู่ข้าน้อยเช่นนี้… วันนี้ท่านอาจจะดูถูกข้า แต่ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้ ท่านอาจจะต้องเกรงกลัวข้าก็เป็นได้”
“ชีวิตของเจ้าจบสิ้นลงแล้ว”
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่เสียงของใต้เท้าฉางได้กล่าวทิ้งเอาไว้ ก่อนที่หมอกควันจะสลายตัวไปอย่างช้า ๆ
มวลพลังกดดันในอากาศยังหลงเหลืออยู่เล็กน้อย
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก
ใต้เท้าฉางก็เป็นไปถึงขั้นนี้แล้วหรือนี่
ไม่น่าเชื่อ
ประพฤติตนอย่างกับหัวหน้าโจรโฉด
แต่นี่ก็ย้ำเตือนให้หลินเป่ยเฉินนึกได้ว่าตนเองไม่สมควรให้ความสนใจแค่การแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศเท่านั้น
เขาควรเตรียมตัวรับมือการโต้กลับของ ‘ผู้พ่ายแพ้’ หลังการแข่งขันจบลงเช่นกัน
แม้แต่เทพเจ้าชนชั้นเจ้าชีวิตอย่างใต้เท้าฉางยังกล้าพูดจาข่มขู่เขาเช่นนี้ได้โดยไม่กระดากปาก หลินเป่ยเฉินจึงไม่สงสัยเลยว่าอีกฝ่ายคงสามารถเปลี่ยนคำขู่ให้กลายเป็นความจริงได้แน่นอน
จริงด้วยสินะ
เขาจะเตรียมตัวรับมือความวุ่นวายหลังแข่งจบไม่ได้
แต่เขาต้องเตรียมตัวรับมือก่อนการแข่งขันด้วยเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบอย่างรุนแรง
เขาจำเป็นต้องจัดการอีกหลายเรื่องเลยทีเดียว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลินเป่ยเฉินก็นำโทรศัพท์มือถือออกมาส่งข้อความไปหาเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงผ่านทางแอปวีแชต และบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่
‘ช่างเป็นพฤติกรรมที่เฮงซวยเกินไปแล้ว’
การใช้คำของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเริ่มเหมือนหลินเป่ยเฉินเข้าไปทุกที
แต่โชคดีที่นางยังสามารถติดต่อได้อยู่ในขณะนี้ ข้อความที่สองจึงถูกส่งต่อมา ‘แต่ใต้เท้าฉางก็เป็นบุคคลเช่นนี้แหละนะ เขาสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตนเองต้องการเสมอ… เจ้าอย่าได้เป็นห่วงไปเลย เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการแข่งขันเถอะ ส่วนเรื่องอื่น ๆ นอกเหนือจากนั้น เดี๋ยวข้าจัดการเอง’
หลินเป่ยเฉินจ้องมองข้อความบนหน้าจอด้วยความเหลือเชื่อ
ให้ตายเถอะ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็พึ่งพาได้เหมือนกันนะเนี่ย
ยินดีช่วยเหลือเขาโดยไม่มีข้อแม้
ไม่มีการเจรจาต่อรองสักคำ
‘พูดจริงนะ?’
แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังอดระแวงไม่ได้
เพราะคู่ต่อสู้ของเขาเป็นถึงตัวแทนจากเผ่าเทพตะวันที่มีใต้เท้าฉางคอยสนับสนุน ย่อมไม่ใช่ผู้คนที่สามารถจัดการได้โดยง่าย
‘เพราะข้าไม่ใช่บุรุษ พูดอะไรไปเจ้าก็คงไม่เชื่อสินะ’ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงส่งข้อความมาตัดพ้อ
‘เจ้าคิดว่าพี่สาวผู้นี้ทำไม่ได้หรือ? ข้าขอสัญญาว่าจะทำให้เจ้าดีใจแทบตาย’
หลินเป่ยเฉินไม่รู้จะตอบรับอย่างไร
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงน่าจะเมาอีกแล้วแน่ ๆ
มิเช่นนั้น อะไรกันที่ทำให้นางมั่นใจถึงเพียงนี้?
แล้วเขาจะเชื่อถือคำพูดของนางดีหรือไม่?
ทันใดนั้น เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็ส่งข้อความมาอีกครั้ง ‘วางใจเถอะ เรื่องนี้ข้าได้เตรียมการเอาไว้แล้ว แต่หากสุดท้ายเกิดสิ่งใดผิดพลาด สมบัติในวิหารต้องห้ามจะตกเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ข้าจะไม่ขอรับส่วนแบ่งแม้แต่น้อย แม้แต่ส่วนแบ่งของอิ๋นหวงไหอู่ ข้าก็จะรับผิดชอบแทนเจ้าเอง’
เมื่อได้รับคำยืนยันหนักแน่นเช่นนี้ สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็เลือกที่จะเชื่อถือคำพูดของนาง
‘ส่วนเรื่องแผนการที่พวกเราคุยกันค้างเอาไว้…’
หลินเป่ยเฉินอาศัยจังหวะนี้สอบถามถึงแผนการจากเทพธิดาขี้เมา
‘เจ้าแค่ต้องชนะในรอบชิงชนะเลิศให้ได้เท่านั้น แล้วจะมีคนนำกุญแจไปมอบให้แก่เจ้าเอง’ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบรับกลับมาอย่างรวดเร็ว ‘ส่วนอุปกรณ์อื่น ๆ ก็จะถูกส่งไปพร้อมกัน’
‘พูดถึงเรื่องนี้ ท่านพอจะมีอาวุธวิเศษให้ข้าหยิบยืมบ้างหรือไม่ เดี๋ยวแข่งรอบชิงจบแล้ว ข้าจะคืนให้ทันที’
หลินเป่ยเฉินรีบส่งข้อความร้องขอความเห็นใจ
‘ดูเหมือนอาวุธที่ข้าให้เจ้าไปครั้งที่แล้ว เจ้าจะยังไม่ได้ใช้งานเลยนะ’
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบกลับมา
หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย
ทันใดนั้น เขาก็จำได้ว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเคยส่งมอบสิ่งที่เรียกว่าผงวิเศษมาให้แก่ตนเองถุงหนึ่ง
หรือว่านางต้องการจะให้เซียนกระบี่อย่างเขาขว้างปาผงแป้งเหล่านั้นใส่ดวงตาคู่ต่อสู้ยามเกิดเหตุคับขันอย่างนั้นหรือ?
แล้วจะเอาหน้าไปไว้ไหน?
‘มีอาวุธชนิดอื่นบ้างหรือไม่?’
หลินเป่ยเฉินถามอย่างไม่ยอมแพ้
‘เจ้าลองใช้สมองคิดดูหน่อยสิว่า คนจนอย่างข้าจะมีของอะไรมามอบให้เจ้าได้อีกหรือไม่?’
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงส่งข้อความถามกลับมาอย่างไร้เยื่อใย
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
หลังจากนั้น นางก็ออกจากระบบไปหน้าตาเฉย
หลินเป่ยเฉินถูกทิ้งให้นั่งเคว้งอยู่คนเดียว ก่อนที่จะเข้าไปทักทายพวกของอาจารย์ฉู่และพี่ใหญ่ไต้ หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็ขอตัวออกจากคฤหาสน์บนภูเขาเซียวฝูและมุ่งหน้าตรงไปยังวิหารหลักของเผ่าเทพพงไพรทันที
หลังจากนั้นไม่นาน
“เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
นักเวทชราอู่จิวปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
เขากำลังสอนวิชาเวทมนตร์ให้กับศิษย์อัจฉริยะชิงเล่ย แต่เมื่อได้รับทราบข่าวว่าเจี๋ยนเซียวเหยามาปรากฏตัวที่วิหาร ชายชราจึงต้องรีบออกมารับหน้า
“ชิงเล่ยกำลังอยู่ในช่วงสำคัญสำหรับการฝึกฝน ห้ามรบกวน” นักเวทชราปกป้องลูกศิษย์สาวราวกับไข่ในหิน
“ข้ามีเรื่องด่วนอยากเข้าพบใต้เท้ากั้ว”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปห้วนสั้น
เมื่อได้ยินว่าเด็กหนุ่มไม่ได้มาเพราะชิงเล่ย สีหน้าของนักเวทอู่จิวจึงผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
เมื่อจัดการแจ้งรายละเอียดเรียบร้อย ชายชราก็หมุนตัวเดินจากไป
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปด้านในวิหารใหญ่ด้วยตนเอง
“ข้าน้อยขอคารวะใต้เท้ากั้ว”
เขาประสานมือยิ้มแย้มอยู่หน้าบัลลังก์ใหญ่ยักษ์ “ไม่ได้พบเจอใต้เท้าหลายวัน ข้าน้อยรู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างมืดมน ท้องฟ้าไม่สดใส แสงตะวันไม่อบอุ่น สายน้ำหยุดไหล เปลวไฟไม่ร้อนแรง…”
แต่ใต้เท้ากั้วเป็นบุรุษฉกรรจ์ จะไปซาบซึ้งกับคำหวานของหลินเป่ยเฉินได้อย่างไร
“สายน้ำไม่เคยหยุดไหล เปลวไฟก็ไม่เคยหยุดร้อนแรง”
เขาจ้องมองใบหน้าของหลินเป่ยเฉินเขม็ง “สิ่งที่เจ้าพูดออกมาล้วนแต่โกหกทั้งสิ้น”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ
เฮ้อ นี่เขากำลังคุยกับคนเถื่อนอยู่หรือไงนะ
ไม่รู้จักวาทะศิลป์หรือไง?
หลินเป่ยเฉินกระแอมไอเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “กราบเรียนใต้เท้า เรื่องราวเป็นอย่างนี้ขอรับ เมื่อครึ่งชั่วยามที่แล้ว ข้าน้อยได้รับการข่มขู่จากใต้เท้าฉาง เขาบีบบังคับให้ข้าน้อยทรยศต่อท่าน หากข้าน้อยไม่ทำตามคำสั่ง ใต้เท้าฉางก็จะทำร้ายครอบครัวและมิตรสหายของข้าน้อย…”
“แต่น่าเสียดายที่ข้าน้อยมีจิตใจหนักแน่นมั่นคง ข้าน้อยจึงไม่หวาดเกรงคำข่มขู่ของเขา แต่ถึงอย่างไรข้าน้อยก็เป็นเพียงผู้ต่ำต้อยคนหนึ่ง จะสามารถไปต่อกรกับแสงเดือนแสงตะวันได้อย่างไร เพราะฉะนั้น… ใต้เท้าพอจะมอบของวิเศษใดให้แก่ข้าน้อยเพิ่มเติมได้บ้างหรือไม่? จะเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ โอสถวิเศษ หรือชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ขอรับ?”