ตอนที่ 1,369 เทพเจ้าพานหยาง
ดินแดนแห่งค่ายอาคมในโพรงต้นไม้ หญิงชราทารกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
หลังจากนั้น
“ท่านยายเรียกหาหลานหรือขอรับ?”
เสียงที่สั่นเครือของมู่หลินเซินดังมาจากด้านนอกต้นไม้
“เข้ามาเถอะ”
หญิงชราทารกตอบ
มู่หลินเซินรีบเดินกระเผลกเข้ามา
แม้ใบหน้าของเขาจะบวมช้ำ คล้ายผ่านการถูกทำร้ายร่างกายมาอย่างหนัก แต่เมื่อได้พบกับเด็กหญิงผู้นี้ บุรุษหนุ่มก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เขาคุกเข่าลงบนพื้นดินและโขกศีรษะคำนับด้วยความนอบน้อม
หญิงชราในร่างเด็กน้อยโบกมือวูบ
แล้วโอสถหัวใจพฤกษาก็ค่อย ๆ ลอยมาอยู่เบื้องหน้ามู่หลินเซิน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดโอสถหัวใจพฤกษาจึงมีราคาแพงและหายาก?”
นางถาม
มู่หลินเซินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนตอบอย่างรวดเร็ว “เพราะมีเพียงต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นจึงจะมีโอสถหัวใจพฤกษาอยู่ด้านใน และจำนวนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรานั้น ก็ลดน้อยลงทุกวัน…”
นี่คือสิ่งที่เผ่าเทพไม้เขียวถ่ายทอดบอกต่อคนรุ่นหลัง
มู่หลินเซินย่อมไม่รับทราบความหมายที่แท้จริง
“ผิดแล้ว”
หญิงชราทารกส่ายหน้า ก่อนจะเดินไปนั่งไขว่ห้างอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่กิ่งหนึ่ง “นั่นเป็นเพียงเรื่องหลอกเด็กเท่านั้น”
มู่หลินเซินถึงกับตกตะลึง
หญิงชราทารกกล่าวต่อไป “ความจริงโอสถหัวใจพฤกษาหาใช่ผลผลิตที่ออกมาจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ไม่ แต่มันเป็นหัวใจของผู้ที่อยู่ในชั้นเทพเจ้าจำแลงต่างหาก”
สีหน้าของมู่หลินเซินแปรเปลี่ยนไปทันที
ตอนแรกเขาประหลาดใจ ต่อมาเขาก็ตื่นตะลึง
สุดท้าย บุรุษหนุ่มเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่มีเบ้าตาดำคล้ำไม่ต่างจากหมีแพนด้าเบิกโต ราวกับต้องการจะค้นหาคำตอบว่าท่านยายของตนเองกำลังล้อเล่นอยู่ใช่หรือไม่
หญิงชราทารกกระดิกขากล่าวต่อไป “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด เผ่าเทพไม้เขียวที่ไม่เก่งเรื่องการต่อสู้ กลับถูกจับไปรวมอยู่ในกลุ่มเจ็ดเทพสงครามแห่งสภาเทพเจ้า?”
โดยไม่รอรับฟังคำตอบของมู่หลินเซิน หญิงชราในร่างเด็กน้อยก็กล่าวต่อ “เพราะพวกเรามีอายุขัยยืนยาวไงล่ะ ฮ่า ๆๆ พวกเรามีอายุขัยโดยเฉลี่ยยืนยาวมากกว่าผู้คนทั่วไปในดินแดนทวยเทพถึงสี่เท่า และด้วยความที่พวกเราอายุยืนยาว เผ่าเทพไม้เขียวจึงสามารถสำรวจค้นหาศึกษาสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย”
“ด้วยเหตุนี้ เผ่าเทพไม้เขียวจึงมีประชากรเป็นเทพเจ้าชนชั้นเทพเจ้าจำแลงมากกว่าเผ่าพันธุ์อื่นถึงเจ็ดเท่า แม้เผ่าเทพพงไพรจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองเยี่ยเฉิง แต่หากวัดกันเพียงเรื่องนี้ พวกเขาจะไม่สามารถเทียบเคียงพวกเราได้เลย เทพเจ้าจำนวนมากมายต้องสิ้นอายุขัยลง ในขณะที่พวกเรายังมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้เผ่าเทพไม้เขียวจะไม่เก่งกาจเรื่องการต่อสู้ แต่พวกเรามีจำนวนกำลังพลมากกว่าผู้อื่นหลายเท่า ด้วยเหตุนี้ เผ่าเทพไม้เขียวจึงมีความแข็งแกร่งไม่แพ้ผู้ใด”
มู่หลินเซินสะกดกลั้นความตกตะลึงและรับฟังด้วยความตั้งใจ
เขาตื่นเต้นไม่น้อย
เพราะเรื่องราวเหล่านี้คือความลับสูงสุด มักจะถ่ายทอดบอกต่อผู้ที่มีคุณสมบัติสูงส่งเพียงพอเท่านั้น
นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นอัจฉริยะตัวจริง
มู่หลินเซินพยายามสะกดจิตให้ตนเองใจเย็นลงและรับฟังท่านยายอธิบายต่อไป “แต่ไม่ว่าเจ้าอายุยืนยาวอย่างไร สุดท้ายก็ต้องสิ้นอายุขัยอยู่ดี หากเจ้าไม่ได้เลื่อนระดับชั้นขึ้นสู่การเป็นเทพเจ้าชนชั้นเจ้าชีวิต ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องพบเจอกับความตาย”
“เจ้าดูอย่างต้นไม้เหล่านั้นเป็นไร พวกมันผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบฤดูกาล แต่สุดท้ายก็ต้องเหี่ยวเฉาแห้งตายตามวัฏจักร พวกเราเองก็เช่นกัน เมื่อเทพเจ้าจำแลงประจำเผ่าเทพไม้เขียวรู้ตัวว่าตนเองกำลังจะสิ้นอายุขัย หัวใจของพวกเขาก็จะตกผลึกและกลายเป็นโอสถหัวใจพฤกษา วัตถุรูปทรงหัวใจสีเขียวชิ้นนี้บรรจุด้วยพลังชีวิตและพลังเวทมนตร์ทั้งหมดที่คนผู้นั้นฝึกฝนมาชั่วชีวิต ทีนี้ เจ้าคงเข้าใจแล้วกระมังว่าเพราะเหตุใด โอสถหัวใจพฤกษาถึงหายากและมีราคาแพงนัก?”
สมองของมู่หลินเซินประมวลผลด้วยความร้อนรน
ทุกครั้งที่มีโอสถหัวใจพฤกษาวางขายในท้องตลาด นั่นหมายความว่ามีเทพเจ้าจำแลงประจำเผ่าเทพไม้เขียวของเขาต้องเสียชีวิตลงอย่างนั้นหรือ?
บุรุษหนุ่มจ้องมองวัตถุรูปทรงหัวใจที่ลอยอยู่เบื้องหน้าตนเอง ทันใดนั้น เขาเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงอุทานออกมาด้วยความเป็นกังวล “ท่านยาย ท่าน…”
“ถูกต้อง โอสถหัวใจพฤกษาชิ้นนี้คือหัวใจของข้าเอง”
หญิงชราทารกยังคงมีลักษณะท่าทีเฉยชา ราวกับว่ากำลังพูดถึงเรื่องราวของผู้อื่นก็ไม่ปาน “พลังทั้งหมดของข้าได้รวบรวมอยู่ในโอสถหัวใจพฤกษาชิ้นนี้แล้ว… ข้ากำลังจะตาย”
มู่หลินเซินตะลึงลาน ความเศร้าโศกกลืนกินหัวใจโดยทันที
เขายกมือขยี้ตาตนเอง พูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ท่านยายมีสิ่งใดจะสั่งเสียหรือไม่ หลานจะทำตามความประสงค์ของ…”
เพียะ!
หญิงชราในร่างเด็กน้อยผมเปียสองแกละพลันตบศีรษะหลานชายของตนเองอย่างแรง
“ข้ากำลังจะตาย แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องตายจริง ๆ สักหน่อย”
นางพูดเสียงเขียว “นับจากนี้ไป ข้าจะฝากโอสถหัวใจพฤกษาชิ้นนี้ไว้ในตัวเจ้า ก่อนที่เจี๋ยนเซียวเหยาจะชนะการแข่งขัน มันจะเป็นของเจ้า จงดูดซับพลังจากมันเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น รอจนกระทั่งการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่จบลง เจ้าค่อยมอบโอสถหัวใจพฤกษาชิ้นนี้ให้แก่เจี๋ยนเซียวเหยา”
หลังจากพูดจบ หญิงชราทารกก็ยื่นมือออกมาข้างหน้าและกดฝ่ามือลงเล็กน้อย
ทันใดนั้น โอสถหัวใจพฤกษาที่ลอยอยู่ในอากาศก็พุ่งวาบหายวับเข้าไปในร่างของมู่หลินเซิน มันกลายเป็นหัวใจดวงที่สองของเขา และเริ่มต้นปรับสมดุลการทำงานของร่างกายอย่างรวดเร็ว
แสงสว่างสีเขียวเรืองรองออกมาจากร่างกายของมู่หลินเซิน
ต่อจากนั้น ทุกอย่างก็สงบลง
มู่หลินเซินกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ความแตกต่างเดียวคือเขารู้สึกว่าร่างกายของตนเองแข็งแกร่งมากขึ้น
สายตาของเขามองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น
“ท่านยาย ท่าน…”
มู่หลินเซินอยากจะคืนหัวใจดวงนี้กลับไป
การนำหัวใจมาฝากไว้ในร่างกายคนอื่นเช่นนี้ ท่านยายจะไม่ตายเอาหรือ?
“ข้าอยากให้เจ้ารักษามันไว้ให้ดี”
เด็กหญิงผู้น่ารักทำตาดุ “ไสหัวไปได้แล้ว”
มู่หลินเซินต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกลำแสงสีเขียวซัดใส่จนลอยกระเด็นออกมาจากโพรงต้นไม้
ทันทีที่ชายหนุ่มออกไปจากโพรงต้นไม้ ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นกับเด็กหญิงที่อยู่ในค่ายอาคมทันที
ใบหน้าที่เต่งตึงอ่อนเยาว์ของนางพลันเหี่ยวแห้งลงราวกับเปลือกส้มเหี่ยวเฉา เช่นเดียวกับผิวหนังที่มีแต่ร่องรอยยับย่นตามกาลเวลา ในไม่ช้า นางก็อยู่ในสภาพที่หญิงชราอายุหนึ่งพันปีควรจะเป็นโดยสมบูรณ์…
หญิงชราค่อย ๆ หลับตาลง ลมหายใจหยุดชะงักขาดหาย
สุดท้าย ตัวคนก็กลายเป็นท่อนไม้ไร้ชีวิต
สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือกิ่งไม้สองกิ่งที่งอกขึ้นมาบนศีรษะของนาง พวกมันยังคงมีใบไม้สีเขียวสด บอกชัดว่ายังมีชีวิตอยู่
นี่คือความหวังสุดท้ายของหญิงชราแล้ว
…
เมื่อออกมาจากอาณาเขตของเผ่าเทพไม้เขียว หลินเป่ยเฉินก็ไปเยือนอีกหนึ่งอาณาเขตของกลุ่มเจ็ดเทพสงครามต่อทันที
เทพอัคคี
ในอาณาเขตของเผ่าเทพอัคคี ที่นี่เป็นดินแดนอันร้อนระอุ หลินเป่ยเฉินมาพบกับเทพเจ้าผู้มีนามว่าพานหยาง ซึ่งรู้จักกันดีว่าเป็นหนึ่งในสามคนสนิทของท่านเทพอัคคี
เนื่องจากใต้เท้ากั้วไม่ยอมมอบอาวุธชิ้นใหม่ให้แก่หลินเป่ยเฉินโดยตรง เขาจึงส่งเด็กหนุ่มมาที่นี่โดยรับปากว่าจะติดต่อให้คนของเผ่าเทพอัคคีผลิตอาวุธชิ้นใหม่ให้แก่หลินเป่ยเฉินอย่างดีที่สุด
อาวุธชิ้นใหม่ที่สร้างขึ้นเพื่อตัวเขาโดยเฉพาะ ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
หลินเป่ยเฉินเฝ้ารอด้วยความตื่นเต้น
หากไม่ใช่เพราะต้องไปพูดคุยเรื่องโอสถหัวใจพฤกษากับพวกของมู่หลินเซิน หลินเป่ยเฉินก็คงมาถึงที่นี่นานแล้ว
หลังจากแจ้งเรื่องการนัดพบ เทพเจ้าพานหยางก็ปรากฏตัวออกมา
เขาเป็นชายชราร่างเตี้ย ผมเผ้ายุ่งเหยิง สวมใส่เอี๊ยมกันไฟสีดำเหม็นกลิ่นควันโขมง หนวดเครายาวเฟื้อย พุงป่องจนเข็มขัดสีแดงแทบรับไม่ไหว…
นี่หรือคือเทพเจ้าพานหยาง?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองกำลังเกิดเหตุการณ์เดจาวู
สภาพของเทพเจ้าพานหยาง แทบไม่แตกต่างไปจากสภาพของผู้อาวุโสฉีในงานประลองกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุนสักนิด
แถมหน้าตาก็ดูเหมือนกันซะด้วยสิ
“เอาของที่จะใช้หลอมออกมา”
เทพเจ้าพานหยางยื่นมือที่สกปรกของตนเองออกมาข้างหน้า หลินเป่ยเฉินสังเกตเห็นว่ามือของคนผู้นี้มีกล้ามเนื้อมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า
เสียงพูดของชายชราดุดันไม่ต่างจากเปลวไฟที่พุ่งออกมาจากเตาเผา
หลินเป่ยเฉินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะนำกระบี่เงิน กระบี่เพลิงโลกันตร์ และบรรดาหินแร่หลากสีสันที่ขโมยมาจากขุนนางอวิ๋นอิงออกมา
เทพเจ้าพานหยางจ้องมองกระบี่เงินด้วยดวงตาเป็นประกาย
“น่าสนใจยิ่ง”
เขายิ้มมุมปากด้วยความดีใจ