บทที่ 1199 ตอนพิเศษ (75.2)
ชูอีลูบคลำแขนของลู่จืออวิ๋น จากนั้นก็ไล้จากแขนลงไปข้างล่างจนถึงต้นขา
ลู่จืออวิ๋นมองเขาอย่างสงบ
ชูอีรู้สึกตัวว่าการกระทำของตนมีบางอย่างไม่เหมาะสม สีหน้าพลันแข็งทื่อขึ้นมา
“ข้าไม่ได้คิดจะล่วงเกิน ข้าไม่ได้จงใจ…”
ลู่จื่ออวิ๋นเดินเข้าไปในห้องฝั่งตรงข้าม
นางเคยมาบ้านป้าหลินจึงรู้ว่าหญิงชราอาศัยอยู่ห้องใด
ชูอีเห็นนางเป็นเช่นนั้นจึงรีบตามไป
เขาจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของนางอย่างระมัดระวัง คิดจะดูว่านางโกรธเขาแล้วหรือไม่
คราใดที่นางแสดงสีหน้าไม่มีความสุข หัวใจของเขาจะเต้นรัวราวกลับตีกลอง เขามักจะรู้สึกว่าไม่ควรทำให้นางโกรธ แม้ว่านางจะต้องการดวงดาวบนท้องฟ้า เขาก็ต้องหาทางสอยมันลงมาให้นางให้ได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากทั้งสอง ‘รู้จักกัน’ เขาก็มักจะทำให้นางโกรธอยู่เนือง ๆ
นางมักจะเป็นฝ่ายแสดงน้ำใจ แต่เขากลับวิ่งหนีครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างไรนางก็ดีถึงเพียงนั้น แต่ที่มาของเขาไม่แน่ชัด ไม่ต้องกล่าวถึงใบหน้าอัปลักษณ์นี้เลย เขาที่เป็นเช่นนี้จะคู่ควรกับคนที่สมบูรณ์เพียบพร้อมอย่างนางได้อย่างไร?
“ท่านป้า ข้าช่วยท่าน”
“ฮูหยินลู่ ขอบคุณแล้ว” ป้าหลินแตะแขนของลู่จื่ออวิ๋น ดวงตาคู่นั้นมองไปข้างหน้า ไม่ได้จดจ่อที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง “มือของท่านอ่อนนุ่มจริง ๆ แม้ข้าจะมองไม่เห็นก็รู้สึกได้ว่าท่านจักต้องเป็นลูกสาวสกุลผู้สูงศักดิ์เป็นแน่ คนที่มีฐานะอย่างท่าน เหตุใดจึงมาอาศัยอยู่ในที่เล็ก ๆ นี้ของเราเล่า?”
“เดิมทีข้าอาศัยอยู่ในเมืองหลวง” ลู่จื่ออวิ๋นพยุงป้าหลินไปทางห้องสุขา
ห้องสุขานั้นถูกปรับปรุงใหม่ให้เหมาะสมกับการใช้งานของหญิงชราตาบอดยิ่งกว่าเดิม นางเพียงแค่รับผิดชอบพาหญิงชราไปถึงที่นั่น เมื่อป้าหลินนั่งลงก็สามารถปล่อยได้แล้ว
หญิงชราไม่ได้ขอให้นางรออยู่ข้างใน หากแต่ขอให้นางรออยู่ข้างนอก ไม่ว่าห้องสุขาจะสะอาดเพียงใดก็ยังมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ แล้วจะให้ฮูหยินที่บอบบางเช่นนี้ทนรับความไม่เป็นธรรมได้อย่างไร
เมื่อหญิงชราออกมาจากห้องน้ำ
ลู่จื่ออวิ๋นถึงได้เข้าไปช่วยพยุงอีกครั้ง
ยามนี้เอง ชูอีก็เข้ามาหาแล้วเช่นกัน
คนหนึ่งจับมือซ้าย อีกคนจับมือขวา ผู้ใดไม่รู้ยังจะคิดว่าลูกสะใภ้กับลูกชายบ้านใดกำลังดูแลแม่เฒ่า
“ข้าอายุมากแล้ว อยู่บ้านทั้งวันไม่ออกไปข้างนอก ไม่ได้คุยกับผู้ใดมานาน หากท่านมีเวลาก็พูดคุยกับข้าสักสองสามประโยคเถิด?” ป้าหลินนั่งลงโดยมีชูอีคอยช่วยพยุง
นางดึงลู่จื่ออวิ๋นไว้ไม่ปล่อย ชวนนางให้นั่งลงตาม
ลู่จื่ออวิ๋นเหลือบมองชูอีแวบหนึ่ง
ชูอีกล่าว “ข้าจะไปผ่าฟืน”
เขาเดินถือขวานไปที่มุมหนึ่งของลานบ้าน
ฟืนกองพะเนินอยู่ตรงนั้น ข้างบนมีเพิงสร้างเอาไว้ เช่นนี้ยามฝนตกฟืนจะได้ไม่เปียก
“ข้ามีสามีหนึ่งคนและยังมีลูกอีกสองคน” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวเช่นนี้ออกมา แล้วก็มองไปทางชูอี
ความเคลื่อนไหวในการผ่าฟืนของฝ่ายหลังเชื่องช้าเป็นอย่างมาก ไม่มีเสียงฟืนถูกผ่าโพล๊ะ ๆ อย่างปกติ
“คนผู้นั้นเล่า?”
“เขาไม่ต้องการพวกเราสามแม่ลูกแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นเม้มริมฝีปาก “อาจเป็นเพราะชีวิตข้างนอกดีเกินไป เขาจึงไม่อยากกลับบ้าน”
“โถ่เอ๊ย บุรุษผู้นี้ก็ไม่ได้ดีถึงเพียงนั้น” ป้าหลินกล่าว “ถึงแม้ข้าจะมองไม่เห็น แต่ข้าได้ยินคนในหมู่บ้านบอกว่าท่านหน้าตาราวกับนางฟ้านางสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น ภรรยาที่สวยเพียงนี้ เขายังไม่ต้องการ บุรุษเช่นนี้ไม่ต้องเอาแล้ว เขาคงไม่ได้ตายแล้วกระมัง?”
“ไม่ตาย เพียงแต่ไม่ต้องการข้าแล้ว” ขณะที่ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวคำนี้ ดวงตานางพลันแดงก่ำ
น้ำเสียงของนางก็ผิดแปลกออกไปเล็กน้อยเช่นกัน
ฟังจากน้ำเสียงนั้น ภายในคำตำหนิกลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้าราวกับว่าน้อยอกน้อยใจเป็นอย่างมาก
ชูอีหยุดมือ หันไปมองทางลู่จืออวิ๋น
ชั่วขณะนี้ เขากำขวานในมือแน่น
การร้องไห้ของสตรีตัวน้อยผู้นั้นทำให้เขารู้สึกราวกับว่าคนบนโลกนี้ล้วนผิดต่อนาง
หากชายผู้นั้นปรากฏตัวต่อหน้าเขา เกรงว่าเขาจะควบคุมขวานในมือไม่ได้และสับชายผู้ไม่รู้จักถนอมวาสนานี้เป็นชิ้น ๆ
“เขาไม่ต้องการท่านแล้ว ท่านก็อย่าได้ต้องการเขาเลย” ป้าหลินกล่าวด้วยท่าทีโมโห “ในโลกนี้มีบุรุษมากมาย ท่านหาคนที่ดีกว่านี้ได้ ทำให้เขาโมโหตายไปเลย จริงสิ ลูก ๆ เล่า? ได้ยินว่าบ้านพวกท่านไม่มีเด็ก ๆ นี่”
“เด็ก ๆ อยู่ที่บ้านเก่า คนที่บ้านพาไปแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ข้าออกมาครั้งนี้ หลัก ๆ เพื่อผ่อนคลายจิตใจ เด็ก ๆ ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นสุขสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขา ท่านป้า ยังเป็นท่านที่โชคดี ลูกชายท่านกตัญญูต่อท่านยิ่งนัก”
“ใช่แล้ว ข้าสวดมนต์กินเจมาหลายปี ในที่สุดสวรรค์ก็ได้ยินเสียงของข้า ส่งลูกชายที่ดีทั้งยังกตัญญูผู้หนึ่งมาให้” ป้าหลินกล่าว “ลูกชายข้าอายุไม่น้อยแล้ว ยังไม่มีภรรยา ท่านว่าเขาเป็นอย่างไร?”
“ท่านแม่” ชูอีขมวดคิ้ว “ท่านอย่าได้พูดจาเหลวไหล”
ป้าหลินไม่สบอารมณ์ “พูดจาเหลวไหลอะไร? เจ้าไม่มีภรรยาไม่ใช่หรือ? ข้ากับฮูหยินลู่เพียงแค่พูดคุยกันเท่านั้น ทุกคนล้วนเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน พูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปไม่ได้จริงจังอะไร เจ้าจะตื่นตกใจเพียงนี้ไปทำไม?”
“ท่านป้าพูดถูก” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ข้าไม่ได้เห็นเป็นจริงจังอะไร เพียงแต่ลูกชายท่านจริงจังเกินไปแล้ว ถึงได้ตื่นตกใจเพียงนี้ ยามนี้ก็ใกล้มืดเต็มที ข้ากลับก่อนละ”
“ชูอี เจ้าไปส่งฮูหยินลู่เถอะ!” ป้าหลินกล่าว
ลู่จืออวิ๋น “…”
นางอยู่บ้านข้าง ๆ ทางใกล้เพียงนี้ยังต้องไปส่งด้วยหรือ? หญิงชราผู้นี้แสดงท่าทีชัดเจนเกินไปแล้ว เหลือเพียงสลักคำว่า ‘จับคู่’ สองพยางค์นี้ไว้บนใบหน้าเท่านั้น
หลังจากออกมาจากบ้าน ชูอีก็เอ่ยขึ้น “ท่านแม่ข้าเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น”
“ข้ารู้” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ข้าไม่ได้ถือสาอะไร ท่านกังวลใจถึงเพียงนี้ เพราะข้าน่ารำคาญถึงขั้นที่ท่านไม่อยากเกี่ยวข้องด้วยหรือ?”
“ไม่ใช่” ชูอีเห็นสาวใช้ทั้งสองกลับมาแล้วจึงไม่กล่าวอะไรมากความอีก
“คุณหนู ท่านเขยมาได้อย่างไรเจ้าคะ?” ติงเซียงเอ่ยถาม
“เขา… ซับซ้อนยิ่งนัก” ลู่จื่ออวิ๋นส่ายหัว
นางเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็หันกลับไปถามติงเซียง “เจ้าว่าเขาจะจำไม่ได้ไปตลอดเลยหรือไม่?”
ติงเซียงกับไป๋จื่อมองหน้ากัน
ไป๋จื่อกล่าว “มีความเป็นไปได้เจ้าค่ะ”
ติงเซียงคล้อยตาม “บ่าวเคยได้ยินตัวอย่างเช่นนี้มาบ้าง มีคนผู้หนึ่งสูญเสียความทรงจำ ภายหลังจึงแต่งภรรยาผู้หนึ่ง หลังจากภรรยาคลอดลูกชายตัวอ้วนใหญ่ได้เพียงสองเดือนก็มีคนผู้หนึ่งโผล่มาอ้างว่าเป็นภรรยาเขา ยืนกรานว่าภรรยาที่คลอดลูกชายให้เขาเป็นอนุ นางต่างหากจึงจะเป็นภรรยาเอก ทว่าคนผู้นั้นกลับจำไม่ได้แม้แต่น้อย ดังนั้นถึงแม้สิ่งที่ภรรยาเอกกล่าวจะเป็นความจริง เขาก็ไม่มีทางยอมรับจึงหย่ากับนางอย่างประนีประนอมแทนเจ้าค่ะ”
“ดังนั้น หากความทรงจำเขาไม่กลับมา พวกเราจะทำได้เพียงรอเขาอยู่ที่นี่หรือ? หากแปดสิบปีแล้วเขายังไม่ได้ความจำกลับคืนมาเล่า พวกเราต้องรออยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นลูบคางพลางครุ่นคิด “อย่างนี้ไม่ได้การ อย่างนี้ไม่ได้การแล้ว! ข้าอยู่เล่นกับเขาที่นี่ได้ แต่อาณาจักรเฟิ่งหลินทางนั้นยังต้องการเขากลับไปควบคุมสถานการณ์โดยรวมอยู่นะ!”
“คุณหนู ขออภัยที่บ่าวต้องกล่าวตามตรง หากต้องรอจนท่านเขยฟื้นความทรงจำ เกรงว่าอาณาจักรเฟิ่งหลินจะไม่ต้องการเขาอีก” ไป๋จื่อกล่าว “เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่คุณหนูกล่าวถูกต้อง รอเขาอยู่เช่นนี้ไปตลอดไม่ใช่หนทางที่ดีนะเจ้าคะ”
“หากยามนี้ท่านเขยไปชอบพอผู้อื่นเข้า เช่นนั้นคุณหนู ท่าน…” ติงเซียงส่ายหัว สีหน้าไม่น่าดู “หน้าตาท่านเขยตอนนี้อัปลักษณ์อยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อคนที่พึงใจเขา”