บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1408 วางแผนกลับ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1408 วางแผนกลับ

สุดท้ายเฉินซีก็รู้ดีว่า แม้ความเกลียดชังที่มีจะทำให้จั่วชิวไท่อู่รู้สึกเวทนาได้ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนความคิดจั่วชิวไท่อู่เรื่องผลประโยชน์ของตระกูลจั่วชิวได้

ซึ่งเห็นได้ชัดจากการโจมตีอย่างไร้ความลังเลเมื่อครู่

แต่เหตุผลที่สุดท้ายแล้วจั่วชิวไท่อู่เปลี่ยนใจก็เป็นเพราะผลประโยชน์ของตระกูลจั่วชิวเช่นกัน

เพราะเฉินซีสามารถมอบผลวิญญาณเต๋าให้ตระกูลจั่วชิวได้ และยังรับประกันได้ว่าหลังจากกำจัดพวกของจั่วชิวเฟิงในตระกูลจั่วชิวไปได้แล้ว ตระกูลจั่วชิวก็จะไม่ล่มสลาย แต่กลับแข็งแกร่งขึ้นแทน!

เช่นนี้แล้ว ข้อตกลงระหว่างเฉินซีกับจั่วชิวไท่อู่นั้น สุดท้ายก็เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน!

การแลกเปลี่ยนที่ไม่สนถูกผิด ไม่สนความแค้นใด!

ดังนั้นเฉินซีจึงไม่คิดมองจั่วชิวไท่อู่ในแง่ดี

ถึงจะชื่นชมนิสัยจั่วชิวไท่อู่ แต่หากวันหนึ่งในอนาคตต้องเป็นศัตรูกับจั่วชิวไท่อู่เข้า เขาคงถูกสังหารอย่างไม่ลังเลแน่!

ไม่ได้หรอก!

เฉินซีสูญเสียเรื่องนี้ไปเยอะแล้ว แต่ก่อนเขามองว่า หากสามารถกำจัดตระกูลจั่วชิวให้สิ้นได้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิตไปสักคน

ตอนนี้เพื่อมารดา จั่วชิวเสวี่ย เขาจะยอมประนีประนอมมากเกินพอแล้ว!

“เฉินซี” หลังเฉินซีออกจากห้องโถงและคิดอะไรเรื่อยเปื่อยระหว่างทางกลับเคหา ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

เจ้าของเสียงคือหัวเจี้ยนคงในชุดเทาและผมสีขาว

“ผู้อาวุโส” เฉินซีชะงักไปแล้วรีบคำนับให้

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก ข้าเห็นทุกอย่างก่อนหน้านี้แล้ว” หัวเจี้ยนคงยังคงมีสีหน้าเย็นชาเหมือนเคย แต่พอได้เห็นหน้าเฉินซีก็คลายลง “เจ้าทำได้ดีมาก”

เฉินซีคิดในใจ ก็หมายความว่าตอนจั่วชิวไท่อู่พาข้าเข้าไป หัวเจี้ยนคงก็รู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว?

หรือหากจั่วชิวไท่อู่ลงมือ และไม่มอบผลวิญญาณเต๋าให้ หัวเจี้ยนคงก็จะยังช่วยเหลือเขาหรือ?

คิดถึงตรงนี้ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกก็เอ่อล้นขึ้นมาจากภายในใจเฉินซี เขาป้องมือเอ่ยขอบคุณเสียงขรึม “ขอบคุณผู้อาวุโสที่คอยดูแลข้า”

หัวเจี้ยนคงเอ่ย “ตอนนี้เจ้าได้มรดกจักรพรรดิเต๋ามาแล้ว เรื่องในสำนักศึกษา ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาเจ้าสำนักไปได้หรอก จะไม่มีใครสามารถสังหารเจ้าที่นี่ได้แน่ ครั้งนี้เป็นเจ้าที่ช่วยชีวิตจั่วชิวไท่อู่ไว้ต่างหาก”

เฉินซีอึ้งไป “สรุปแล้วท่านเจ้าสำนักรู้เรื่องทั้งหมดเลยหรือ?”

หัวเจี้ยนคงพยักหน้า “ไม่เพียงเท่านั้น จ้าวไท่ฉือกับอ๋าวจิ่วหุยก็อยู่นอกห้องโถงมาตั้งแต่แรก หากจั่วชิวไท่อู่ไม่ยอมหยุดมือในจังหวะสุดท้ายนั่น…”

ถึงจะพูดไม่จบ แต่ก็สื่อความหมายที่ต้องการออกมาได้แล้ว

หรือก็คือ เจ้าสำนักสังเกตเห็นการกระทำลับ ๆ ล่อ ๆ ของจั่วชิวไท่อู่มาตั้งแต่ต้น และระหว่างนี้ บรรพบุรุษเผ่าวิหคอมตะจ้าวไท่ฉือ บรรพบุรุษภพมังกรอ๋าวจิ่วหุย และหัวเจี้ยนคงก็เตรียมพร้อมช่วยเหลือเฉินซีและลงมือกำจัดจั่วชิวไท่อู่!

ดังนั้นหัวเจี้ยนคงจึงบอกว่าครั้งนี้เฉินซีเป็นคนช่วยชีวิตจั่วชิวไท่อู่ไว้

เมื่อเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว เฉินซีจึงรู้สึกซาบซึ้งมาก ข้าโชคดีเพียงใดถึงได้รับการปฏิบัติเช่นนี้?

แต่เขาก็ไม่เสียใจในข้อตกลงที่ทำไว้กับจั่วชิวไท่อู่ หรือเสียดายผลวิญญาณเต๋าที่ยอมแลกไปเลย เพราะบางอย่างจะมีค่าขึ้นก็ต่อเมื่อได้ลองสัมผัสมัน

ไม่แน่ว่าการที่คนอื่นคอยเป็นหูเป็นตาให้เช่นนี้อาจจะช่วยเขาได้ในตอนนี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะช่วยได้ตลอด

“นี่คือผลวิญญาณเต๋าสามผล ท่านโปรดรับไว้ด้วย แล้วช่วยเอาที่เหลือมอบให้ผู้อาวุโสจ้าวไท่ฉือกับผู้อาวุโสอ๋าวจิ่วหุยด้วย” ทันใดนั้น เฉินซีก็หยิบกล่องหยกสามกล่องออกมา

จะให้หัวเจี้ยนคงและคนอื่น ๆ ช่วยเหลือเปล่า ๆ ได้อย่างไร ที่สำคัญคือ เขาหวังจะใช้โอกาสนี้ซื้อใจคน

หัวเจี้ยนคงเจอเช่นนี้ก็ชะงักไปเล็กน้อย เขาเงียบไปนานแล้วเอ่ยขึ้น “จริง ๆ แล้ว… เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรอก”

“นี่เป็นเพียงความปรารถนาดีของข้าเท่านั้น” เฉินส่งสายตาจริงจังให้

หัวเจี้ยนคงยกมุมปากขึ้นดูน่าประหลาด เขาจ้องเฉินซีอยู่นาน “เอาละ เช่นนั้นข้าจะส่งความปรารถนาดีของเจ้าไปให้ถึงมืออีกสองคนก็แล้วกัน”

“ขอบคุณผู้อาวุโส” เฉินซีเอ่ยยิ้ม ๆ เขาเป็นฝ่ายมอบของล้ำค่าให้แท้ ๆ แต่กลับยิ้มเหมือนซาบซึ้งในบุญคุณอีกฝ่ายยิ่ง ซึ่งใครได้เห็นก็คงไม่อาจเข้าใจได้

ภายในห้องโถงเดิมที่ว่างเปล่าและมีบรรยากาศเย็นเยียบ

จั่วชิวไท่อู่นั่งอยู่บนที่นั่งใจกลางห้องโถงอยู่เพียงลำพัง ใบหน้าแก่ชรามีอารมณ์เยาะเย้ยตนเองอยู่ “เช่นนี้แล้ว ก็เป็นเด็กนั่นที่ช่วยชีวิตข้าไว้อย่างนั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว” เบื้องหน้าเขาคือเงาร่างสูงส่งงดงามของคนผู้หนึ่ง นางมีผมสีขาวขดเป็นมวย หากแต่ใบหน้าใสกระจ่างราวกับหญิงสาวคนหนึ่ง ผิวของนางเนียนนุ่ม ดวงตาล้ำลึกดั่งหุบเหวมืดที่มีเปลวไฟสีทองลุกโชนอยู่

นางสวมชุดสีดำทองปักด้วยขอบสีดำ ในมือถือไม้เท้าวิหคเพลิงนภาสีทอง ทำให้ดูสูงส่งทรงอำนาจและดูน่าเกรงขามไม่ใช่น้อย

น่าตกตะลึงยิ่ง นางก็คือบรรพบุรุษเผ่าวิหคอมตะ จ้าวไท่ฉือ!

ด้านข้างนางคือชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าเคร่งขรึม สองมือไพล่หลัง คิ้วกว้าง ไหล่แกร่งดั่งขุนเขา ท่วงท่าทรงอำนาจคล้ายกับจะสามารถโอบล้อมทั้งจักรวาลไว้ได้ แม้จะแค่ยืนอยู่นิ่ง ๆ แต่ก็ปลดปล่อยความน่าเกรงขามออกมา ดั่งมังกรฟ้าที่หลับใหลมานานหลายปี

คนผู้นี้ก็คืออ๋าวจิ่วหุย บรรพบุรุษภพมังกรที่เร้นกายใช้ชีวิตอยู่ภายในฝ่ายสงวนคัมภีร์นั่นเอง!

“เช่นนั้นพวกเจ้าสองคนคิดจะทำอย่างไรต่อ?” จั่วชิวไท่อู่มีสายตาว่างเปล่า หยุดครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็ลากสายตาขุ่นมัวขึ้นมามองพวกเขาเงียบ ๆ ตอนนี้เขารู้สึกแก่ชราลงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“บางอย่างก็เกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพราะ… อย่างไรที่นี่ก็คือสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า” จ้าวไท่ฉือถอนหายใจเสียงเบา ก่อนมองใบหน้าแก่ชราของอีกฝ่ายพลางกล่าวขึ้นว่า “ตาเฒ่า ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมาเป็นศัตรูกับเจ้า โชคดีที่เรื่องไม่เกิด”

“หึ! ข้าว่าเจ้าหมอนั่นมันแก่สติเลอะเลือนไปแล้ว! นับตั้งแต่ที่เด็กเฉินซีนั่นได้มรดกจักรพรรดิเต๋าไป เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าคงไม่มีใครปล่อยให้เขาถูกสังหารโดยง่าย รวมถึงท่านเจ้าสำนักด้วย!” อ๋าวจิ่วหุยเอ่ยเสียงเย็น ดูไม่พอใจยิ่ง

จั่วชิวไท่อู่ยิ้มขื่นแล้วถอนหายใจ “เจ้าคิดว่าข้าอยากทำหรือ? เจ้าคงไม่รู้ว่าในใจข้าเห็นตระกูลจั่วชิวสำคัญเพียงใด หากไม่ใช่แล้ว ข้าจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่มาตั้งนานหลายปีหรือ?”

“การหลีกเลี่ยงอยู่ตลอดไม่ใช่ทางออก โชค… ดีก็แล้วกัน” จ้าวไท่ฉือส่ายหน้าให้ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปพร้อมกับอ๋าวจิ่วหุย

จั่วชิวไท่อู่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดลุ่มลึก นั่งอยู่ภายในห้องโถงอันเยือกเย็นเพียงลำพัง

“ท่านอาจารย์บอกว่าเขาจะพบเจ้าหลังจากเจ้าเข้าใจมรดกจักรพรรดิเต๋าได้อย่างสมบูรณ์แล้ว จนกว่าจะถึงวันนั้นเจ้าต้องพยายามให้มาก” หัวเจี้ยนคงส่งเฉินซีไปถึงทางเข้าห้องกระบี่ ก่อนจะหยุดฝีเท้าเอ่ยเสียงเรียบ

ท่านเจ้าสำนักต้องการเจอข้าหรือ? เฉินซีคิด รู้สึกอยากไปพบอีกฝ่ายแล้ว ทว่าจากนั้นก็ต้องหัวเราะเสียงแห้งออกมาในใจ ป้ายหยกจากมรดกจักรพรรดิเต๋ายังนอนนิ่งอยู่ในห้วงจิตสำนึกจนถึงวันนี้ แต่เพราะชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก เขาจึงไม่สามารถสัมผัสอะไรมันได้เลย เช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้พบท่านเจ้าสำนักเมื่อไหร่

“ใช่แล้ว จากนี้เจ้าคิดจะเอาอย่างไรต่อ? ฝึกฝนตนเสร็จแล้วเจ้าจะออกจากสำนักไป หรือเจ้าจะปิดด่านบ่มเพาะอยู่ที่นี่?” หัวเจี้ยนคงพลันถามขึ้น

อีกฝ่ายเอ่ยมา เฉินซีจึงนึกบางอย่างได้และถามว่า “ผู้อาวุโส หากข้าต้องการกลับภพมนุษย์จะต้องเตรียมการอะไรบ้าง?”

“ภพมนุษย์หรือ?” หัวเจี้ยนคงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็คิดอยู่นานแล้วเอ่ยว่า “ลืมไปเลยว่าเจ้ามาจากภพมนุษย์ ด้วยพลังของเจ้าในตอนนี้ คงจะกลับภพมนุษย์ไปได้ยาก”

จากนั้นเขาก็อธิบายเหตุผลให้เฉินซีฟัง

กลายเป็นว่ากฎแห่งเต๋าสวรรค์ของภพมนุษย์และภพเซียนนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่เพียงคนจากภพมนุษย์จะสามารถขึ้นภพเซียนได้ยากเพียงอย่างเดียว แต่คนจากภพเซียนก็กลับไปภพมนุษย์ได้ยากเช่นกัน

เพราะพลังของสิ่งมีชีวิตในภพเซียนนั้นเหนือกว่าภพมนุษย์มานานแล้ว เมื่อลงไปภพมนุษย์ก็จะถูกเต๋าแห่งสวรรค์ทำลายทันที! สาเหตุเป็นเพราะต้องคงความสมดุลในภพมนุษย์เอาไว้ ไม่เช่นนั้นหากปล่อยสิ่งมีชีวิตจากภพเซียนให้ลงไปโดยง่าย ไม่ว่าในภพมนุษย์จะมีอยู่กี่โลกก็คงถูกทำลายสิ้น

ยกตัวอย่างเช่น เฉินซีในตอนนี้อยู่ขอบเขตเซียนปราชญ์ หากไปปรากฏตัวบนภพมนุษย์ พลังมหาเต๋าจากกระบวนท่าเดียวของเขาก็สามารถทำลายโลกรองได้แล้ว!

แต่ถึงเขาไม่ได้ทำอะไร แค่ลมหายใจเดียวที่สูดเข้าไปก็สามารถดึงเอาพลังวิญญาณทั้งหมดที่ล่องลอยอยู่ภายในโลกรองออกมาได้จนหมดสิ้น!

เช่นนี้แล้ว เพื่อรักษาความสมดุลในโลกใหญ่ทั้งสามพันแห่งและโลกรองอีกไม่รู้เท่าไหร่ของภพมนุษย์ไว้ กฎแห่งเต๋าสวรรค์จึงไม่อาจยอมให้มีพลังใดที่แกร่งกว่าขอบเขตภพมนุษย์ลงมาได้

“แน่นอนว่าหากเจ้าอยากกลับภพมนุษย์ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้” หัวเจี้ยนคงเอ่ย “ว่ากันตามตรง หากคนจากภพเซียนอยากลงไปภพมนุษย์ ก็มีวิธีคร่าว ๆ อยู่สองอย่าง อย่างแรกคือการหาประกาศิตภพเซียนจากศาลเซียน ใช้อำนาจของประกาศิตส่งร่างอวตารไปยังภพมนุษย์ ร่างอวตารจะอ่อนแอกว่าเซียนสวรรค์ แต่แกร่งกว่าเซียนปฐพี”

ประกาศิตภพเซียน! เฉินซีย้อนนึกถึงอดีต เมื่อหลายปีก่อน ปิงซื่อเทียนก็ใช้มันลงมายังแดนภวังค์ทมิฬ!

แต่เฉินซีไม่คิดใช้วิธีนี้ เพราะเขารู้ว่าสภาเซียนกลางตอนนี้กำลังอยู่ภายใต้อำนาจจักรพรรดิเซียนจื่อเหิงแห่งนิกายอำนาจเทวะ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องใดระหว่างกลับภพมนุษย์ เฉินซีจึงไม่คิดใช้วิธีนี้

เพราะเห็นว่าเฉินซีไม่สนใจ หัวเจี้ยนคงจึงอธิบายวิธีที่สอง “ อีกวิธีคือการใช้วิชาลับบางอย่าง ซึ่งวิชาประเภทนี้ปกติจะรู้กันในกองกำลังใหญ่ ๆ ในภพเซียน แน่นอนว่าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของเราก็มีเช่นกัน”

พูดถึงตรงนี้ ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ บนใบหน้าปรากฏอารมณ์ประหลาดเล็กน้อย “หากเจ้าอยากกลับภพมนุษย์จริง เช่นนั้นเดือนหน้าไปหาข้า จำไว้ว่าอย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”

เฉินซีรีบเอ่ย “เช่นนั้นถึงเวลาคงต้องรบกวนผู้อาวุโสแล้ว”

หัวเจี้ยนคงโบกมือให้ “ไม่ต้องห่วง ตอนนี้ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการ ขอตัว”

พูดจบเขาก็เคลื่อนมิติหายไปอย่างรีบร้อน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท