ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 343 ท่านอ๋องที่โง่เขลาที่สุด-3

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 343 ท่านอ๋องที่โง่เขลาที่สุด-3

พลังปราณทั้งหมดของเสี่ยวลี่รวมอยู่ในดาบนี้แล้ว

สองคนนี้ยังมีเวลามาเป่าเทียนดับได้อีก?

แต่ในชั่วขณะที่พวกเขาสองคนเป่าเทียนดับนี้เอง

แสงดาบสะเทือนโลกาของเสี่ยวลี่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับโคมไฟที่ดับนั้น

‘พรึ่บ…’

นอกจากแสงดาบดับสูญพร้อมเทียนในโคมไฟ

แม้แต่โคมไฟติดกระดาษขาวที่ถืออยู่ในมือทั้งสองก็ฉีกขาดเช่นกัน

“นี่นับเป็นสิ่งใด”

หนึ่งในสองคนเอียงศีรษะเอ่ยถามคนข้างกาย

“แสงไฟที่ใช้ในพิธีศพดับแล้ว โคมไฟพังแล้ว แสดงว่าคนผู้นี้ไม่ต้องการให้ส่องนำทาง”

อีกคนหนึ่งกล่าว

“ไม่ต้องการส่องนำทาง? ทำไมถึงไม่ต้องการ คนตายต้องไปท่าเรือนั่นกันหมดไม่ใช่หรือ”

คนที่ถามก่อนหน้านี้ถามต่อ

“หากเขาไม่อยากตาย เขาย่อมไม่อยากให้ใครส่องนำทางเขา เจ้าถือโคมไฟขาวแกว่งอยู่หน้าคนไม่อยากตาย ย่อมรู้สึกอัปมงคลอย่างเลี่ยงไม่ได้”

อีกคนหนึ่งกล่าว

“ถ้าเป็นเจ้าจะรู้สึกอัปมงคลหรือไม่”

คนนั้นเอ่ยถามต่อ

“สิ่งที่พวกเราทำก็เป็นเรื่องอัปมงคลที่สุดอยู่แล้ว…การถือโคมไฟแค่ทำเพื่อสะสมบุญกุศลเล็กน้อย ขอโชคนิดหน่อย อย่างน้อยข้าคงไม่มากพิธีปานนี้”

อีกคนหนึ่งกล่าว

เสี่ยวลี่เห็นสองคนร้องรับกัน เหมือนมองเขาเป็นสิ่งไร้ตัวตน

ชั่วขณะหนึ่ง ในใจกลับโมโหกว่าเดิม

แต่ก็ยังระมัดระวังขึ้นอีกหมื่นส่วน

เขาคิดว่าแม้ไม่เคยพบหน้าและไม่เคยได้ยินเรื่องสองคนนี้

แต่กลับเป็นศัตรูแข็งแกร่งที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน!

ลมพัดขึ้นอีกครั้ง

ท่าร่างมากมายเมื่อครู่ทำให้จอนผมสองฝั่งของเสี่ยวลี่หลุดยุ่งเล็กน้อย

ยามนี้ปกคลุมดวงตาเพราะถูกลมพัด

ทว่าไม่อาจบดบังแสงดาบที่เผยในดวงตาเขาได้

เสี่ยวลี่ค้อมหลังเล็กน้อย

เขาเตรียมออกดาบอีกครั้ง

เขาทัดเส้นผมตรงหน้าไปหลังหู

“ร่างกายเนื้อหนังและเส้นผมรับมาจากบิดามารดา ไม่อาจปล่อยให้ยุ่งเหยิง”

ทั้งสองกล่าวพร้อมเพรียงกัน

ยอมรับการกระทำนี้ของเสี่ยวลี่ไม่น้อย

“และศพที่สมบูรณ์ ตอนเกิดใหม่อีกครั้งก็จะครบสามสิบสอง”

คนหนึ่งกล่าวต่อ

“ถ้าไม่สมบูรณ์ล่ะ”

อีกคนหนึ่งเอ่ยถาม

“หูเสียหาย ชาติหน้ามีโอกาสเป็นคนหูหนวก ใบหน้าเสียหาย ชาติหน้าอาจเป็นกระลายพร้อย”

คนหนึ่งกล่าว

“ดังนั้นถ้ามือเท้าเสียหายก็อาจเป็นคนพิการหรือ”

อีกคนหนึ่งเอ่ยถาม

“ข้าไม่รู้ เพราะข้ายังไม่เคยตาย เรื่องเหล่านี้ล้วนฟังมา”

คนหนึ่งกล่าวตอบ

เสี่ยวลี่เห็นอีกฝ่ายคุยเล่นสุขใจสบายอารมณ์

แม้ในใจแค้นเคืองอย่างยิ่ง

แต่ก็คิดว่าเป็นโอกาสดีให้เขาทำลายศัตรู

ตอนผู้ฝึกยุทธ์พูดคุยต้องเคลื่อนพลังปราณทั้งกายได้ยากแน่นอน

ขอแค่พวกเขาคุยเล่นเช่นนี้ต่อไป

ตนต้องสบจังหวะออกดาบอันดีเยี่ยมเป็นแน่

ถึงตอนนั้น นอกจากจะทำให้พวกเขาเป็นคนพิการในชาติหน้า ยังทำให้เขาสองคนกลายเป็นคนหูหนวกและหน้าลายพร้อยอีกด้วย

อย่างน้อยในใจเสี่ยวลี่ก็คิดเช่นนี้

เห็นได้ว่าจิตใจเขาค่อนข้างคับแคบอย่างแท้จริง…

แม้สองฝ่ายเป็นศัตรูกันแล้ว

แต่ก็ไม่ควรสาปแช่งด้วยความโกรธเคืองเช่นนี้

ต่อให้อีกฝ่ายกล่าวคำพูดนี้ออกมาก่อน

แต่สองคนนั้นแค่คุยเรื่อยเปื่อยตามการกระทำที่เสี่ยวลี่เอาผมทัดหลังหูไม่กี่ประโยคเท่านั้น

ไม่ได้มีเจตนาพุ่งเป้า

คนที่ไม่เคารพคู่ต่อสู้ของตนก็จะไม่ได้รับความเคารพจากคู่ต่อสู้เช่นกัน

แม้บางคนฝีมือไม่ทัดเทียม

เกียรติเช่นนี้ตนไม่ได้ให้เอง แต่คู่ต่อสู้เป็นคนมอบ

คนที่ให้เกียรติคู่ต่อสู้ได้ ตนก็ต้องเป็นคนมีเกียรติเช่นกัน

ไม่มีทางกระทำเรื่องผิดศีลธรรมแน่นอน

ในยามนี้เอง เสี่ยวลี่เห็นคนถือโคมไฟทางซ้ายเพิ่งอ้าปาก

คล้ายจะพูดอีก

ตอนคนคนหนึ่งกำลังจะพูดแต่ยังไม่เอ่ยคำเป็นจังหวะอันดีที่เสี่ยวลี่รอคอย!

เขาบิดเอี้ยวร่างกายด้วยท่วงท่าประหลาดยิ่ง

ราวกับนอนหันหลังให้ทั้งสองกระนั้น

เพียงแต่เท้าข้างหนึ่งยันอยู่ด้านหลังเพื่อประคองร่าง

ศีรษะเงยไปด้านหลัง

ตอนนี้เสี่ยวลี่เห็นทั้งสองกลับหัวกลับหาง

ปลายเท้าอีกข้างแตะพื้นเล็กน้อย

ร่างทั้งร่างก็พุ่งออกไปเช่นนี้

สองมือจับดาบ

ฟันแนวตั้งจากล่างขึ้นบน

พริบตาที่ออกดาบ

เขาเหมือนเห็นภาพสองคนนี้ถูกปราณดาบของตนฟันหัวขาดจากกรามล่างจนล้มจมกองเลือด

เพียงแต่ดาบของเขาเพิ่งฟันถึงครึ่งหนึ่งก็เข้าไปไม่ได้อีก

ชั่วขณะที่แกว่งดาบหาใช่ช่วงเวลาที่พลังปราณและกำลังของเขาแข็งแกร่งที่สุด

แต่ความรู้สึกพ่ายแพ้ทั้งที่ยังไม่ถึงขั้นสุดยอดนี้เลวร้ายอย่างยิ่ง…

โดยเฉพาะอีกฝ่ายยังออกมือแค่คนเดียว

สิ่งที่ออกมาหาใช่มีดในมือ

แต่เป็นแท่งไม้ที่ใช้ถือโคมไฟนั้น

แท่งไม้อันหนึ่งป้องกันดาบของเสี่ยวลี่ไว้

นี่เป็นระดับขั้นใดถึงทำเช่นนี้ได้

แต่ตอนนี้เสี่ยวลี่ไม่มีเวลามารำพัน

เพราะเขาเห็นปลายมีดด้านล่างของอีกคนหนึ่งแล้ว

การเห็นปลายมีดด้านล่างของอีกฝ่ายในท่วงท่าเช่นนี้มีเหตุผลเดียว

นั่นก็คืออีกฝ่ายชูมีดขึ้น

เสี่ยวลี่คิดดึงดาบเปลี่ยนกระบวน

แต่ไม่ว่าเขาเคลื่อนพลังปราณอย่างไร ดาบเล่มนี้ก็ไม่ขยับเลยสักนิด

เหมือนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับแท่งไม้นั้น

ด้วยความร้อนใจ

เขาได้แต่บิดหมุนร่างกายอีกครั้ง

ทิ้งดาบถอยหลัง

‘แกร๊ง!’

ดาบของเสี่ยวลี่ตกอยู่บนพื้น

แต่ร่างของเขากลับถอยถึงตำแหน่งก่อนออกดาบแล้ว

บนหน้าผากผุดเหงื่อเย็นเม็ดละเอียดชั้นหนึ่ง

เขายังไม่เคยเจอชั่วเวลาที่น่าพรั่นพรึงเช่นนี้มาก่อน

ดาบไม่อยู่ในมือแล้ว

เพียงแต่กระบี่อ่อนเล่มนี้ไม่ได้ชักออกมาหลายปีแล้ว

ต้องมีทางหนีทีไล่

ทำการใดล้วนเป็นเช่นนี้

เสี่ยวลี่ย่อมเข้าใจหลักการนี้เหมือนกัน

มือซ้ายเขาจับอยู่ตรงเอว

เตรียมชักกระบี่อ่อนเล่มนี้ออกมา

ใช้ดาบมือขวา ใช้กระบี่มือซ้าย

แค่นี้ก็เรียกได้ว่าเสี่ยวลี่ยอดเยี่ยมทั้งกระบี่และดาบแล้ว

แต่กระบี่อ่อนตรงเอวคือที่พึ่งสุดท้ายของเขา

ไม่ถึงตอนเข้าตาจนเขาจะไม่ใช้มันเด็ดขาด

หากเริ่มด้วยการถือไว้ในมืออย่างโจ่งแจ้งเป็นใครก็ต้องเตรียมป้องกัน

จุดประสงค์ของการมีกระบี่อ่อนเล่มนี้ก็เพื่อให้อีกฝ่ายคาดไม่ถึง!

เดิมกระบี่อ่อนเล่มนี้พันรอบเอวเขาได้โดยยังมีพื้นที่เหลือ

แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว…

อยู่วังอ๋องมาหลายปีทำให้เขาอวบขึ้นไม่น้อย

เนื้อส่วนเกินตรงเอวก็เพิ่มขึ้นหลายชั้น

แม้ยังไม่เรียกว่าอ้วน

แต่รูปร่างดูห่างไกลจากความเพรียวบางดั่งเหล็กเช่นเมื่อก่อน

อีกฝ่ายมองดาบที่ตกบนพื้น

ใช้แท่งไม้เขี่ยคืนให้เสี่ยวลี่

“ฆ่าคนที่ไม่ยินยอมพร้อมใจคนหนึ่งก็เป็นอัปมงคลเช่นกัน ข้ากลัวเจ้าเป็นผีไม่ไปเกิดแล้วเกาะติดข้า”

คนคืนดาบกล่าว

“เป็นผู้ฝึกยุทธ์ด้วยกันทั้งนั้น ทำไมเจ้าสองคนงมงายเช่นนี้”

เสี่ยวลี่ไม่ได้เก็บดาบ

เพราะเขารู้สึกการกระทำนี้ขายหน้าเกินไป

เขาวางศักดิ์ศรีไม่ลง

ดูท่าเมื่อครู่ยังไม่น่าตื่นกลัวมากพอ…

หากชีวิตคนคนหนึ่งแขวนอยู่บนเส้นด้ายจริง ไหนเลยยังจะสนใจศักดิ์ศรี

ตายดีไม่สู้อยู่คับใจ

เทียบกับชีวิต นั่นเป็นสิ่งที่ไร้ค่าที่สุดอย่างแท้จริง

“ชู่ว…ไม่ใช่งมงาย ต้องรู้ว่าเหนือหัวสามฉื่อมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์! นี่คือความเคารพ!”

อีกฝ่ายลดเสียงกล่าวเชื่องช้า

บนหน้าเสี่ยวลี่ฉายแววดูแคลนเล็กน้อย

ไม่รู้คนสองคนที่พะวักหน้าพะวงหลัง กระทั่งฆ่าคนยังไม่กล้าลงมือเช่นนี้ไปฝึกวิทยายุทธ์มาจากไหน

แต่ถึงเขาจะดูถูกสองคนนี้ ก็ยังคงไม่อาจมองข้ามขั้นฝึกยุทธ์ของทั้งสอง

เขาจึงไม่เอ่ยคำใด มือซ้ายยังคงจับตรงช่วงเอว

“เก็บดาบแล้วออกกระบี่ ดาบกระบี่อยู่ในมือ คนตายก็จะยินยอมพร้อมใจ!”

อีกฝ่ายกล่าวกะทันหัน

เสี่ยวลี่พลันตกใจ

เรื่องที่ตรงเอวเขามีกระบี่อ่อนเล่มหนึ่งไม่มีใครรู้นอกจากเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา

ถึงแต่ก่อนจะเคยออกมือหลายครั้ง

แต่ทุกคนที่เห็นเขาออกกระบี่อ่อนก็ไม่รู้ว่าตายไปนานเท่าไรแล้ว

สองคนนี้รู้ได้อย่างไร

ความสงสัยนี้ทำให้เสี่ยวลี่หันมามองเกี้ยวข้างหลังตามสัญชาตญาณ…

………………………

เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายังคงนั่งอยู่ในเกี้ยว

แต่กายเขากลับเอนไปด้านหลังเล็กน้อย

ต่อให้เป็นคนธรรมดา ดื่มชาเสร็จล้วนต้องผ่อนคลายกระปรี้กระเปร่าถึงจะถูก

แต่เขางีบหลับ

เหมือนเรื่องราวนอกเกี้ยวไม่เกี่ยวกับเขา

ไม่มีกระทั่งความสนใจอยากดูเรื่องสนุก

เขามองใบชาในจอก

กำลังคิดว่าต้องชงอีกจอกหรือไม่

ปกติดื่มชาต้องดื่มตอนชงครั้งที่สอง

เพราะน้ำชาที่ชงครั้งที่สองรสชาติตรงที่สุด สีสว่างที่สุด

เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาย่อมเข้าใจหลักการนี้

แต่คิดไปคิดมาเขาก็ล้มเลิก

เพราะตอนนี้น้ำในกาโลหะผสมทองแดงสองชั้นของเขามีความร้อนแค่หกเจ็ดส่วนแล้ว

ชงชารสดีไม่ได้

วิถีแห่งชา น้ำเป็นอันดับหนึ่งโดยแท้จริง

นอกจากแหล่งน้ำต้องดี อุณหภูมิยิ่งต้องเหมาะสม

ก็เหมือนน้ำละลายจากหิมะเป็นตัวเลือกแรกสำหรับการหมักสุรา

และตัวเลือกแรกของการชงชาก็คือน้ำแร่จากภูเขา

แม้น้ำแร่บนภูเขาเย็นเฉียบ ถึงขั้นหวานเลิศรสไม่สู้น้ำบ่อบางแห่ง

แต่อย่างไรน้ำบ่อก็เป็นน้ำนิ่ง

ไม่กระเพื่อมเลยทั้งปี

ใบชาเป็นชาที่มีชีวิต

ต่อให้ตากแห้งบดละเอียดก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่พวกมันเคยเติบโตอย่างต่อเนื่องได้

ชาใหม่ต้องต้มด้วยน้ำไหล น้ำไหลต้องต้มด้วยไฟลุกไหม้

แต่ในเกี้ยวจะก่อไฟอย่างไร

แม้เกี้ยวของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาใหญ่มากพอ แต่ก็เป็นพื้นที่ปิด

เพียงก่อไฟก็มีควันอย่างเลี่ยงไม่ได้

ไม่ต้องรอคนเลวฆ่าตายก็ถูกไฟต้มชารมควันตาย

ค่อนข้างได้ไม่คุ้มเสียไปหน่อย…

จากการที่เขาไม่ชอบเดินก็ดูออกได้ว่าเขาเป็นคนรักชีวิตอย่างยิ่งคนหนึ่ง

เพราะตอนเดินถ้าไม่อยู่หน้าคนก็อยู่หลังคน

ไม่ปลอดภัยทั้งสิ้น

ขี่ม้าก็เหมือนกัน

มีเพียงตอนนั่งในเกี้ยวให้คนยกเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถึงจะรู้สึกสงบใจเล็กน้อย

แต่เมื่อก่อนเขาไม่ได้เป็นคนพะว้าพะวัง โลเลไม่เด็ดขาดเช่นนี้

เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็เคยเป็นคนเสเพลเหมือนกัน

และสิ่งที่คนเสเพลขาดไม่ได้ที่สุดหาใช่กระบี่ดาบกับยุทธภพ

แต่เป็นสุราดีกับหญิงงาม

หญิงงามอาจเดินหอนางโลมมาทดแทนได้เป็นครั้งคราว

แต่สุราดีต้องตั้งใจหาถึงจะพบ

บางครั้งสุราที่ซ่อนอยู่ตามแผงลอยเล็กๆ ในซอยคับแคบที่เถ้าแก่หมักเองอาจจะรสชาติดีกว่าสุรามีชื่อเลื่องลืออยู่ข้างนอกเหล่านั้น

แต่ทำไมตอนนี้ซ่างกวนซวี่เหยาถึงเริ่มดื่มชา

เพราะเขารู้สึกว่าตราบใดที่ทำอะไรต่อเนื่องก็ล้วนเหนื่อยล้าทั้งสิ้น

ดื่มสุรามาสิบปี ดื่มชาย่อมต้องดื่มถึงสิบปีเช่นกัน

ก็เหมือนกับเป็นคนเสเพลมากพอแล้วจึงคว้าเอาตำแหน่งท่านอ๋องมาครองสักหน่อย

เมื่อเป็นท่านอ๋องพอแล้ว ต่อให้เขาไปเป็นคนเสเพลอีกครั้งก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

เหมือนที่เขาพูดกับเสี่ยวลี่ข้างบ่อห่านป่าสีชาด

เสียเมืองอ๋องไปก็แค่ตีกลับมา

หากตีกลับมาไม่ได้ อย่างมากก็เลิกเป็นท่านอ๋องแล้วควบม้าถือกระบี่เที่ยวเตร่อยู่ในยุทธภพอีกครั้ง

อย่างไรสิ่งที่ควรมาก็ต้องมา

แต่ตอนที่ยังไม่มา เขาก็จะไม่คิดมากเด็ดขาด

………………………

ตอนเขาคารวะอาจารย์เล่าเรียนก็เป็นเช่นนี้

อาจารย์เขาหยิบดาบเล่มหนึ่งกับกระบี่เล่มหนึ่งวางไว้ตรงหน้าเขา ถามเขาว่าอยากเรียนอะไร

แต่ซ่างกวนซวี่เหยากลับเหม่อมองต้นหยางขนาดใหญ่ในลานบ้านของอาจารย์

มองไปสักพักก็ปีนถึงยอดบนสุดของต้นหยางเหมือนลิง

ตอนลงมายังหักกิ่งไม้ที่อ่อนที่สุดมาถือเล่นในมือ

คนโบราณหักหลิวเป็นส่วนมาก

แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีคนหักหยาง

หักหลิวสื่อถึงการจากลา

เจอหน้าสหายที่ไม่รู้จะได้พบกันอีกที่ไหนเมื่อไรมักต้องหักหลิวส่งกันและกัน

สื่อว่าตนอาวรณ์คิดถึงคนไกล

แต่ซ่างกวนซวี่เหยาเพิ่งคารวะอาจารย์…

หนำซ้ำที่อาจารย์ถามคือเขาเรียนดาบหรือเรียนกระบี่

เขาก็ถือกิ่งต้นหยางอันหนึ่งไว้อย่างไม่ใส่ใจ ยืนเหม่อมองอยู่ตรงหน้าอาจารย์

เหมือนดาบกระบี่บนพื้นไม่เกี่ยวกับเขา

“เจ้าอยากเรียนวิชากระบองงั้นหรือ”

อาจารย์เขาเอ่ยถาม

เขาไม่รู้ว่าสิ่งใดคือวิชากระบอง เพียงยกกิ่งไม้ในมือเล่นและพยักหน้า

จากนั้นอาจารย์เขาหยิบสมุดเล่มเล็กออกมาอีกสองสามเล่ม

สมุดทุกเล่มล้วนเป็นวิทยายุทธ์เลื่องชื่อและนิยมในเมืองที่สุด

จำต้องบอกว่าซ่างกวนซวี่เหยาเจออาจารย์ดีอย่างแท้จริง

ทว่าเขาไม่มองสมุดสี่เล่มนี้เลยสักนิด

แต่หันกายกลับไปมองต้นหยางขนาดใหญ่นั้น

“หรือว่าเจ้าอยากเรียนปีนต้นไม้”

อาจารย์เขาเอ่ยถาม

“ขอรับ!”

ซ่างกวนซวี่เหยาตอบอย่างดีใจ

นี่กลับทำให้อาจารย์เขานิ่งเงียบ…

เดิมปีนต้นไม้เป็นการละเล่นของเด็ก

จะนับเป็นวิทยายุทธ์ที่แท้จริงได้อย่างไร

แต่อาจารย์ผู้นี้ก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่

เขากลับคิดว่าปีนถึงยอดต้นไม้ก็ยืนได้สูงมองได้ไกล

หรือว่าเด็กนี่อยากเรียนท่าร่าง

แล้วก็คิดอีกว่าการปีนต้นไม้เป็นงานที่ต้องใช้กำลังช่วงเอวกับสองขา

หรือเขาอยากเรียนวิชาขาด้วย

ก็เป็นเช่นนี้

สิบสองปีเต็ม

ซ่างกวนซวี่เหยาถึงค่อยๆ สำเร็จวิชา

ในนั้นเรียนวิชากระบองแค่หนึ่งปี

เพราะผ่านไปหนึ่งปีเขาก็ไม่ชอบแล้ว…

แต่จริงๆ ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเรียนดาบกระบี่

เพราะเขาไม่ชอบดาบกระบี่ยิ่งกว่า

ในสิบเอ็ดปีที่เหลือ

เรียนท่าร่างห้าปี เรียนวิชาขาหกปี

อาจารย์พูดประโยคหนึ่งกับเขาว่า ‘ไสหัวไป’

เขาก็เลยจากมา

ตอนออกมาเขามองต้นหยางขนาดใหญ่ในลานบ้านของอาจารย์

มันเริ่มแห้งเหลืองแล้ว

เพราะเขาใช้สบู่ซักเสื้อผ้าใต้ต้นหยางต้นนั้นทุกวัน

กระทั่งปลดหนักเบาก็ไม่ไปห้องน้ำ ล้วนปลดอยู่ใต้ต้นหยางนี้

พริบตาเดียวผ่านไปสิบสองปี

ต้นหยางที่เคยใหญ่และแข็งแรงถูกเขาทรมานจนทนไม่ไหว…ใกล้สิ้นลมหายใจเต็มที

ดีที่ยังไม่ตาย

สำหรับต้นไม้ ตราบใดที่ยังไม่ตายก็มีความหวังเสมอ

คนก็เช่นเดียวกัน

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท