ตอนที่ 1,371 ชุดเกราะมหาธาตุ
เฮอะ คิดจะไล่เขาไปง่าย ๆ งั้นเหรอ ไม่มีทางซะหรอก
หลินเป่ยเฉินก้มมองกระบี่เล่มใหม่ของตนเองอย่างมีความสุข
สังหรณ์ใจว่ามันต้องมีพลังโจมตีไม่ธรรมดาแน่ ๆ
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มหัวใจพองโตและถามออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า “ท่านผู้อาวุโสขอรับ ไม่ทราบว่ากระบี่เล่มนี้ต้องใช้งานอย่างไรหรือ?”
เมื่อเทพเจ้าพานหยางได้ยินคำถามของหลินเป่ยเฉิน เขาก็ต้องหันมามองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความเหลือเชื่อ
สายตาที่จ้องมองมาไม่ต่างจากกำลังจ้องมองตัวโง่งมผู้หนึ่ง
“ในเมื่อเจ้าเองก็เป็นผู้ใช้กระบี่ เหตุไฉนถึงยังไม่รู้อีกว่าต้องใช้กระบี่อย่างไร?”
ชายชราพุงป่องเหยียดหยามกลับมา
นี่คือคำถามที่น่าตลกขบขันเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต่างจากพ่อครัวถามว่าสมควรทำอาหารอย่างไร?
หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุกเล็กน้อย
ตาเฒ่าพุงป่องนี่ชักจะยั่วโมโหเขาเกินไปแล้ว
หลินเป่ยเฉินต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะสะกดใจไม่กระโดดเข้าไปขย้ำหัวเทพเจ้าพานหยางและกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “ข้าน้อยหมายความว่า… กระบี่เล่มนี้คงซ่อนเร้นพลังวิเศษเอาไว้กระมัง? อย่างเช่นการลงอักขระอาคมอะไรทำนองนั้น? ข้าน้อยต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถปลดผนึกพลังเหล่านั้นได้ขอรับ…”
เทพเจ้าพานหยางหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ส่งเสียงแทรกกลับมาทันทีว่า “พลังเหล่านั้นไม่มีหรอก”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ
“หากเช่นนั้นจุดแข็งของกระบี่เล่มนี้…”
หลินเป่ยเฉินพยายามสอบถามต่อไป
“จุดแข็งของมันก็ตามที่เจ้าเห็นนั่นแหละ”
เทพเจ้าพานหยางตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
หลินเป่ยเฉินแทบจะยกมือกุมขมับแล้ว
ให้ตายสิ
นี่เขาต้องโดนหลอกเข้าให้แล้วแน่ ๆ กระบี่ที่ได้รับการหลอมรวมขึ้นมาใหม่ มันสมควรมีความดีเลิศมากกว่าเก่าไม่ใช่หรือ? หลินเป่ยเฉินยังคงมองไม่ออกเลยว่ากระบี่นอกสายตาเล่มนี้ มีดีมากกว่ากระบี่เงินเล่มเก่าตรงไหนกัน
หลินเป่ยเฉินอดก้มหน้ามองกระบี่ในมืออีกครั้งไม่ได้
หรือว่าอีกฝ่ายต้องการทดสอบความอดทนของเขา?
หลินเป่ยเฉินไม่ทราบว่าตนเองสมควรทำอย่างไรดี
เทพเจ้าพานหยางพยายามปรับระดับลมหายใจ ดวงตายังคงจ้องมองกระบี่ในมือหลินเป่ยเฉินด้วยความตื่นเต้น สุดท้ายก็กล่าวออกมาอย่างเสียไม่ได้ว่า “จุดเด่นของกระบี่เล่มนี้คือความแข็งแกร่ง น้ำหนัก และความคม”
พูดจบ ชายชราพุงป่องพร้อมด้วยลูกศิษย์ข้างกายก็หมุนตัวเดินจากไปหน้าตาเฉย
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความเหลือเชื่อ
เฮ้อ
เทพเจ้าพานหยางเป็นสุดยอดนักตีกระบี่จริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย?
ดูไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด
หลินเป่ยเฉินยกกระบี่ในมือขึ้นมาสำรวจโดยละเอียด
ความแข็งแกร่ง?
หมายความว่ากระบี่เล่มนี้สามารถทนทานได้ทุกสิ่งทุกอย่างใช่หรือไม่?
น้ำหนัก?
ใช่ กระบี่เล่มนี้โคตรพ่อโคตรแม่หนักที่สุด
และด้วยน้ำหนักที่มากมายมหาศาลเช่นนี้ ต่อให้เอาเทพเจ้าระดับสามัญอย่างเช่นขุนนางอวิ๋นอิงหรือใต้เท้าหมิงรั่วมาลองถือ ก็คงยกมันไม่ขึ้นด้วยซ้ำ
ความคม?
ดูจากจุดแหลมที่ปลายกระบี่ มันก็น่าจะมีความคมจริง ๆ หากนำไปทิ่มแทงใส่เทพเจ้า ไม่ทราบเลยว่าจะมีสักกี่คนกันที่สามารถทนทานได้
หลินเป่ยเฉินคิดได้ดังนี้ก็ลองวาดปลายกระบี่ลงไปบนพื้นหิน
และพื้นหินก็ถูกกรีดออกเป็นช่องว่างอย่างง่ายดาย
ไม่ต่างจากแหวกอากาศธาตุ
มิหนำซ้ำ พื้นหินที่ถูกกรีดนั้นยังมีผิวเรียบเนียนราวกับกระจก
นับเป็นการตัดหินที่ประณีตที่สุด
“คมจริงด้วยแฮะ!”
หลินเป่ยเฉินอดชื่นชมออกมาไม่ได้
“ดูเหมือนสุดยอดกระบี่นอกสายตาเล่มนี้จะสืบทอดความแข็งแกร่งมาจากกระบี่เงินเล่มเก่าได้อย่างดีเยี่ยม และการที่มันมีน้ำหนักมากกว่าเดิมหลายเท่า… ก็น่าจะหมายความว่ามันมีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าด้วยเช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินหาข้อสรุปให้แก่ตนเองได้ในที่สุด
สมควรแล้วที่เป็นผลงานชิ้นเอกของท่านเทพเจ้าผู้ชำนาญด้านการสร้างอาวุธ
ว่าแต่ว่า
ทำไมพวกสุดยอดนักสร้างกระบี่ถึงไม่ค่อยยอมตั้งชื่อกระบี่ให้เขาเลยนะ?
ผู้อาวุโสเฉินก็คนหนึ่งแล้ว
เทพเจ้าพานหยางก็เช่นกัน
หลินเป่ยเฉินอดบ่นอยู่ในใจไม่ได้
“แล้วเราจะตั้งชื่อกระบี่เล่มนี้ว่าอะไรดีวะ?”
“แข็งแกร่ง มีน้ำหนักและความคม… เฮ้อ งั้นเรียกว่าสุดยอดกระบี่นอกสายตาเหมือนเดิมนั่นแหละดีแล้ว”
หลินเป่ยเฉินพยายามเก็บกระบี่เข้าไปในพื้นที่เก็บไฟล์ออนไลน์ของแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์…
แต่ความพยายามกลับล้มเหลว
หืม?
เกิดอะไรขึ้น?
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วและหยุดชะงัก
แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน เขาก็ค้นพบคำตอบ…
พื้นที่จัดเก็บไม่เพียงพอ
เพราะว่ากระบี่นอกสายตาเล่มนี้มีความแข็งแกร่งมากเกินไป มันจึงจำเป็นต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บมากกว่าอาวุธปกติ…
หลินเป่ยเฉินต้องนั่งเคลียร์พื้นที่อยู่นานทีเดียว กว่าจะสามารถเก็บกระบี่นอกสายตาได้สำเร็จ
มันต้องใช้พื้นที่ว่างถึงหนึ่งเทราไบต์ครึ่งเลยทีเดียว
“ทีนี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้ว ไม่มีอะไรที่เราจะต้องกลัวอีกต่อไป”
เด็กหนุ่มหมุนตัวเดินจากมาด้วยความพึงพอใจ
เพราะการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศกำลังจะเริ่มขึ้นวันพรุ่งนี้
…
อาณาเขตเทพอัคคี
เทพเจ้าพานเอินผู้เป็นหนึ่งในสามคนสนิทของท่านเทพอัคคีกำลังยืนอยู่หน้าถ้ำใต้ดินขนาดใหญ่ด้วยสีหน้าคาดหวัง
รูปลักษณ์ของเขาแทบไม่ต่างไปจากเทพเจ้าพานหยาง
“อ๊ากกก…”
“ย้ากกก ย้ากกกก….”
เสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากด้านในถ้ำใต้ดิน ลาวาร้อนเหลวที่อยู่ด้านในถ้ำสาดกระเซ็นออกมาเป็นระยะ
เมื่อเทพเจ้าพานเอินได้ยินเสียงกรีดร้องนี้ เขาก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ
ค้อนทมิฬด้ามหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ ด้ามจับของมันมีขนาดยาวยิ่งกว่าไม้พายเรือ และหัวค้อนก็มีขนาดใหญ่กว่าปกติถึงสี่เท่า เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ค้อนธรรมดา เทพเจ้าเดินพานเอินเดินถือค้อนมุ่งตรงเข้าไปในถ้ำใต้ดินแห่งนั้น
ตลอดเวลาที่ก้าวเดิน ชายชราจะเหวี่ยงค้อนฟาดผนังถ้ำอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
เมื่อหัวค้อนกระแทกผนังถ้ำ รอยแตกร้าวก็ปรากฏให้เห็นราวกับเป็นฝูงอสรพิษขนาดใหญ่ และรอยแตกร้าวเหล่านั้นก็ช่วยดูดซับมวลความร้อนในอากาศเข้าไปด้านในเนื้อหิน
หากไม่ทำการระบายความร้อนเช่นนี้ เจ้าของเสียงร้องโหยหวนนั้นก็คงต้องตกตายแล้ว
สภาพของผู้ที่อยู่ด้านในถ้ำใต้ดินก็ใช่ว่าจะสู้ดีนัก
เทพเจ้าพานเอินเดินเข้าไปใช้ค้อนใหญ่ฟาดผนังถ้ำซ้ำไปซ้ำมา
ใช้เวลาประมาณหนึ่งก้านธูป
เสียงร้องโหยหวนก็ดังออกมาจากด้านในถ้ำอีกครั้ง
เทพเจ้าพานเอินนำวัตถุประหลาดออกมาจากที่เก็บของวิเศษมากมาย เขาโยนวัตถุประหลาดเหล่านั้นเข้าสู่ด้านในส่วนลึกของตัวถ้ำ ไม่ต่างจากพ่อครัวใหญ่ที่กำลังใส่เครื่องปรุงในอาหารจานเด็ด
ทันใดนั้น เสียงร้องโหยหวนเงียบหายไป
มวลความร้อนในอากาศค่อย ๆ ลดลง
บนพื้นดินที่มีลาวาไหลเนืองนองก็แห้งเหือดลงแล้ว
สุดท้าย สถานการณ์ก็กลับมาเป็นปกติ
“นี่ นี่…”
เทพเจ้าพานเอินแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับจากความคาดหวัง “ออกมาได้แล้ว อาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า ฮ่า ๆๆ ครั้งนี้แหละเจ้าโง่พานหยางมันจะต้องยอมรับเสียทีว่าตนเองมีฝีมือต่ำต้อยมากกว่าข้าหลายเท่า เพราะอาวุธวิเศษของข้า จะขยี้อาวุธของมันให้แหลกคามือ… เร็วเข้า รีบ… ออกมา… ให้… กับ… ข้า… เดี๋ยวนี้!”
เมื่อสิ้นเสียงคำรามของชายชราพุงป่อง
ตู้ม!
บ่อลาวาที่อยู่ส่วนลึกของถ้ำใต้ดินก็เกิดการระเบิดตัว
ลูกบอลทรงกลมสีทองคำลอยสูงขึ้นมาในอากาศ
ก่อนที่จะค่อย ๆ ลดระดับลอยต่ำลงมา
และกลายเป็นร่างมนุษย์ผู้หนึ่ง
ลำแสงสีทองจางหายไป
ปรากฏให้เห็นร่างกายกำยำและใบหน้าที่หล่อเหลา
เป็นพานตั่วชิง
เพียงแต่ร่างกายของเขาดูประหลาดไปจากเดิม
ผิวหนังที่เคยเรียบเนียนบัดนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกับเกล็ดปลาทองคำ แม้แต่บนใบหน้าก็มีเกล็ดทองคำเหล่านี้ปกคลุมทุกอณู
เกล็ดทองคำบนผิวหนังสั่นไหวตลอดเวลา เกิดเป็นเสียงการสั่นสะเทือนคล้ายกับแมลงกรีดปีกอย่างไรอย่างนั้น
พานตั่วชิงเปิดเปลือกตาของตนเองขึ้น
ร่างกายของเขาดูงดงามอย่างน่าพิศวง
“นี่หรือคือชุดเกราะมหาธาตุ”
พานตั่วชิงกางแขนออกและสำรวจดูร่างกายของตนเอง มีเพียงแต่ดวงตาของเขาเท่านั้นที่ยังเป็นปกติดี บุรุษหนุ่มหันไปมองหน้าเทพเจ้าพานเอินและกล่าวว่า “ข้าคิดว่า… ข้าทำสำเร็จแล้ว”
พรึ่บ!
เปลวไฟลุกโชนสว่างไสว
เผาไหม้ร่างกายของพานตั่วชิง
แต่เขากลับไม่เจ็บปวดแม้แต่น้อย
เปลวไฟเหล่านี้มาจากกระบี่ในมือของเทพเจ้าพานเอิน
เขาเก็บกระบี่และเปลี่ยนอาวุธโจมตีเป็นดาบ หอก ไม้เท้า ขวาน ง้าว กระบอง สามง่าม ค้อนเหล็ก ตะขอ และอื่น ๆ อีกมากมาย
ทุกการโจมตีมุ่งเน้นเล่นงานที่หน้าอก ช่วงท้อง ศีรษะ ขาหนีบ เท้าและแผ่นหลังของพานตั่วชิง…
แต่พานตั่วชิงยังคงยืนหยัดอยู่ที่เดิมไม่สะทกสะท้าน
ไม่ว่าจะเป็นอาวุธระดับสามัญหรืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง เมื่อกระทบกับร่างกายของเขา พวกมันก็จะแตกกระจายไปอย่างไม่มีข้อยกเว้น
ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยขีดข่วนบนร่างกายพานตั่วชิงสักนิด
“สำเร็จแล้ว”
เทพเจ้าพานเอินโยนค้อนที่บุบบู้บี้ในมือตนเองทิ้งไป ก่อนเงยหน้าหัวเราะด้วยความสะใจ
“ฮ่า ๆๆ ร่างกายของเจ้าได้รับการคุ้มครองด้วยชุดเกราะมหาธาตุโดยสมบูรณ์ ในดินแดนทวยเทพแห่งนี้ ไม่มีอาวุธชิ้นใดจะสามารถทำอันตรายเจ้าได้อีก… ตำแหน่งผู้ชนะการแข่งขันประจำปีนี้อยู่ในมือของเจ้าแล้ว!!”