ตอนที่ 1,398 กลับบ้านและอยู่ต่อ
วันต่อมา แผ่นฟ้าครึ่งหนึ่งแจ่มใสส่วนอีกครึ่งหนึ่งมืดมัว
การต่อสู้อันดุเดือดทั่วทั้งเมืองเมื่อคืนนี้ส่งผลให้ท้องฟ้ามีสภาพครึ่งขาวครึ่งดำ
รอยแตกแยกบนท้องฟ้ายังไม่สามารถสมานตัวได้
รอยแตกแยกบนพื้นดินยังคงมีมวลพลังสีดำไหลทะลักขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ดินแดนทวยเทพเกิดรอยแตกร้าว
ผู้คนในเมืองเยี่ยเฉิงตกอยู่ในความตื่นกลัว
ณ พื้นที่ตอนกลาง
รถม้าสีดำทมิฬซึ่งบรรทุกหลินเป่ยเฉิน ฉู่เหินและไต้จือฉุนคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้าผ่านท้องฟ้าตรงไปยังวิหารหลังเก่าของใต้เท้าฉาง
รถม้าคันนี้เป็นเขาแย่งชิงมาจากใต้เท้าหมิงรั่วก่อนที่จะตัดหัวทิ้ง
และนี่คือวันแรกที่หลินเป่ยเฉินจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เพราะฉะนั้น การเปิดตัวจึงต้องยิ่งใหญ่อลังการอยู่บ้าง
ครืน!
แผ่นฟ้าสั่นสะเทือน
“เมื่อไปถึงที่วิหาร พวกท่านอย่าได้ตื่นตกใจไป ให้ทำสีหน้าสงบสุขุมเข้าไว้ก็พอ…”
หลินเป่ยเฉินเอนตัวไปที่หน้าต่างห้องโดยสารและพูดอย่างมีชั้นเชิงว่า “การเข้ารับตำแหน่งใต้เท้าใหญ่ของข้า คงมีผู้คนนำกลองออกมาตีเฉลิมฉลอง เดี๋ยวก็คงมีการยิงดอกไม้ไฟ และก็คงมีผู้คนยืนรอต้อนรับไม่น้อย… เหตุการณ์เช่นนี้ ข้าเคยพบเจอมาจนชาชินแล้ว ข้าไม่มีความประหม่าสักนิด เพียงยิ้มสักหน่อยและโบกมือทักทายพวกเขาก็พอแล้ว”
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงดัง
ฉู่เหินกับไต้จือฉุนไม่ตอบคำใด
หลังจากนั้น
รถม้าก็แล่นมาถึงปลายทาง
ฉู่เหินกับไต้จือฉุนหันมองหน้ากันและอดยิ้มออกมาไม่ได้
หลินเป่ยเฉินใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย
ไม่มีใครมารอต้อนรับเขาเลยหรือ?
“สงสัยคงไปแอบกันอยู่แน่ ๆ”
หลินเป่ยเฉินยังคงฝืนพูดออกไป
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
“เห็นไหมล่ะ มีคนมาแล้ว”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบกระโดดออกจากห้องโดยสารเพื่อไปพบกับผู้ต้อนรับ
แต่เสียงฝีเท้าที่หลินเป่ยเฉินได้ยินกลับเป็นเสียงกลุ่มกองกำลังของเซียวอวี้จำนวนนับร้อยคน
เดี๋ยวก่อนนะ?
นี่จะยกทัพไปทำสงครามกันที่ไหน?
“คารวะใต้เท้าเจี๋ยนขอรับ”
เซียวอวี้คุกเข่าข้างเดียวและประสานมือทำความเคารพ
ชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ที่เขาสวมใส่อยู่นั้นปรากฏร่องรอยกระบี่จำนวนมาก ตลอดเนื้อตัวของเซียวอวี้ก็แปดเปื้อนคราบโลหิตไม่น้อย บนหัวไหล่ซ้ายของชายหนุ่มปรากฏบาดแผลฉกรรจ์ โลหิตยังไหลซึมออกมาไม่หยุด ดูท่าแล้วอาการบาดเจ็บคงสาหัสพอสมควร
“เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อหลินเป่ยเฉินตั้งสติได้ เขาก็รู้ว่าต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ
เซียวอวี้รีบบอกเล่าเหตุการณ์เมื่อค่ำคืนนี้ออกมาทันที
“หมายความว่าลูกสมุนของใต้เท้าฉาง ไม่มีผู้ใดยอมสวามิภักดิ์ต่อข้าเลยสักคนรึ?”
เมื่อรับฟังจบ หลินเป่ยเฉินก็มีสีหน้าโกรธแค้นขึ้นมาทันที “นี่หมายความว่าพวกเขาไม่ยอมรับข้าในฐานะใต้เท้าใหญ่คนใหม่ใช่หรือไม่?”
นี่คือเรื่องที่น่าอับอายขายหน้ายิ่งนัก
หลินเป่ยเฉินไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้
“เมื่อคืนเกิดการก่อกบฏในเมืองเยี่ยเฉิงขอรับ เผ่าเทพตะวันร่วมมือกับลูกสมุนเก่าของใต้เท้าฉางออกอาละวาดสร้างความวุ่นวาย บุกเข้าไปทำลายวิหารต้องห้าม อีกทั้งยังโจมตีวิหารมหาวายุอีกด้วย…” เซียวอวี้อธิบาย
“เดี๋ยวก่อนนะ”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าแปลกประหลาด รีบยกมือขึ้นขัดจังหวะเซียวอวี้และถามว่า “มีการบุกรุกเข้าไปในวิหารต้องห้ามด้วยหรือ?”
เซียวอวี้ตอบว่า “ใช่แล้วขอรับ กลุ่มกบฏบุกเข้าไปทำลายวิหารต้องห้ามจนไม่เหลือชิ้นดี… เช่นเดียวกับวิหารของเผ่าเทพพงไพรอีกหลายร้อยแห่ง…”
สิ่งที่เซียวอวี้รายงานหลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินไม่ได้สนใจรับฟังอีกแล้ว
วิหารต้องห้ามถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดี
นี่ถือเป็นข่าวดีใช่หรือไม่?
โชคดีนะที่เขาเก็บกวาดตำแหน่งเทพเจ้ามาเกือบหมดแล้ว
บัดนี้ ต่อให้วิหารถูกทำลายก็ไม่ส่งผลอะไรกับหลินเป่ยเฉินอีก
“แล้วของที่อยู่ในวิหารล่ะ?”
เด็กหนุ่มถาม
เซียวอวี้ก้มหน้าตอบว่า “วิหารต้องห้ามถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดี ค่ายอาคมถูกสลาย ชั้นวางตำแหน่งเทพเจ้าถูกระเบิดกระจาย สิ่งของที่เคยมีอยู่ในวิหารต้องห้ามถูกกลุ่มกบฏขโมยไปหมดสิ้น… ไม่เหลืออะไรอยู่ในวิหารอีกแล้วขอรับ”
“เฮ้อ ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน”
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งถอนหายใจออกมา “มีผู้คนบุกเข้าไปขโมยของในวิหารเช่นนี้… ทำให้ข้าอนาถใจยิ่งนัก”
เขายกมือขึ้นปิดใบหน้า เพราะกลัวจะเผลอยิ้มออกมาให้ใครสังเกตเห็น
และภายใต้การนำทางของเซียวอวี้ พวกของหลินเป่ยเฉินทั้งสามคนก็เดินเข้าไปในวิหารหลังเก่าของใต้เท้าฉาง
บนพื้นยังมีรอยเลือดให้พบเห็นอย่างชัดเจน
กลิ่นของการต่อสู้ยังคงเหลืออยู่ในบรรยากาศ
ซากศพผู้ตายยังไม่ถูกเก็บกวาด
อาวุธที่แตกหักจำนวนมากวางแช่ในกองเลือด
“การต่อสู้เพิ่งยุติได้ไม่นาน พวกเราจะรีบเก็บกวาดให้เร็วที่สุดขอรับ”
เซียวอวี้รีบอธิบายด้วยความร้อนรน “ท่านนักเวทชุดดำรอใต้เท้าอยู่ด้านในแล้ว… ภายในเวลาหนึ่งก้านธูป ที่นี่จะต้องได้รับการทำความสะอาดอย่างหมดจดแน่นอนขอรับ แต่ไม่ทราบว่าใต้เท้าอยากจะเปลี่ยนชื่อวิหารหลังนี้ใหม่หรือไม่?”
“เปลี่ยนสิ”
หลินเป่ยเฉินรีบหันหน้ากลับมาพูดว่า “นับจากนี้ไป ให้เรียกที่นี่ว่าคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน”
คฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน?
ไม่ใช่วิหารอย่างนั้นหรือ?
เซียวอวี้ชะงักเล็กน้อย แต่ก็รีบรับคำสั่ง และหมุนตัวเดินออกไปทำภารกิจของตนเอง
หลินเป่ยเฉินพร้อมด้วยฉู่เหินกับไต้จือฉุนเดินเข้าไปยังส่วนลึกในห้องโถงใหญ่
เด็กสาวเท้าเปล่าในชุดเสื้อคลุมสีดำยืนอยู่หน้ากำแพงหิน วันนี้นางสวมใส่กระโปรงสั้นสีดำ อวดต้นขาขาวผ่องดึงดูดสายตาผู้คน กลิ่นกายที่หอมฟุ้งคละเคล้าไปกับกลิ่นโลหิตที่ลอยตลบอบอวลอยู่ในอากาศไม่จางหายไป
“น้องสาว เจ้าเป็นใครกันนี่ พวกเราเคยพบกันมาก่อนหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปส่งยิ้มหวาน
เด็กสาวเท้าเปล่าค่อย ๆ หันหน้ากลับมาอย่างแช่มช้า ใบหน้าที่งดงามนั้นบูดบึ้งไร้รอยยิ้ม แววตาเย็นชาห่างเหิน กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าได้รับคำสั่งจากใต้เท้าเหลียนให้มาช่วยงานท่านที่วิหารแห่งนี้”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที “เป็นคนจากใต้เท้าเหลียนนี่เองสินะ… ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ไปทำหน้าที่ของเจ้าเถอะ”
เด็กสาวเท้าเปล่าพยักหน้าและเดินจากไปโดยไม่ลังเล
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นนวดขมับด้วยความปวดหัว
เด็กสาวผู้นี้ป่วยจิตหรือไม่?
คิดจะไปไม่ลาสักคำเลยหรือ?
งั้นจะมายืนรอเขาอยู่ที่นี่ทำไม?
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองห้องโถงใหญ่ในวิหารอย่างระมัดระวัง
ต้องยอมรับเลยว่าวิหารของใต้เท้าฉางนั้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของรูปทรง ขนาด การตกแต่ง หรือการจัดวางค่ายอาคม ล้วนแต่มีความสมบูรณ์แบบสมกับที่เป็นหนึ่งในสุดยอดวิหารแห่งเมืองเยี่ยเฉิง
ในห้องโถงใหญ่แห่งนี้ตกแต่งด้วยค่ายอาคมที่ตระการตา
มีทิวทัศน์ของแม่น้ำภูเขาลำคลอง…
สวยงามเกินกว่าที่หลินเป่ยเฉินเคยจินตนาการเอาไว้มาก
อีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง
ทุกสิ่งทุกอย่างในวิหารก็ถูกทำความสะอาดและจัดสร้างใหม่เรียบร้อย
ใต้เท้าเหลียนปรากฏตัว
เช่นเดียวกับใต้เท้ากั้ว ใต้เท้าเหยาและใต้เท้าซิน
นี่คือการรวมตัวกันครั้งแรกของห้าใต้เท้าใหญ่ยุคใหม่
หลินเป่ยเฉินได้รับของขวัญจากใต้เท้าใหญ่ทั้งสี่ท่าน
พวกเขาต่างก็มาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีต่อหลินเป่ยเฉิน
บรรยากาศในวันนี้เป็นไปด้วยความรื่นเริง
จนกระทั่งถึงตอนเย็น ในที่สุด การจัดสร้างค่ายอาคมต่าง ๆ ทั่ววิหารก็เสร็จสมบูรณ์
หลินเป่ยเฉินเดินขึ้นไปยืนอยู่ด้านบนวิหาร ปล่อยให้สายลมแผ่วเบาพัดปะทะผิวกายและกล่าวออกมาอย่างช้า ๆ ว่า “อาจารย์ฉู่ขอรับ ท่านตัดสินใจได้แล้วหรือไม่ว่าจะกลับบ้าน หรือจะอยู่ที่ดินแดนทวยเทพต่อไป?”
ฉู่เหินพยักหน้ายืนยันหนักแน่น “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะอยู่ที่นี่ต่อไป”
ชายวัยกลางคนอยากจะค้นหาเพื่อนร่วมชะตากรรมที่ถูกมือยักษ์ลักพาตัวมาในค่ำคืนนั้น
และเขาก็อยากจะแก้แค้นให้แก่มิตรสหายที่ตกตายอย่างไม่เป็นธรรมในดินแดนทวยเทพ
บัดนี้ ฉู่เหินมีทั้งอำนาจและความสามารถ
นี่คือสิ่งที่เขาเคยให้สัญญาไว้กับคนตายเหล่านั้น
หลินเป่ยเฉินเองก็รู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน
เขาจึงไม่ได้เกลี้ยกล่อมให้ฉู่เหินเปลี่ยนใจ
แต่ตัวหลินเป่ยเฉินเองจำเป็นต้องกลับไป
เพราะเขาใช้เวลาอยู่ในดินแดนทวยเทพนานเกินไปแล้ว
หลินเป่ยเฉินไม่ทราบเลยว่าขณะนี้ในจักรวรรดิเป่ยไห่เกิดอะไรขึ้นบ้าง
นั่นคือสิ่งที่เด็กหนุ่มเป็นกังวลมากที่สุด
ราวกับว่ามันเป็นโลกมนุษย์ใบเก่าของเขาอย่างไรอย่างนั้น
หลินเป่ยเฉินนำขวดน้ำเต้าบรรจุสุราจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ออกมาโยนให้แก่ฉู่เหินกับไต้จือฉุนคนละขวด หลังจากนั้น เขาจึงหยิบขวดหนึ่งออกมาให้แก่ตนเอง และเทสุราใส่จอกสามใบพร้อมกับพูดว่า “พี่ไต้คงกลับบ้านกระมัง?”
ไต้จือฉุนตอบรับว่า “ย่อมกลับบ้าน”
เขาไม่เหมือนฉู่เหินที่ไม่มีภรรยาและบุตรสาวรอคอยให้กลับไปหา
ไต้จือฉุนแทบรอเวลาที่จะได้กลับบ้านไม่ไหวแล้ว
“หลังจากสุราขวดนี้หมดลง ข้าจะพาอาจารย์ฉู่ไปที่หอคอยหรงเซิน ก่อนที่ข้าจะกลับไปสู่จักรวรรดิเป่ยไห่ ข้าจะแต่งตั้งให้ท่านเป็นเทพเจ้าคอยดูแลความเรียบร้อยของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน ท่านจะเป็นตัวแทนข้าในการจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ภายในเมืองเยี่ยเฉิง… อาจารย์ฉู่ขอรับ ไม่ทราบว่าท่านต้องการตำแหน่งเทพเจ้าใด?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมา
ฉู่เหินตอบว่า “ในเมื่อเจ้าถามออกมาเช่นนี้ ข้าก็ขอตำแหน่งเทพเจ้าแห่งถ่านไฟที่มีสามหัวหกแขนก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
“ส่วนเจ้าก็อยู่ที่นี่คอยช่วยงานอาจารย์ฉู่ด้วยแล้วกัน”
เด็กหนุ่มเอียงศีรษะเล็กน้อยและกระซิบออกมา
“รับทราบขอรับ นายท่าน”
เสียงที่ฉู่เหินกับไต้จือฉุนไม่เคยได้ยินมาก่อนพลันดังขึ้นในอากาศ