ตอนที่ 575 ดูถูก(1)
หลัวซงผิงและอาจารย์หลินก็เห็นคนพวกนั้นเหมือนกัน จึงรีบเดินไปต้อนรับ
“สวัสดีทุกคนครับ”
มีนักศึกษาทั้งหมดแปดคน รวมกับอาจารย์อีกสี่คน ชายวัยกลางคนที่ดูสง่างามคนหนึ่งก้าวเดินมาข้างหน้าพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะทักทายเป็นภาษาจีน “สวัสดีครับ ผมคือหวังโหย่วเหรินมาจากมหาวิทยาลัยฮ่องกงครับ”
“สวัสดีครับ ผมหลินไคจง อาจารย์จากมหาวิทยาลัยปักกิ่งครับ ส่วนนี่เพื่อนร่วมงานของผม หลัวซงผิง”
พูดจบก็แนะนำฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ย
หวังโหย่วเหรินพานักศึกษามาด้วยอีกสองคน ตอนนี้พวกเขาทั้งสามจ้องมองไปที่ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยด้วยความอยากรู้ “สวัสดีค่ะ”
เด็กผู้หญิงสองคนที่อยู่ข้างหน้าแตกต่างจากนักศึกษาจากจีนแผ่นดินใหญ่ในอุดมคติของพวกเขา พวกเธอสวยมั่นใจ เทียบกับนักศึกษาหญิงจากฮ่องกงแล้ว พวกหล่อนดูแย่กว่าอีก
“ผมชื่อเยวี่ยจงจี”
“ผมชื่อหลี่หมิงฮุ่ย”
นักศึกษาชายสองคนจากมหาวิทยาลัยฮ่องกงยิ้มอย่างสดใสให้กับฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ย แล้วเริ่มแนะนำตัวเอง
หลังจากนั้นอาจารย์ตัวแทนจากประเทศแห่งแดนซากุระและอเมริการวมถึงอังกฤษก็ก้าวเข้ามาเช่นกัน เพื่อทักทายฉินมู่หลานและคนอื่น ๆ เพียงแต่นักเรียนคนอื่นไม่ได้เดินมาข้างหน้า แถมไม่แนะนำชื่อของตัวเองด้วย้ำ และพวกอาจารย์ตัวแทนมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เอ่ยแนะนำอะไรเลย
เซี่ยปิงหรุ่ยขมวดคิ้วมองไปที่นักศึกษาพวกนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แล้วตามอาจารย์ทั้งสองคนไปอย่างเงียบ ๆ
หลัวซงผิงเห็นว่ามากันหมดแล้ว ก็วางแผนจะพาพวกเขาไปที่ห้องพัก
“อาจารย์นักศึกษาทุกท่าน พวกเราเข้าไปที่ห้องพักกันเลยเถอะครับ”
หลินไคจงเป็นคนนำหน้า แล้วแปลเป็นอีกสองภาษา เพื่อให้อาจารย์และนักศึกษาจากอังกฤษ อเมริกา และญี่ปุ่นได้เข้าใจความหมาย
อาจารย์และนักศึกษาอีกสองคนจากฮ่องกงค่อนข้างคุ้นชิน พวกเขาทั้งสามเดินอยู่ข้าง ๆ ฉินมู่หลานและคนอื่น ๆ แล้วถามอะไรบ้างเป็นครั้งคราว
หลัวซงผิงให้ความสำคัญต่อการประชุมแลกเปลี่ยนครั้งนี้มาก จึงต้อนรับอย่างกระตือรอือร้น
แต่เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนสนใจฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยมากกว่า จึงถามว่าพวกเธอเรียนวิชาเอกอะไร และถามเรื่องการเรียนตอนอยู่ในมหาวิทยาลัย
ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยได้ยินแบบนี้ก็ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
ที่อยู่ข้างหลังพวกเขาคืออาจารย์และนักศึกษาจากอีกสามประเทศ หนึ่งในนั้นคือนักศึกษาหญิงจากดินแดนซากุระ ใช้ภาษาญี่ปุ่นพูดบ่น “ไม่รู้เลยว่าการแลกเปลี่ยนครั้งนี้มีอะไรสำคัญ ประเทศของเราพัฒนาเร็วกว่าประเทศจีนเยอะมาก ไม่รู้ว่าการแพทย์ของที่นี่จะดีกว่ามากน้อยแค่ไหน พวกเราอย่าว่าแต่จะได้ความรู้อะไรกลับไปเลย ทางที่ดีอย่างไปเรียนรู้ตามพวกเขาเลยดีกว่า”
นักศึกษาชายอีกคนเงียบขรึมมาก ไม่พูดอะไรเลย
นักศึกษาหญิงคนนั้นเห็นว่าคนไม่ตอบตัวเอง จึงรู้สึกฉุนเฉียว อดไม่ได้ที่จะหันไปจ้องมองนักศึกษาชายคนนั้นแล้วกล่าวว่า “ยูโนะ ฉันกำลังพูดกับนายอยู่นะ”
ยามาชิตะ ยูโนะ ยังคงนิ่งเงียบ สุกท้ายอาจารย์ตัวแทนจากฝั่งญี่ปุ่นก็กล่าวขึ้น “พอได้แล้วชิโยโกะ ไม่ต้องพูดแล้ว เดินไปให้เรียบร้อย”
ฉินมู่หลานเข้าใจภาษาญี่ปุ่น จึงทราบว่าชิโยโกะพูดอะไร เธอจึงหันไปจ้องมองหล่อนด้วยสายตาเย็นชา ขณะที่กำลังจะพูดอะไร นักศึกษาหญิงจากประเทศอเมริกาก็เอ่ยเป็นภาษาอังกฤษขึ้นอีกพร้อมทำสีหน้ารังเกียจ “อาจารย์โอเว่นคะ ทำไมครั้งนี้พวกเราต้องมาแลกเปลี่ยนที่จีนด้วย มาประเทศล้าหลังแบบนี้ พวกเราจะไปสื่อสารอะไรกับพวกเขาได้”
โอเว่นซึ่งเป็นอาจารย์ดูแลนักศึกษาอเมริกาจึงปรายตามองนักศึกษาหญิงแล้วกล่าวว่า “เอลล่า พูดแบบนี้ต่อหน้าถือว่าหยาบคายมากเลยนะ หยุดพูดเลย”
เอลล่ายืนกรานว่าตัวเองไม่ผิด ก่อนที่จะพูดอะไรบางอย่าง ก็พบว่านักศึกษาหญิงทั้งสองคนจากประเทศจีนหยุดเดิน แล้วหันมามองเธอตรง ๆ
เมื่อถูกฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยจ้องมองอย่างเย็นชา สีหน้าของเอลล่าก็ดูไม่ค่อยดีนัก เธอจึงหยุดแล้วเอ่ยถามขึ้น “พวกเธอมองฉันทำไม นี่เป็นวิธีต้อนรับแขกของพวกเธอเหรอ”
แต่หลังจากพูดจบ เธอก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยด้วยความดูถูก “ว่าแต่พวกเธอเข้าใจที่ฉันพูดเหรอ ไม่ต้องหวังให้อาจารย์พวกเธอช่วยแปลให้หรอกนะ”
“นักศึกษาเอลล่า ถ้าพวกเธอมาเหยียบประเทศเรา ถ้าอย่างนั้นก็คงมีเหตุผลให้พวกเธอต้องมาที่นี่ เพราะฉะนั้นช่วยอย่าพูดแบบเมื่อกี้อีก ฉันยอมรับ ว่าประเทศของเราไม่ได้ดีเท่าประเทศของเธอ แต่ต่อไป ประเทศของเราจะพัฒนาขึ้นแน่นอน”
“เหอะ…โอ้อวด ใครก็พูดได้”
เอลล่าไม่ได้คิดเลย พูดเสียดสีขึ้นทันที
การแสดงออกสีหน้าของฉินมู่หลานไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนัก ทำเพียงแค่ยิ้ม แล้วกล่าว “โอ้อวดหรือเปล่าเดี๋ยวต่อไปก็จะได้รู้กัน แต่ถ้านักศึกษาเอลล่าไม่ได้อยากจะมาประเทศจีนของเรา ถ้าอย่างนั้นเธอก็ปลี่ยนให้คนอื่นมาแทนก็ได้นะ พวกเธอมาแล้วต้องกลับไปคงมีค่าใช้จ่าย ฉันเจียดเงินให้ได้นะ เธอคิดว่าไงล่ะ”
“เธอ…”
เอลล่านึกไม่ถึงว่าฉินมู่หลานจะพูดแบบนี้ ในภาพจำของหล่อน คนจีนทุกคนควรอ่อนน้อมถ่อมตน เมื่อเห็นพวกเขาทุกคนควรให้ความเคารพ แต่นักศึกษาหญิงตรงหน้านี่กลับต่างออกไป ไม่เพียงแต่ทำให้หล่อนพูดไม่ออกเท่านั้น แต่ยังบอกว่าจะเจียดเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้เธออีก ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้
โอเว่นนึกไม่ถึงว่าฉินมู่หลานจะพูดแบบนั้น เขาจ้องมองฉินมู่หลานครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองเอลล่าแล้วกล่าวว่า “พอแล้วเอลล่า หุบปากซะ หรือว่าอยากจะกลับจริง ๆ”
เมื่อเห็นท่าทางของโอเว่นดูโกรธ สุดท้ายเอลล่าก็ก้มหน้าลง ไม่พูดอะไรอีก ตอนแรกเธอคิดว่าเมื่อมาประเทศจีนครั้งนี้ หล่อนจะเป็นที่ชื่นชอบในหมู่คนจีน แต่ตอนนี้มันต่างจากที่จินตนาการเอาไว้เลย
นักศึกษาคนอื่นก็มองฉินมู่หลานด้วยความประหลาดใจ เมื่อได้มาเห็นนักศึกษาชาวจีนต่อหน้าแล้ว ที่แท้สิ่งที่พวกเขาเคยได้ยินก่อนหน้านี้ล้วนผิด
หลัวซงผิงไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่มองดูสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว ก็พอจะทราบได้ว่าฉินมู่หลานมีปากเสียงกับเอลล่า เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหันมองหลินไคจงแล้วเอ่ยถาม “พวกหล่อนพูดอะไรกันเหรอ?”
หลินไคจงยิ้มแล้วหันมองหลัวซงผิง ก่อนจะกล่าว “นักศึกษาของนายเก่งมาก แล้วก็พูดภาษาอังกฤษดีมากด้วย ดีกว่าที่ฉันพูดอีก”
อันที่จริงหลัวซงผิงไม่รู้ทราบมาก่อนเลยว่าฉินมู่หลานสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ “ฉันก็ไม่เคยรู้เลยว่านักศึกษามู่หลานพูดภาษาอังกฤษได้ แต่นายยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น”
แต่หลินไคจงยังไม่ได้พูด ชิโยโกะที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ขมวดคิ้วแล้วพูดบ่นขึ้นอีกครั้ง
“นักศึกษาจีนพวกนี้ยังไงเนี่ย นี่เป็นวิธีปฏิบัติกับพวกนักเรียนที่มาแลกเปลี่ยนอย่างนั้นเหรอ ท่าทางของหล่อนดูแย่มากเลย” หล่อนเข้าใจภาษาอังกฤษ จึงทราบเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น และหล่อนกับเอลล่าก็มีความคิดแบบเดียวกัน รู้สึกว่าประเทศจีนค่อนข้างล้าหลังและมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ย่ำแย่ ไม่คุ้มที่จะให้พวกเขาได้มาที่นี่ เพราะฉะนั้นหล่อนจึงต้องเข้าข้างเอลล่าอยู่แล้ว
ตอนแรกฉินมู่หลานลืมพวกชิโยโกะไปแล้ว จึงไม่ได้พูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ แต่นึกไม่ถึงว่าหล่อนจะโพล่งขึ้นมาอีก
“นักศึกษาชิโยโกะ เธอบอกว่าการประชุมแลกเปลี่ยนครั้งนี้ไม่มีความหมาย แล้วยังกลัวว่าพวกเราจะมาลักเล็กขโมยน้อยความรู้ของพวกเธออย่างนั้นเหรอ? ถ้าเธอฉุกคิดสักหน่อย ก็จะรู้ว่ายาแผนโบราณที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศของเธอ รับไปจากประเทศพวกฉันนะ”
“เธอพูดไร้สาระ”
ชิโยโกะไม่ยอมรับคำพูดของฉินมู่หลาน ได้แต่รู้สึกว่าเธอกำลังพูดดีเอาเข้าตัว
แต่ถึงอย่างนั้นฉินมู่หลานก็เริ่มหยิบยกเหตุผลซึ่งเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมาอ้าง เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง เล่าเรื่องประวัติศาสตร์อย่างคล่องแคล่วด้วยภาษาญี่ปุ่น แต่ตอนนี้คนเยอะมาก เธอจึงรีบพูดให้กระชับ หลังจากพูดจบก็หันไปมองชิโยโกะแล้วกล่าวว่า “นี่คือที่มาของยาแผนโบราณในประเทศเธอ”
สีหน้าของชิโยโกะเปลี่ยนเป็นสีแดง ไม่สามารถพูดปฏิเสธอะไรได้เลย
ฉินมู่หลานเห็นแบบนี้ก็ไม่ได้สนใจชิโยโกะอีกต่อไป และเดินตรงไปข้างหน้าแทน พวกเขายังต้องเดินไปให้ถึงที่พัก
และเซี่ยปิงหรุ่ยก็หันมองฉินมู่หลานด้วยสายตาชื่นชมก่อนจะกล่าวว่า “มู่หลาน นึกไม่ถึงเลยว่าเธอพูดภาษาญี่ปุ่นได้ด้วย นี่เธอพูดได้กี่ภาษากันนะ”
“ฉันก็ไม่ได้รู้มากหรอก แค่เรียนสองภาษานี้เอาไว้น่ะ”
เซี่ยปิงหรุ่ยยกนิ้วให้ฉินมู่หลาน ได้แต่รู้สึกเธอเก่งกาจเหลือเกิน