ตอนที่ 739 หลอกกลับ มากับข้าเถิด
นักพรตเฒ่าและลูกศิษย์คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ฉินหลิวซีตามกลับมาที่อารามเต๋าได้ราบรื่นเพียงนี้ มองดูร่างเพรียวบางที่เดินอยู่ข้างหน้า นักพรตเฒ่าดึงซานหยวนไว้
“เจ้าหยิกข้าเร็วเข้า เกรงว่าจะกำลังฝันอยู่หรือไม่”
ซานหยวนกลอกตา ก่อนจะตอบ “พอเถิด แม้ว่าคนจะมาแล้ว เมื่อได้เห็นภาพลักษณ์ที่แท้จริงของอารามเต๋า พวกเราก็อาจจะรั้งไว้ไม่ได้อยู่ดี”
คนผู้นี้มองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่พวกเขาสามารถหลอกได้ ดูจากท่าทางแล้ว ไหนเลยจะเหมือนกับคนโง่เขลาอย่างตนเองในตอนนั้น
หากไม่ได้ถูกหลอก แล้วนางตามมาที่อารามเต๋า หรือว่ามีความคิดอะไรอย่างนั้นหรือ
ซานหยวนแอบเพิ่มความระมัดระวังของตัวเอง
ฉินหลิวซีมองไปยังวัดที่ทรุดโทรมตรงหน้า แผ่นป้ายชื่ออารามเต๋าที่แขวนอยู่แทบจะหล่นลงมาแล้ว บริเวณรอบๆ ก็ไม่มีวัชพืช แต่ขอบประตูกลับถลอกลอกออกหมดจนแทบไม่เหลืออะไรให้ลอกแล้ว
“นี่คือสำนักโบราณพันปีที่มีสมบัตินับไม่ถ้วนที่พวกท่านเอ่ยถึงหรือ” ฉินหลิวซียิ้มสีหน้าเรียบเฉยพลางหันกลับมามามองนักพรตเฒ่า
นักพรตเฒ่าหน้าแดง กระแอมเบาๆ กล่าวว่า “อาจเป็นเพราะเมื่อคืนนี้ลมแรง พัดแผ่นป้ายตกลงมา ไว้พวกเราค่อยตอกตะปูกลับคืนก็ได้แล้ว ส่วนสมบัติ เขาหลงหู่แห่งนี้ล้วนเป็นพื้นที่ด้านหลังของอารามพวกเรา ในภูเขาอุดมไปด้วยสมบัติ ก็ไม่ผิดนี่นา”
เหอะๆ
โม้ไปเถอะ อย่างไรก็โม้ไม่ขึ้น!
ฉินหลิวซีเดินเข้าไป ยื่นมือไปดัน ตุบ
ประตูถูกผลักลงกับพื้น กระแทกกับพื้นด้านหลังประตู ฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นมา จากนั้นก็มีกลิ่นเหม็นคาวลอยออกมาจากข้างใน
ฉินหลิวซีอุดจมูกแล้วถอยหลังสองก้าว
นักพรตเฒ่าดีดตัวขึ้นมา พุ่งเข้าไปพลางร้องตะโกน “เจ้าคนสารเลวที่ไหนบุกเข้ามา กล้าพังประตูซ้ำยังอึฉี่ไว้หน้าเจ้าลัทธิเต๋า ไม่กลัวเจ้าลัทธิเต๋าจะโกรธ มีโชคร้ายมารุมเร้าหรือ”
ซานหยวนอับอายเป็นอย่างมาก เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นความรกและสิ่งสกปรกอยู่เต็มไปหมด วางของในมือลงอย่างเงียบๆ ไปที่ห้องครัวเล็กด้านหลังเพื่อหยิบไม้กวาดขี้เถ้าหรืออะไรทำนองนั้นมาทำความสะอาด
นักพรตเฒ่านึกอะไรบางอย่างได้ รีบวิ่งไปที่ห้องเล็กด้านหลัง ส่งเสียงร้องตะโกนด่า
“เจ้าหัวขโมย กล้ามาขโมยของที่อารามเต๋า สวรรค์ รองเท้าคู่ใหม่ที่ข้าซื้อมาหายไปแล้ว ซ้ำยังมีฟูก…ซานหยวน รีบไปดูห้องของเจ้า เวรกรรมจริงๆ ไม่เหลืออะไรเลย คนสารเลวพวกนี้ คิดว่าอารามหลงหู่ของข้าเป็นเล้าไก่ไร้ประตูหรือ”
ซานหยวนโยนไม้กวาดทิ้ง รีบวิ่งเข้าไป
ฉินหลิวซี “…”
นางเงยหน้าขึ้นมองเทวรูปดินเหนียว ตั้งใจมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ย “ได้พบกับอาจารย์ลูกศิษย์ที่พึ่งพาไม่ได้ ลำบากท่านแล้ว”
นางหยิบธูปมาสามดอก จุดธูปแล้วคำนับบูชา จากนั้นก็ปักลงในกระถางธูป แล้วยื่นมือไปปัดๆ บนรูปปั้นดินเหนียว
ฉินหลิวซีกำลังจะไปที่เรือนด้านหลัง ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของนักพรตเฒ่าและลูกศิษย์
นักพรตเฒ่าตะโกนด่าอยู่ในห้อง ส่วนซานหยวนทรุดตัวนั่งกอดขวดโหลใบเล็กๆ ที่แตกสลายอยู่หน้าห้อง ไม่เหลือแล้ว เงินส่วนตัวที่เขาเก็บออมอย่างยากลำบากไม่เหลือแล้ว ถูกขโมยไปหมดแล้ว
“กล้ามาจากไหน ขโมยของในอาราม ไม่เกรงกลัวจะถูกสวรรค์ลงโทษเลย” นักพรตเฒ่าเดินออกมา เห็นลูกศิษย์สีหน้าราวกับกำลังไว้ทุกข์ให้กับผู้อาวุโสที่จากไป แล้วมองดูขวดโหลใบเล็กที่แตกสลายซึ่งเขามักจะใช้เก็บเงิน รีบก้าวไปชะโงกมองดู ว่างเปล่า
แย่แล้ว คราวนี้ไม่มีอะไรเหลือจริงๆ แล้ว!
เมื่อนักพรตเฒ่าเห็นฉินหลิวซีเดินเข้ามา ด้วยไหวพริบจึงลุกขึ้นยืน เอ่ยอย่างลำบากใจว่า “เมื่อคืนไม่ได้อยู่บ้าน ในอารามถูกรื้อค้นไปจนหมด จริงๆ เลย…แต่เจ้าวางใจได้ อย่างน้อยอารามหลงหู่ของพวกเรา ก็ยังคงมีความรู้ที่สืบทอดมาตั้งแต่โบราณ และพระสูตรให้เจ้าอ่าน ซ้ำยังมียันต์…”
ขณะที่เขาเอ่ยก็รู้สึกสู้ไม่ไหว เรื่องวาดยันต์ ดูเหมือนว่าเขาก็เก่งมากเช่นกัน
ไม่เหมือนตัวเอง เพียงแค่ยันต์แคล้วคลาดที่ใช้ได้สักหนึ่งแผ่นก็ยังใช้เวลานาน ส่วนมากยังซื้อชาดแดงไม่ได้ด้วยซ้ำ ช่วยไม่ได้ เป็นเพราะความจน
“ข้าคิดว่าอารามเต๋าของพวกท่านหมดอนาคตแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ย
นักพรตเฒ่าหน้าเขียว กล่าวว่า “เจ้าคิดผิดแล้ว เจ้าดูเขาหลงหู่ของพวกเราสิ ภูเขาเขียวแม่น้ำงดงาม เต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณ ย่อมมีร่องรอยการมาสถิตของเทพเจ้า เหตุใดจึงได้หมดอนาคตแล้ว”
“ก็ถูกขโมยไปจนหมดเปลือกแล้ว คิดว่าคงไม่ใช่ครั้งแรกหรอกกระมัง”
อาจารย์และลูกศิษย์หลบสายตา
ก็ไม่ใช่ครั้งแรกจริงๆ อารามเต๋าของพวกเขาตั้งอยู่ชานเมือง เป็นพื้นที่ที่ไร้ความเจริญรุ่งเรือง แต่กลับมีขอทานคนเร่ร่อนเดินผ่านไปมาเป็นครั้งคราว รู้ว่าที่นี่มีคนอาศัยอยู่ จึงถือโอกาสตอนที่คนไม่อยู่มาลักขโมย
ห่างจากอารามหลงหู่ไม่ไกลมีหมู่บ้านอิสระแห่งหนึ่ง ดูอึมครึม ใครๆ จึงไม่กล้ามาตั้งรกรากที่นี่ มิฉะนั้นเกรงว่าแม้แต่กลางวันก็คงมาขโมย
และอารามหลงหู่ก็ผุพังจริงๆ ควันธูปไม่รุ่งเรือง บางครั้งไม่มีผู้ศรัทธาแม้แต่คนเดียวในหนึ่งวัน ดังนั้นส่วนใหญ่นักพรตเฒ่าจึงไปตั้งแผงลอยทำนายดวงชะตาที่ในเมือง เพื่อรักษาความอยู่รอดของอาจารย์ลูกศิษย์ทั้งคู่
ความจริงแล้วเมื่อเทียบกับนักต้มตุ๋นที่โอ้อวดหลอกลวง แม้ว่าวิชาเต๋าของนักพรตเฒ่าจะไม่ล้ำเลิศ แต่ก็ได้เรียนรู้อาคมเล็กๆ น้อยๆ แท้จริงติดตัวมาบ้าง การรับมือกับผีน้อยหรือทำพิธีเล็กๆ ทำนายดวงชะตานั้นไม่ใช่ปัญหา ตามหลักแล้วก็ไม่ควรจะยากจนถึงขั้นนี้
แต่สิ่งที่แย่ก็คือในบรรดาห้าโทษสามวิบัติที่เขาโดนคือเงิน เก็บเงินไม่อยู่ยิ่งกว่าฉินหลิวซี ทุกครั้งที่ได้เงินค่าทำนาย หากไม่ใช่เอาไปให้ขอทานน้อยที่น่าสงสาร ก็เอาไปซื้อสุราหนึ่งเหยือก ก็ไม่เหลือแล้ว เงินที่เหลืออยู่สิบกว่าอีแปะ หากไม่ให้ลูกศิษย์เก็บไว้ คาดว่าแม้แต่อีแปะเดียวก็เก็บไว้ไม่อยู่
แต่ถึงกระนั้นอาจารย์ลูกศิษย์ก็ยังมีข้าวกินไม่ครบสามมื้อ ชีวิตยากลำบากราวกับสายลมในฤดูใบไม้ร่วง
นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดทั้งสองจึงได้หมกมุ่นอยู่กับการหลอกฉินหลิวซีให้มาที่นี่
มีความสามารถ หน้าตาดี ซ้ำยังเก่งกาจ หากสามารถนำกิมเซียมซูเข้ามาในอารามได้ อารามที่ผุพังมีซ่านไฉถงจื่อ[1]เข้ามา ขนาดฝันอยู่ก็ยังยิ้มจนตื่นไม่ใช่หรือ
ทางด้านอารามชิงผิง นักพรตเฒ่าชื่อหยวนนับข้อนิ้วทำนาย สีหน้ามืดครึ้มทันที รู้สึกเหมือนมีคนกำลังพยายามงัดมุมกำแพงข้า
ส่วนนักพรตเฒ่าคุยโม้เป็นตุเป็นตะ ก็ไม่เห็นฉินหลิวซีจะมีท่าทางสนใจเลยแม้แต่น้อย จึงกล่าวว่า “หากเจ้าอยู่ที่นี่ ค่าตอบแทนที่ได้มาเมื่อคืนนี้ก็จะมอบให้เจ้าจัดการ”
ฉินหลิวซี “หรงอันจวิ้นจู่มอบตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงสามใบให้ข้าเป็นค่าตอบแทน”
นักพรตเฒ่าหายใจไม่ออก รู้สึกอิจฉาในใจ พวกเขาได้เพียงไม่กี่สิบตำลึงเอง
“เช่นนั้นเจ้าบริจาคค่าน้ำมันตะเกียงให้พวกเราสักหน่อยได้หรือไม่”
ฉินหลิวซีหัวเราะในลำคอ “เรื่องอะไรกัน เงินข้าก็ไม่ได้ลอยมาตามลมสักหน่อย อีกอย่าง อารามเต๋าขอท่านตอนนี้ก็ไม่มีเทพเจ้าสถิตลงมา ควันธูปย่อมไม่รุ่งเรือง แม้ว่าจะบริจาคค่าน้ำมันตะเกียง แต่ก็ไม่สามารถยืนหยัดขึ้นมาได้ ไม่สู้ปิดไปจะดีกว่า ข้าเห็นว่าท่านพอมีวิชาเต๋าอยู่บ้างเล็กน้อย อย่าลำบากลำบนรักษาอารามเต๋าแห่งนี้ไว้เลย ไปกับข้าเถิด”
นักพรตเฒ่า “?”
หมายความว่าอย่างไร
ซานหยวนเงยหน้าขึ้น “ไปกับเจ้าหรือ”
“ใช่แล้ว” ฉินหลิวซีเอามือไขว้หลังพลางเอ่ย “ข้าเป็นเจ้าอาวาสน้อยแห่งอารามชิงผิง ตอนนี้ในอารามควันธูปเจริญรุ่งเรือง และเติบโตขยับขยาย กำลังขาดสหายเต๋าที่ฝึกบำเพ็ญเต๋ามาอยู่ประจำ พวกท่านไป ไม่เพียงแต่มีกินมีดื่ม หากมีใจก็สามารถเรียนศาสตร์ทั้งห้าของเสวียนเหมินได้”
ดวงตาของซานหยวนสว่างขึ้นเล็กน้อย “มีวิชาที่เก่งกาจอย่างเจ้าน่ะหรือ”
“เจ้าฝึกไปจนแก่จนเฒ่าก็ฝึกฝนวิชาเต๋าอย่างข้าไม่ได้” ฉินหลิวซีเหน็บเบาๆ เหลือบมองเขาพลางกล่าวว่า “แต่หากเจ้าเป็นคนฉลาด สิ่งที่ได้เรียนรู้จากอารามชิงผิงนั้นมีมากมายกว่าตอนนี้ เอาอย่างไร ติดตามข้า มีโอกาสมากมาย”
อาจารย์ลูกศิษย์ทั้งสอง “…”
ท่าทางนักเลงเช่นนี้ เป็นนักพรตจริงๆ หรือ
[1]ซ่านไฉถงจื่อ หรือพระสุธนกุมาร บุตรแห่งความมั่งคั่ง ถือเป็นสาวกของพระโพธิสัตว์กวนอิมในพุทธศาสนาแบบจีน