ตอนที่ 269 ขวางทาง
มีชายหนุ่มสองสามคนออกมาขวางด้านหน้า ผู้ที่นำมาเรียกได้ว่าเป็นที่คุ้นหน้าของซินโย่ว ก็คือจังซวี่
หลายครั้งที่ถูกเรียกตัวเข้าวัง มีสองครั้งได้พบจังโส่วฝู่กำลังหารือกับคนผู้นั้น เห็นได้ว่าคนผู้นั้นให้ความสำคัญต่อจังโส่วฝู่มาก
ในยุคสมัยนี้ กล่าวถึงอำนาจแท้จริง โส่วฝู่คณะมนตรียังสู้เสนาบดีหกกรมไม่ได้ แต่โส่วฝู่ที่มักถูกเรียกตัวหารือเป็นการส่วนพระองค์ประจำนั้น ก็ย่อมมีสถานะสูงส่งในใจของบรรดาขุนนางและชนชั้นสูงตามไปด้วย เป็นเรื่องธรรมดา
เคยพบปู่มาแล้ว ยามนี้ได้พบหลานชายอีก เผชิญหน้ากับท่าทีของจังซวี่ ซินโย่วจึงรู้สึกต่างไปจากเดิม
คล้ายว่าจะอดทนอารมณ์เด็กหนุ่มผู้นี้ได้มากขึ้น?
“เจ้าก็คือซินไต้จ้าว?” ในมือจังซวี่ถือพัดจีบพลางมองประเมินซินโย่วตั้งแต่บนลงล่าง
“พวกเจ้า…”
จังซวี่ยืดอกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว รออีกฝ่ายถามสถานะ
“พวกเจ้าคิดปล้นหรือ” ซินโย่วถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“แค็ก แค็ก แค็ก ” จังซวี่ไอโขลกแรง โมโหตวาดว่า “อย่าเหลวไหล ผู้ใดปล้น! ในเมื่อเจ้าคือซินไต้จ้าว เช่นนั้นพวกเราก็มาหาคนถูกแล้ว ข้าถามเจ้า เหตุใดเจ้าอ้างตัวว่าเป็นท่านซงหลิง”
เพราะเป็นเวลาเลิกงาน การเคลื่อนไหวนี้ย่อมทำให้ขุนนางเจ้าหน้าที่หลายคนหยุดเงี่ยหูฟัง
“เหตุใดไม่พูดแล้ว” จังซวี่ถามด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
บรรดาสหายที่ตามเขามาพากันยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ต้องเป็นเพราะรู้สึกเสียหน้าไม่มีคำแก้ตัว แอบอ้างเป็นท่านซงหลิง แอบอ้างผลงานท่านซงหลิงเป็นของตนเอง อาศัยเรื่องนี้ก้าวเข้าสู่สำนักฮั่นหลินย่วน หน้าหนาเช่นนี้คงใช้หน้าไปหมดแล้ว ไหนเลยจะมีหน้ามาพูดจาอันใดอีก…”
“พูดได้ดี!” ในบรรดาขุนนางที่มามุงดู มีขุนนางหนุ่มผู้หนึ่งส่งเสียงดังขึ้น
ชายหนุ่มผู้นี้เป็นจิ้นซื่อใหม่ เพิ่งเข้ามาเรียนที่สำนักฮั่นหลินย่วน ร่ำเรียนยากลำบากสิบกว่าปี เบียดบรรดานักเรียนมากมายเข้าไปสู่ตำแหน่งจิ้นซื่อได้ ขณะกำลังภาคภูมิกับเกียรติยศ กลับพบว่ามีคนอาศัยชื่อเสียงก้าวเข้ามาในตำแหน่งเดียวกันนี้อย่างง่ายดาย จะไม่โมโหได้อย่างไร จะไม่รู้สึกดังถูกลบหลู่ได้อย่างไร
อย่าได้กล่าวว่าเป็นบุตรบุญธรรมฮองเฮา เพราะฮองเฮาออกจากวังไปหลายปีแล้ว พอโลงพระศพมาถึงเมืองหลวง จะได้ฝังในสุสานหลวงในฐานะฮองเฮาหรือไม่ก็ยังไม่รู้
แม้ฮ่องเต้ทรงปกป้อง แต่ควรรู้ว่าตอนนี้ในใจขุนนางชนชั้นตระกูลสูงศักดิ์ที่มีรากฐานมาแต่บรรพชนยังไม่ค่อยให้ความเคารพฮ่องเต้ชาติกำเนิดสามัญชนพระองค์นี้นัก ชาวบ้านห่างไกลจากเมืองหลวงออกไปอีกหน่อยบางพื้นที่ยังแต่งบทร้องล้อเลียนฮ่องเต้
กล่าวให้ชัดเจนก็คือ ยากจะอุดปากชาวประชา แม้เป็นฮ่องเต้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสังหารคนพูดเหล่านี้
ชายหนุ่มผู้นี้อยู่ใกล้กับฮว่าไต้จ้าว ฮว่าไต้จ้าวทนไม่ไหว “ล้วนร่วมสำนักเดียวกัน เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร”
ชายหนุ่มแค่นเยาะ “อับอายที่ร่วมสำนัก!”
จังซวี่มองไปยังจุดที่มีเสียงเอะอะดังอย่างรู้สึกงุนงง
สถานการณ์อันใดกัน ไม่ใช่ว่าพวกเขากำลังมีเรื่องกับเจ้าหนุ่มที่ปะปนเข้ามาในหมู่ผู้มีความสามารถนี้หรือ เหตุใดมีคนมาแย่งเอาหน้าไปได้เช่นนี้
พวกฉือไต้จ้าวรีบลากฮว่าไต้จ้าวไว้ พอออกมาไกลหน่อยแล้ว ฉือไต้จ้าวจึงได้กระซิบถามขึ้นว่า
“พี่ฮว่า เหตุใดช่วยออกหน้าแทนซินไต้จ้าว”
ฮว่าไต้จ้าวโมโหฮึดฮัด “ทนฟังพวกเขาพูดจาเหลวไหลไม่ไหว!”
ฉือไต้จ้าวหันไปดึงจานปู่ไต้จ้าว “พี่จานปู่ ท่านรีบตรวจให้พี่ฮว่าหน่อย เขาคงมิได้โดนสิงร่างกระมัง”
คนอื่นๆ ไม่ได้สนใจพวกฮว่าไต้จ้าว แต่หันไปสนใจทางจังซวี่กับซินโย่ว
“รบกวนหลีกทางด้วย” ซินโย่วเอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ไม่พูดให้กระจ่างก็คิดหนี?”
“คุณชายท่านนี้ต้องการให้ข้าพูดเรื่องใด ท่านซงหลิงหรือ” พอเอ่ยถึงท่านซงหลิง ซินโย่วก็เห็นชายหนุ่มหลายคนรวมทั้งจังซวี่มีสีหน้าแปรเปลี่ยน
พวกเขาต้องการปกป้องท่านซงหลิงจริงๆ หรือ
การค้นพบนี้ทำให้ซินโย่วได้แต่โอดครวญในใจ
เดิมนางไม่ได้โมโหกับข่าวลือนี้แม้สักนิด ยามนี้ก็ยิ่งสงบนิ่ง “อยากขอเรียนถามคุณชายทุกท่าน ผู้ใดเขียน ‘วาดหนัง’”
“แน่นอนว่าเป็นท่านซงหลิง” ชายหนุ่มหลายคนตอบพร้อมกัน
“‘บันทึกตะวันตก’ เล่า”
“ก็ย่อมเป็นท่านซงหลิง เจ้าพูดจาเหลวไหลพวกนี้ทำไมกัน” เผชิญหน้ากับเจ้าหนุ่มที่อ้างตัวเป็นท่านซงหลิง จังซวี่แสดงสีหน้ารำคาญเต็มทน
ซินโย่วยังคงสีหน้าอารมณ์ดี “เช่นนั้นเจ้ารู้ชื่อท่านซงหลิงไหม”
“ท่านซงหลิงชื่อ…” จังซวี่ชะงัก ถูกถามจนพูดไม่ออก
ซินโย่วถามชายหนุ่มที่เหลือ “แล้วพวกเจ้ารู้หรือ”
ชายหนุ่มหลายคนมองหน้ากันไปมาพลางส่ายหน้า
ซินโย่วยิ้ม “พวกเจ้าดู หมู่คนในสังคมไม่รู้ชื่อท่านซงหลิง แต่ข้าแซ่ซิน ชื่อว่ามู่ อันใดเรียกว่าอ้างตัวเป็นท่านซงหลิง”
เอ๋ คล้ายว่ามีเหตุผล
จังซวี่ขมวดคิ้ว
ไม่ถูกต้อง เหมือนถูกลวงให้หลงวนเข้าไป
“แต่ทุกคนล้วนคิดว่าท่านซงหลิงคือเจ้า นี่มิใช่แอบอ้างหรือ” จังซวี่ตั้งสติได้
ซินโย่วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “เช่นนั้นทุกคนที่นี่คิดว่าท่านซงหลิงคือข้าหรือ”
คนที่ได้ยินต่างส่ายหน้าด้วยสัญชาตญาณ
แน่นอนไม่มี ไม่เช่นนั้นเหตุใดพวกเขาจึงได้ดูแคลนเช่นนี้
“ฝ่าบาททรงพระเมตตาพระราชทานตำแหน่งซูไต้จ้าวให้ข้า ไม่ใช่เพราะข้าคือท่านซงหลิง แต่ข้าจดจำเรื่องราวที่ท่านซงหลิงเขียนได้ เผยแพร่นิยายของท่านซงหลิง ซูไต้จ้าวชื่อนี้มิใช่ คำว่า ซู จากเขียนหนังสือ แต่เป็นคำว่า ซู จากเล่านิยาย คุณชายทุกท่านรู้สึกว่าไม่เหมาะสมหรือ”
จังซวี่อ้าปากค้าง พลันไร้วาจาตอบโต้
ชายหนุ่มผู้ทนยอมไม่ได้เอ่ยว่า “เจ้าเป็นแค่นักเล่านิยาย ถือสิทธิ์อันใดเข้ามาประจำในสำนักฮั่นหลิน ย่วน?”
เขียนหนังสือหาได้ยาก หรือว่าเล่านิยายก็หาได้ยากเหมือนกัน
ซินโย่วมองไปทางชายหนุ่มที่จี้ถาม ยิ้มละไมกล่าวว่า “ข้าดูคุณชายทุกท่านแต่งกายแบบนักเรียน คิดว่าคงเป็นนักเรียนสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน ไม่ทราบว่าทุกท่านเพราะอ่านหนังสือทุ่มเทจนลึกซึ้ง จึงได้มีความสามารถเข้าศึกษาในสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน หรือเพราะชาติกำเนิด”
พอเอ่ยวาจานี้ออกมา ชายหนุ่มหลายคนพากันใบหน้าร้อนผ่าว
เจ้าหมอนี่ เหตุใดอันใดไม่เอ่ยต้องมาเอ่ยเรื่องนี้!
คนอื่นๆ ได้ยินแล้วก็พากันครุ่นคิด หลายคนยังเริ่มดูแคลน
ความจริงทุกคนล้วนรู้ดี ซินไต้จ้าวเข้ามาในสำนักฮั่นหลินย่วน ไม่ใช่เพราะอ้างชื่อว่าเป็นท่านซงหลิง แต่เพราะสถานะบุตรบุญธรรมฮองเฮา
แต่ความจริงเช่นนี้จะนำมาเอ่ยต่อหน้าเปิดเผยได้อย่างไร
“รบกวนหลีกทางด้วย”
จังซวี่ได้ยินเช่นนี้ก็เอี้ยวตัวหลบให้ด้วยสัญชาตญาณ พลันเห็นคนไม่น้อยมองไปทางด้านหลังเขาด้วยสีหน้าแปรเปลี่ยน
“กองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน!”
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินกลุ่มหนึ่งก้าวเข้ามา มีชายชุดแดงพร้อมดาบยาวเดินนำมา สีหน้าเยียบเย็นราวกับน้ำค้างแข็งและหยกงาม ความงามไม่เป็นรอง เขาก็คือเจิ้นฝูสื่อเฮ่อชิงเซียวกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน
ซินโย่วมองดูเฮ่อชิงเซียวเข้ามาใกล้ก็สบตากับเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็เห็นเขาส่งสายตาเยียบเย็นไปทางจังซวี่
จังซวี่ขมวดคิ้ว “คิดทำอันใด…”
“นำตัวคนก่อเรื่องหน้าสถานที่ทำการหกกรมไปได้” ไม่รอให้จังซวี่พูดจบ เฮ่อชิงเซียวก็สั่งการเยียบเย็นเยียบเย็น
“ขอรับ”
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินกองหนึ่งก้าวเข้าจับกุมตัวพวกจังซวี่ไว้
จังซวี่สีหน้าแปรเปลี่ยน “เจ้าแซ่เฮ่อ เจ้าทำอันใด ปู่ข้าเป็นโส่วฝู่นะ!”
เฮ่อชิงเซียวมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก “เจ้าวางใจ ปู่เจ้าไม่รู้เรื่องด้วย จะไม่นำตัวปู่เจ้าไปด้วย”
พูดจบ เฮ่อชิงเซียวพยักหน้าให้ซินโย่วเล็กน้อย หันหลังจากไป ไม่สนใจพวกจังซวี่ด้านหลังที่ส่งเสียงด่าทอไม่หยุด
เวลาเพียงพริบตา บรรดาชายหนุ่มที่มาก่อเรื่องก็ถูกนำตัวไปหมด เหลือเพียงคนมุงดูที่มองตาค้าง
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเสียสติแล้วหรือ นี่คือจับกุมตัวไปหมดเลยหรือ
ซินโย่วหันหลัง ขุนนางที่อยู่ใกล้นางพากันตกใจถอยหลังพร้อมกัน
ไม่อาจมีเรื่องกับเขาๆ!
ซินโย่วขมวดคิ้วเล็กน้อย เดินไปครุ่นคิดไปว่า การที่ใต้เท้าเฮ่อจับกุมตัวไปเปิดเผยเช่นนี้ แท้จริงมีจุดประสงค์ใด
พอนางเดินจากไปไกลแล้ว บรรดาขุนนางที่กำลังตกใจตาค้างก็ได้สติคืนมา มีคนเอ่ยขึ้นอย่างโกรธแค้นว่า “กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินกระทำการเช่นนี้ ต่างอันใดกับสุนัข!”