ตอนที่ 1,370 สุดยอดกระบี่นอกสายตา
เมื่อเห็นกระบี่เงินของผู้อาวุโสเฉิน เทพเจ้าพานหยางก็ดวงตาเป็นประกายแวววาว ไม่ต่างจากเด็กอนุบาลเห็นของเล่นชิ้นใหม่ รอยยิ้มไร้เดียงสาปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เขาหยิบกระบี่เงินขึ้นไปดูอย่างละเอียด
นิ้วมือทั้งห้าลูบไล้ไปตามตัวกระบี่อย่างทะนุถนอม
“น่าสนใจ น่าสนใจ”
เทพเจ้าพานหยางเอาแต่พูดเช่นนี้
ในทางกลับกัน กระบี่เพลิงโลกันตร์ซึ่งมีรูปลักษณ์โดดเด่นเป็นสง่า กลับไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากเทพเจ้าพานหยางได้เลยแม้แต่นิดเดียว ราวกับว่าในสายตาของเขานั้น กระบี่เพลิงโลกันตร์เป็นเพียงเศษเหล็กชิ้นหนึ่งก็ไม่ปาน
“ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
เทพเจ้าพานหยางจึงได้ละสายตาออกมาจากกระบี่เงิน
เขาชำเลืองมองกระบี่เพลิงโลกันตร์และกองหินแร่อื่น ๆ ก่อนพูดออกมาแผ่วเบาว่า “วันพรุ่งนี้เจ้ามารับกระบี่เล่มใหม่กลับไปได้”
พูดจบ ชายชราก็หมุนตัวเดินจากไป
“อ้าว?”
หลินเป่ยเฉินรีบเดินตามไปสอบถามว่า “ท่านผู้อาวุโสไม่อยากทราบหรือขอรับว่าข้าน้อยอยากได้กระบี่รูปแบบใด…”
“จำเป็นต้องถามด้วยหรือ?”
เทพเจ้าพานหยางหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน “สวะชั้นต่ำอย่างเจ้าไม่เข้าใจเรื่องการหลอมกระบี่หรอก เจ้ามีคุณสมบัติอะไรถึงได้มาตั้งคำถามกับข้าเช่นนี้? เจ้ารู้หรือว่ากระบี่ชนิดใดจะเหมาะสมกับเจ้ามากที่สุด?”
ดวงตาของชายชราเป็นประกายเหยียดหยาม ไม่ต่างไปจากนักธุรกิจชั้นนำที่กำลังก้มหน้ามองขอทานข้างถนนผู้หนึ่ง
“คือว่า…”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
หากเปรียบเทพเจ้าพานหยางเป็นพ่อค้า เขาก็เป็นพ่อค้าที่ไม่รับฟังความคิดเห็นของลูกค้าสักนิด
ชายชรานักตีเหล็กพลันยื่นกระบี่เงินกลับคืนมา “เจ้ารู้ไหมว่าข้าเกลียดผู้ใดมากที่สุด? ข้าเกลียดตัวโง่งมที่เสแสร้งว่าตนเองนั้นฉลาดเสียเต็มประดา การหลอมเหล็กตีกระบี่คือศิลปะชั้นสูง การตีกระบี่ในแต่ละครั้งต้องใช้วัตถุดิบที่แตกต่างกันไป แม้ข้อแตกต่างเพียงเล็กน้อย ก็สามารถสร้างความเสียหายใหญ่หลวงได้แล้ว อย่าว่าแต่ความอวดดีเช่นนี้… หากเจ้ารับไม่ได้ ก็เอากระบี่ของเจ้าคืนไปเถอะ”
หลินเป่ยเฉินได้แต่ขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจได้ หลินเป่ยเฉินทราบดีว่าตนเองไม่มีความรู้เรื่องกระบี่เลย ที่ผ่านมาเขารู้เพียงแต่ว่ากระบี่เงินกับกระบี่เพลิงโลกันตร์เป็นกระบี่สองเล่มที่สามารถใช้งานได้เข้ามือที่สุด แล้วเขาจะไปอวดดีต่อหน้าเทพเจ้านักตีกระบี่มืออาชีพได้อย่างไร?
หากเป็นในชาติภพที่แล้ว นี่ก็ไม่ต่างจากคนที่เขียนโค้ดคอมพิวเตอร์ไม่เป็น แต่อยากจะเป็นโปรแกรมเมอร์นั่นแหละนะ
อย่าทำตัวอวดดีกับผู้รู้จริงจะดีกว่า
แต่แววตาดูถูกเหยียดหยามของชายชราก็ทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มเกิดความเดือดดาลขึ้นมาไม่น้อย เขากัดฟันกรอด ก้าวเท้าออกไปข้างหน้า จากนั้นจึงได้… ยิ้มอย่างประจบประแจงและพูดว่า “ไม่มีปัญหาขอรับ ต้องรบกวนผู้อาวุโสแล้ว ข้าน้อยจะกลับมารับกระบี่วันพรุ่งนี้นะขอรับ”
เทพเจ้าพานหยางพ่นลมผ่านทางจมูกอย่างดูถูกดูแคลนและหมุนตัวเดินจากไปอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ
ให้ตายเถอะ
พวกผู้รู้จริงที่ทำตัวอวดดีนี่มันน่ารำคาญจริง ๆ
หลังจากนั้น เขาก็หมุนตัวเดินกลับออกมาเช่นกัน
…
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์บนภูเขาเซียวฝู ทุกอย่างยังคงเป็นปกติเรียบร้อยดี
ฉู่เหินกับไต้จือฉุนต่างก็กำลังฝึกวิชา
ส่วนพวกของเฉียนหลงก็กำลังวุ่นวายอยู่กับภารกิจเตรียมการเปิด ‘สำนักโอสถเป่ยเฉิน’
หลินเป่ยเฉินเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย
ดังนั้น เขาจึงกลับมานอนบนเตียง เปิดโทรศัพท์มือถือและหาตัวช่วยเสริมที่จะทำให้ชนะการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ
และเพราะว่าหญิงชราทารกผู้เป็นท่านยายของมู่หลินเซินได้ตัดสินใจลดราคาโอสถหัวใจพฤกษาให้เขาถึงครึ่งหนึ่ง ในขณะนี้ หลินเป่ยเฉินจึงเหลือคะแนนศรัทธาอีกห้าร้อยล้านแต้มให้จับจ่ายใช้สอยในแอปเถาเป่า…
เขาเปิดแอปเถาเป่าและกดค้นหาสินค้าในหมวดหมู่ ‘อาวุธ’
กดสั่งสินค้า…
กดสั่งสินค้า…
ยังคงกดสั่งสินค้าต่อไป…
สินค้าทุกชิ้นจัดส่งแบบเร่งด่วน
…
เพียงพริบตาเดียว หนึ่งวันก็ผ่านไป
หลินเป่ยเฉินเดินทางไปยังอาณาเขตของเผ่าเทพอัคคีเพื่อรับกระบี่ตามนัดหมาย
แต่ปรากฏว่ายืนรอแล้วรอเล่า เทพเจ้าพานหยางก็ไม่ได้มาตามนัด
หลินเป่ยเฉินยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก
ตาแก่อ้วนนั่นคงไม่ได้ขโมยกระบี่เงินกับหินแร่สีสันสวยงามเหล่านั้นหนีไปแล้วหรอกนะ?
ไม่น่าใช่
เพราะนี่เป็นคำสั่งสร้างอาวุธใหม่จากท่านใต้เท้ากั้ว
และสถานะของเทพเจ้าพานหยางก็ใช่ว่าจะต่ำต้อย
“แต่ไม่ได้การแล้ว นี่เรารอมานานเกินไปแล้วนะโว้ย เล่นแม่งเลยดีไหม… อ้อ มาพอดีเลย”
หลังจากยืนรอคอยมาครึ่งชั่วยาม ตอนที่หลินเป่ยเฉินกำลังจะเริ่มหมดความอดทนและเตรียมตัวบุกเข้าไปอาละวาดในวิหารใหญ่ของเผ่าเทพอัคคี ในที่สุด เทพเจ้านักตีกระบี่ก็ปรากฏตัวออกมาด้วยความอ่อนระโหยโรยแรงภายใต้การช่วยเดินประคองของลูกศิษย์คนหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
เพราะสภาพของเทพเจ้าพานหยางนั้นแตกต่างจากเมื่อวานนี้อย่างสิ้นเชิง
เทพเจ้าพานหยางมีสภาพไม่ต่างจากผู้อพยพที่หนีภัยสงครามมาจากทวีปแอฟริกา ผมเผ้ายุ่งเหยิง เบ้าตาลึกโหล ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกเผาไหม้จนกลายเป็นสีดำ…
เกิดอะไรขึ้น?
หลินเป่ยเฉินรีบวิ่งเข้าไปประคองชายชรา
“ท่านผู้อาวุโส เกิดอะไรขึ้นขอรับ…”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความร้อนรน
เทพเจ้านักตีกระบี่มืออาชีพเช่นนี้คงไม่ได้หลอมกระบี่ล้มเหลวหรอกกระมัง?
เทพเจ้าพานหยางผู้ยืนอยู่ได้ด้วยการประคองของลูกศิษย์ พยายามอ้าปากพูดอยู่หลายครั้ง แต่เสียงกลับติดค้างขลุกขลักอยู่ในลำคอ ราวกับว่าพร้อมที่จะขาดใจตายได้ทุกเมื่อ
ชายชราต้องหยุดพักหายใจอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้น มือที่สั่นเทาของเขาจึงได้โยนหีบสีดำทมิฬใบหนึ่งมาที่เบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน…
หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือรับไว้ตามสัญชาตญาณ
กริ๊ก
หีบสีดำใบนั้นเปิดออกโดยทันที
แสงสว่างเป็นประกายเจิดจ้า
แล้วกระบี่เงินเล่มหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาจากหีบใบนั้น
หลินเป่ยเฉินตอบสนองอย่างรวดเร็ว ตวัดมือจับด้ามกระบี่เอาไว้อย่างมั่นคง
“เชี่ย…”
เด็กหนุ่มอุทานคำหยาบออกมาโดยไม่รู้ตัว
เพราะว่า…
กระบี่เล่มนี้มีน้ำหนักมากเกินไป
เมื่อกระบี่มาอยู่ในมือ ตัวเขาก็แทบไม่ต่างจากกำลังรับน้ำหนักภูเขาใหญ่ทั้งลูก กล้ามเนื้อน่องปูดโปน พื้นดินใต้เท้าเกิดรอยแตกร้าวราวกับใยแมงมุมเพราะรับน้ำหนักไม่ไหว…
หลินเป่ยเฉินรีบโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ใส่กระบี่เล่มใหม่
ใช้เวลาปรับสมดุลอยู่สักครู่ใหญ่
และเขาก็สามารถควงกระบี่ออกมาจากร่องร้าวบนพื้นดินได้โดยไม่มีปัญหา
“กระบี่เล่มนี้…”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าเทพเจ้าพานหยางด้วยความพิศวง
นี่คือกระบี่ที่แปลกประหลาดมาก
ด้ามจับกระบี่มีลักษณะเหมือนกิ่งไม้ ผิวสัมผัสหยาบกร้านเต็มไปด้วยแรงเสียดสี แต่สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือตัวกระบี่ มันไม่มีคมกระบี่และไม่มีสันกระบี่ ตัวกระบี่จะเรียวบางลงเรื่อย ๆ ไปจรดปลายสุด
ปลายกระบี่ซึ่งมีลักษณะเหมือนเข็มฉีดยานั้นคมกริบเป็นอย่างยิ่ง
กล่าวได้ว่านี่คือกระบี่ที่ไม่ใช่กระบี่
เป็นกระบี่ที่ไม่มีใบกระบี่
ตัวกระบี่ยังคงมีสีเงินแวววาวเช่นเดิม
ดูเหมือนจะสามารถใช้ทิ่มแทงผู้คนได้อย่างเดียวเท่านั้น
ไม่สามารถใช้ตวัดฟาดฟันได้
หลินเป่ยเฉินยืนนิ่งเงียบใช้ความคิด สามารถให้คำจำกัดความกับอาวุธชิ้นใหม่ของตนเองได้เพียงประโยคเดียวว่า…
สุดยอดกระบี่นอกสายตา
หากไม่ใช่เขาคนนี้ ก็คงไม่มีผู้ใดใช้กระบี่เล่มนี้ได้อีกแล้ว
“ข้ายังตีกระบี่เล่มนี้ไม่เสร็จ”
เทพเจ้าพานหยางหอบหายใจ พูดออกมาด้วยความยากลำบาก
หลินเป่ยเฉินอ้าปากเหวอ “เอ้า!!!”
ยังตีไม่เสร็จแล้วเอามาให้ทำไมเล่า?
หลินเป่ยเฉินอยากจะถามออกไปใจจะขาด
“แต่นี่คือผลงานที่ข้าภาคภูมิใจที่สุดในรอบสิบปี”
เทพเจ้าพานหยางชำเลืองมองไปที่กระบี่นอกสายตานั้น ก่อนที่ดวงตาจะเป็นประกายด้วยความรู้สึกซับซ้อน ราวกับว่าเขาทั้งพึงพอใจ เศร้าเสียใจและก็คาดหวังในเวลาเดียวกัน
“ด้วยความสามารถของข้า ข้าจึงทำออกมาได้เพียงเท่านี้”
เทพเจ้าพานหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสลด “ความจริงข้าไม่อยากมอบมันให้กับเจ้าเลย แต่ข้าจะผิดคำพูดได้อย่างไร… เร็วเข้า เมื่อรับของแล้วเจ้าก็รีบไสหัวไปเถอะ”