ตอนที่ 1,367 เผ่าเทพไม้เขียว
เมื่อเดินออกมาจากวิหารใหญ่ ใบหน้าของหลินเป่ยเฉินก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เขาได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ
ใต้เท้ากั้วเป็นผู้ที่มีจิตใจกว้างขวาง
ภายใต้การป้อนคำหวานจากหลินเป่ยเฉิน ใต้เท้ากั้วจึงมอบความช่วยเหลือให้แก่เขาด้วยความยินดี
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์บนภูเขาเซียวฝู หลินเป่ยเฉินก็ได้รับข้อความใหม่จากมู่หลินเซิน
‘กราบเรียนนายท่าน โอสถหัวใจพฤกษามาอยู่ในมือท่านยายของข้าน้อยแล้ว และท่านยายยินดีขายให้กับนายท่านในราคาตามท้องตลาด เพียงแต่ว่าก่อนการซื้อขาย ท่านยายอยากจะพูดคุยกับนายท่านเป็นการส่วนตัวก่อนเท่านั้น’
มู่หลินเซินส่งข้อความผ่านทางกำไลผลึกแก้วกิเลน
‘ไม่มีปัญหา บอกวันเวลาและสถานที่มาได้เลย’
หลินเป่ยเฉินตอบรับกลับไปด้วยความดีใจ
‘เดี๋ยวข้าน้อยไปหานายท่านที่คฤหาสน์เองขอรับ’
ดูเหมือนมู่หลินเซินจะระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป มู่หลินเซินซึ่งสวมใส่เสื้อเกราะสีเขียวและคาดเสื้อคลุมสีเขียวก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยความรีบร้อน
ใต้เท้าของเขาปรากฏใบไม้ขนาดใหญ่เท่ากับเรือน้อยลําหนึ่ง
“นี่คือพาหนะในการเดินทางของเราขอรับ เรียกว่าใบเหาะเหิน เป็นพาหนะในการเดินทางของพวกเราเผ่าเทพไม้เขียว นายท่านได้โปรดซ้อนท้ายข้าน้อยมาเลยขอรับ”
มู่หลินเซินกวักมือเรียก
หลินเป่ยเฉินกระโดดขึ้นไปยืนบนใบไม้ยักษ์ซ้อนท้ายมู่หลินเซินตามคำเชิญ
หลังจากนั้น ‘ใบเหาะเหิน’ ก็สั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่มันจะลอยตัวขึ้นไปในอากาศและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว
เมื่อลอยขึ้นมาอยู่ในอากาศแล้ว ใบไม้ใหญ่ก็จะมีม่านพลังสีเขียวครอบคลุมรอบทิศทาง ดังนั้น การเดินทางจึงเป็นไปอย่างสะดวกสบาย แม้จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง แต่กลับไม่มีสายลมพัดมาปะทะผิวกายให้รบกวนการทรงตัวแม้แต่น้อย
“นายท่านขอรับ ท่านยายของข้าน้อยมีอายุได้หนึ่งพันปีแล้ว ท่านยายมีสถานะเป็นเทพเจ้าจำแลง ตลอดระยะเวลาสองร้อยปีที่ผ่านมา นางจำศีลอยู่ในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ท่านยายเพิ่งจะตื่นขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เองขอรับ เมื่อได้ยินว่าข้าน้อยเคยได้เข้าร่วมการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่และมีความสนิทสนมกับนายท่าน ท่านยายก็เรียกข้าน้อยเข้าไปสอบถามด้วยความสนใจ ข้าน้อยจึงใช้โอกาสนี้พูดถึงเรื่องที่นายท่านอยากได้โอสถหัวใจพฤกษา หลังจากเกลี้ยกล่อมกันอยู่นาน ในที่สุด ท่านยายก็ยินดีขายโอสถหัวใจพฤกษาในราคาตามท้องตลาดขอรับ”
มู่หลินเซินบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดโดยสรุป
หลินเป่ยเฉินไม่สนใจถ้อยคำประจบเอาใจจากมู่หลินเซิน
เพราะสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นก็คือนี่เป็นครั้งแรกที่ตนเองกำลังจะได้พบเจอกับผู้คนที่มีสถานะอยู่ในลำดับชั้นเทพเจ้าจำแลง
ไม่กี่อึดใจต่อมา ใบเหาะเหินก็พุ่งออกมาจากพื้นที่แดนตะวันตกเฉียงเหนือ
และอีกไม่ถึงหนึ่งก้านธูปให้หลัง ใบเหาะเหินก็นำพวกเขามายังสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ที่นี่เป็นพื้นที่ป่าทึบมีแต่ต้นไม้เก่าแก่สูงเสียดฟ้าไม่ต่างจากคมหอกคมกระบี่ ตามต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ปรากฏเถาวัลย์รัดพันไม่ต่างจากอสรพิษร้าย บนพื้นป่าเต็มไปด้วยพุ่มดอกไม้ที่มีสีสันตระการตา
กล่าวได้ว่านี่คือมหาสมุทรแห่งต้นไม้ ภูเขาและดอกไม้อย่างแท้จริง
“พวกเรามาถึงอาณาเขตของเผ่าเทพไม้เขียวแล้วขอรับ”
ระหว่างที่มู่หลินเซินพูดประโยคนี้ ใบหน้าของเขาก็ปรากฏความภาคภูมิใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
ในบรรดาเผ่าเทพเจ้าของเมืองเยี่ยเฉิง เผ่าเทพไม้เขียวถูกจัดอยู่ในกลุ่มเทพเจ้าระดับกลางค่อนไปทางระดับล่าง แต่อาณาเขตของพวกเขามีความสวยงามจับใจ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุด
เมื่อหลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองลงไป เขาก็เห็นบ้านต้นไม้จำนวนมากถูกปลูกสร้างอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ผนังและหลังคาปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์และใบไม้ บัดนี้ ผู้คนในชุดเสื้อคลุมสีเขียวจำนวนมากกำลังเคลื่อนไหวอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ด้วยความชุลมุนวุ่นวาย ดูเหมือนพวกเขากำลังเก็บเกสรดอกไม้และผลไม้ซึ่งเป็นงานประจำวัน…
“นั่นคือผู้คนของเผ่าเราขอรับ พวกเราต่างก็ผูกจิตวิญญาณอยู่กับธรรมชาติ จึงไม่ได้สวมใส่ชุดเกราะเหมือนผู้คนเผ่าพันธุ์อื่น และถึงแม้ว่าชาวเผ่าเทพไม้เขียวจะมีพลังในการต่อสู้ต่ำต้อยมากที่สุดในกลุ่มเจ็ดเทพสงคราม แต่พวกเราก็ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มเทพเจ้าที่มีความอ่อนโยนและสงบเสงี่ยมเรียบร้อยมากที่สุดในเมืองเยี่ยเฉิงขอรับ…”
มู่หลินเซินกล่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง
หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าด้วยความไม่อยากเชื่อ
มู่หลินเซินแสดงความเขินอายออกมาเล็กน้อย ก่อนพูดว่า “นายท่านได้โปรดอย่ามองข้าน้อยเช่นนี้ ที่ข้าน้อยมีพฤติกรรมลุ่มหลงในการดื่มสุราเคล้านารีนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงการแสดง เนื้อแท้ของข้าน้อยเป็นบุรุษผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ นายท่านขอรับ สายตาของนายท่านแทบจะเผาผลาญข้าน้อยให้ตายทั้งเป็น นายท่านสามารถมองเห็นเนื้อแท้ของข้าน้อยได้ใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงัก “พวกเรามันคนประเภทเดียวกันอยู่แล้ว”
ในอาณาเขตของเผ่าเทพไม้เขียวมีพลังปราณศักดิ์สิทธิ์อุดมสมบูรณ์ หากผู้ใดได้รับบาดเจ็บ ก็ไม่มีที่ใดจะเหมาะสมสำหรับการรักษาตัวมากไปกว่าที่นี่อีกแล้ว
เพียงสูดอากาศเข้าปอด หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาอย่างชัดเจน
หลินเป่ยเฉินรู้สึกราวกับตามร่างกายของตนเองมีเครื่องหมายบวกปรากฏขึ้นเหมือนตอนเล่นเกมออนไลน์
เพียงสูดอากาศหายใจ ก็สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้จริง ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน
ต้นไม้ยักษ์ที่มีความสูงเสียดฟ้าต้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา
มันเป็นต้นไม้ที่มีขนาดหลายร้อยคนโอบ ลำต้นเป็นสีขาวซีดผิดธรรมชาติ เปลือกไม้ปรากฏรอยแตกร้าว กิ่งก้านสาขาแผ่ขยายยืดยาว ใบไม้ขนาดใหญ่ยักษ์สีเหลืองนวลมีจำนวนนับไม่ถ้วน…
ต้นไม้ต้นนี้ไม่ต่างไปจากกระบองยักษ์ที่ถูกปักลงสู่พื้นดิน
“นี่คือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราขอรับ”
มู่หลินเซินรีบถอดชุดเกราะของตนเองออกและเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาตามแบบฉบับชาวเผ่าเทพไม้เขียว หลังจากนั้น เขาก็ขยับเข้ามากระซิบข้างหูหลินเป่ยเฉินว่า “ท่านยายของข้าน้อยเพิ่งตื่นขึ้นจากการจำศีล ยังมีอีกหลายเรื่องราวที่นางไม่ได้รับทราบ… นายท่านอย่าได้เอ่ยถึงพฤติกรรมเสเพลของข้าน้อยให้ท่านยายฟังเชียวนะขอรับ มิเช่นนั้น พวกเราคงได้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาแน่นอน”
ให้ตายสิ
ไอ้หมอนี่มันนกสองหัวชัด ๆ
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าและตอบว่า “ไม่มีปัญหา เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่เคยรับรู้พฤติกรรมการดื่มสุราเคล้านารีของเจ้า และข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าเจ้าเคยแข่งขันวัดความแข็งแกร่งเชิงชาย…”
มู่หลินเซินแทบจะพลัดตกลงจากใบเหาะเหินด้วยคำพูดของผู้เป็นลูกพี่ใหญ่
เรื่องราวเหล่านี้จะให้ท่านยายรู้ไม่ได้เด็ดขาด
ในไม่ช้า ทั้งสองหนุ่มก็โดยสารใบเหาะเหินมุ่งหน้าขึ้นไปสู่ยอดไม้ของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
ยิ่งลอยขึ้นไปสูงมากเท่าไหร่ ใบไม้เหนือศีรษะก็มีขนาดใหญ่มากเท่านั้น พวกเขาจึงเคลื่อนที่ได้อย่างเชื่องช้า
ทันใดนั้น หญิงสาวหน้าตาสะสวยผู้หนึ่งก็ได้โดยสารใบไม้ใหญ่สีเหลืองอ่อนค่อย ๆ ลอยเข้ามาใกล้พวกเขา
หญิงสาวผู้นี้หน้าตาอ่อนเยาว์ ใบหน้างดงาม ผมสีเขียวยาวสลวย ดวงตาสีฟ้าราวกับมหาสมุทรที่ไร้ก้นบึ้ง ผิวขาวเนียนไร้ตำหนิ เอวคอดกิ่ว ช่วงขาเรียวยาว…
พลังกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างกายไม่ต่ำต้อย ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองได้มาพบเจอกับเทพธิดาคนงามประจำเผ่าเทพไม้เขียวอย่างแท้จริง
“ฮื่อ พี่สาวท่านนี้ช่างงดงามเหลือเกิน”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความชื่นชม
แต่ในเวลาเดียวกันนี้ มู่หลินเซินก็อุทานออกมาเช่นกันว่า
“ท่านแม่ ท่านมาได้อย่างไร…”
หลินเป่ยเฉินริมฝีปากกระตุก ค่อย ๆ หันกลับมามองหน้ามู่หลินเซิน
ท่านแม่?
นางเป็นแม่หมอนี่หรือ?
แม่ของเจ้า… ช่างงดงามเหลือเกิน!
มู่หลินเซินขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
คล้ายกับต้องการให้หลินเป่ยเฉินรักษากิริยามารยาทให้สงบสุขุมมากกว่านี้
แต่โชคดีที่หญิงสาวผู้เป็นมารดาของมู่หลินเซินไม่สนใจกิริยาท่าทีของหลินเป่ยเฉินสักเท่าไหร่ นางเพียงกล่าวตอบกลับมาว่า “ท่านยายสั่งให้แม่ออกมารอต้อนรับคุณชายเจี๋ยนเซียวเหยา…” นางหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน ยิ้มแย้มอย่างอ่อนหวานและกล่าวต่อ “ขอบคุณคุณชายที่ให้เกียรติมาเยี่ยมเยียนพวกเรา กรุณาตามข้าน้อยมาได้เลยเจ้าค่ะ”
มู่หลินเซินสอบถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ท่านแม่ ถ้าอย่างนั้นลูก…”
“บิดาของเจ้ามีเรื่องอยากจะพูดคุยด้วย เดี๋ยวส่งคุณชายเสร็จแล้ว เจ้าก็รีบไปเถอะ”
มารดาผู้งดงามกล่าว
“อ้อ… ได้เลยขอรับ… ประเสริฐที่สุด”
เมื่อมู่หลินเซินได้ยินคำนั้น เขาก็มีสีหน้าเหมือนตนเองเพิ่งได้รับทราบข่าวร้ายที่สุดในโลกและร่างกายก็ถึงกับสั่นเทาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
หลินเป่ยเฉินผู้ที่ยืนซ้อนท้ายอยู่บนใบเหาะเหินของมู่หลินเซินขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
ดูเอาเถอะ อาการของมู่หลินเซินมีพิรุธถึงขนาดนี้ แล้วจะยังสามารถตบตาผู้ใดได้อีก?
ในที่สุด มารดาของมู่หลินเซินก็นำพาพวกของหลินเป่ยเฉินมาหยุดอยู่หน้าโพรงต้นไม้ขนาดใหญ่ในอีกไม่กี่ลมหายใจต่อมา
โพรงต้นไม้มีขนาดใหญ่มาก ไม่ต่างไปจากถ้ำภูเขาแห่งหนึ่ง
“เรียนเชิญคุณชายเข้าสู่ด้านในเจ้าค่ะ”