คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 740 หลอกล่อสำเร็จ พบเรื่องชั่วร้ายเมื่อกลับเมือง

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 740 หลอกล่อสำเร็จ พบเรื่องชั่วร้ายเมื่อกลับเมือง

ฉินหลิวซีคิดไม่ถึงว่าไม่ต้องเปลืองน้ำลายมากนัก นักพรตเฒ่าและลูกศิษย์ปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบตกลงไปกับนางแล้ว

“คิดว่าท่านจะทำใจจากอารามนี้ไม่ได้เสียอีก จากนั้นก็ให้เขาไปกับข้า” ฉินหลิวซีชี้ไปที่ซานหยวนพลางเอ่ยกับนักพรตเฒ่า

นักพรตเฒ่ากระแอมเบาๆ “ผู้ฝึกบำเพ็ญเต๋า มีที่ไหนบ้างที่ฝึกไม่ได้ ไม่แน่เมื่อไปประจำอยู่ที่อารามอื่น จะทำให้วิชาเต๋าก้าวหน้าไปอีกขั้น”

ใช่แล้ว ต้าเฟิงนั้นกว้างใหญ่ อยู่ที่ไหนก็ฝึกบำเพ็ญเต๋าได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการกินให้อิ่มท้อง ที่ไหนที่กินจนอิ่มท้องได้ ที่นั่นก็คือสถานที่ที่ถูกกำหนดไว้สำหรับตัวเอง

ฉินหลิวซีไม่ได้เปิดเผยเขา ให้พวกเขาเก็บข้าวของ ส่วนตัวเองเดินออกมาจากเรือนด้านหลัง มองดูลักษณะพื้นที่ของหุบเขาหลงหู่

อาจารย์และลูกศิษย์พึ่งถูกปล้นจนไม่เหลืออะไรจึงไม่มีสัมภาระอะไรเลย มีเพียงถุงสัมภาระใบเล็กๆ ในทางกลับกัน ซานหยวนใช้กระบุงใส่พระสูตรและสิ่งอื่นๆ ในอารามที่เป็นประโยชน์ไว้

ส่วนนักพรตเฒ่าเพียงแค่ถือกระบอกไม้ไผ่เล็กสีดำสนิทไว้ในมือ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยื่นไม้ไผ่เล็กนี้ให้ฉินหลิวซี “นี่คือสมบัติอันล้ำค่าที่สุดของสำนักข้า ในเมื่อไปอยู่ประจำที่อารามชิงผิง ก็มอบหมายให้เจ้าเป็นคนดูแล”

ฉินหลิวซีเอื้อมมือไปรับ เขายังคงจับปลายด้านหนึ่งไว้ด้วยสีหน้าทำใจไม่ได้

ดูเหมือนว่าจะเป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ

ฉินหลิวซีออกแรง แย่งกระบอกไม้ไผ่นั้นมา มองดูในมือ ดึงปลายด้านหนึ่งออกมา เทกระดาษเก่าจนเหลืองออกมาหนึ่งแผ่น

“นี่คืออะไร สูตรยาอายุวัฒนะหรือ” ฉินหลิวซีคลี่กระดาษ ข้างในมีภาพวาด เป็นรูปค่ายอาคม

นี่เป็นแผนผังค่ายอาคม ดูคุ้นเคยเล็กน้อย

ฉินหลิวซีจับดูทั้งแนวตั้งแนวนอน ต้องเริ่มดูจากตรงไหน

“สิ่งนี้ล้ำค่ากว่าสูตรยาอายุวัฒนะเสียอีก ข้าจะบอกเจ้าให้ว่านี่คือค่ายอาคมใหญ่เลื่อนขั้น” นักพรตเฒ่ากล่าวอย่างลึกลับว่า “เจ้าอย่าหาว่ามันมีเพียงครึ่งเดียว หากมีครบ ก็จะเป็นค่ายอาคมใหญ่เลื่อนขั้นที่สมบูรณ์ หากวางค่ายสำเร็จก็จะสามารถเอาชนะความยากลำบากแล้วขึ้นเป็นเซียนได้”

ฉินหลิวซีมุมปากกระตุก เอ่ย “หลายพันปีมานี้ ไหนเลยจะมีสหายเต๋าที่โบยบินขึ้นสู่สวรรค์ ท่านอ่านบันทึกเทพนิยายเถื่อนล้างสมองพวกนี้ให้น้อยลงหน่อย มีแต่ผลเสียไม่เกิดประโยชน์”

นักพรตเฒ่าจ้องมอง “เจ้าก็เป็นคนฝึกบำเพ็ญเต๋า เหตุใดจึงได้กล่าวเช่นนี้”

“ฝึกบำเพ็ญเต๋าเพื่อฝึกจิตใจเท่านั้น ใครบ้างที่สามารถบรรลุเป็นอมตะโบยบินขึ้นเป็นเซียนได้ หยุดฝันกลางวันได้แล้ว!” ฉินหลิวซีตะคอก นางไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องมหัศจรรย์ที่จะโบยบินขึ้นเป็นเซียนเช่นนี้ และจะไม่มีทางคิด

เมื่อนางมีชีวิตอยู่มาพอแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องจากไป

แต่ว่า ค่ายอาคมใหญ่เลื่อนขั้น

ฉินหลิวซีมองดูแผ่นภาพนี้ หรี่ตาลงเล็กน้อย กล่าวว่า “นี่ไม่ใช่แผ่นภาพค่ายอาคมใหญ่เลื่อนขั้น”

เป็นอีกครึ่งหนึ่งของแผ่นภาพที่เหลือของค่ายอาคมขังเซียน

ดวงตาทั้งสองข้างของฉินหลิวซีเป็นประกาย คำทำนายบอกว่าจะได้พบกับผู้ที่มีวาสนาต่อกันระหว่างเดินทางไปเมืองเอ้อ หรือว่าจะเป็นที่นี่

นางมองไปยังนักพรตเฒ่า สายตามีความพึงพอใจขึ้นมาเล็กน้อย นับว่ามีของที่สามารถเอาออกมาอวดได้ ไม่เลว

นักพรตเฒ่าถอยหลังหนึ่งก้าว สายตานี้ ประหลาดเล็กน้อย แต่เขากลับสังเกตเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายพึมพำออกมา เอ่ยว่า “ค่ายขังเซียนอะไรกัน”

“ก็คือค่ายอาคมขังเซียนขังเทพอะไรทำนองนั้น คล้ายกับเชือกมัดเซียนในตำนาน ตราบใดที่ค่ายอาคมสำเร็จก็จะมีวิชาคุ้มภัยเพิ่มขึ้นมา” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ท่านไปได้มาจากที่ไหน”

“แน่นอนว่าสืบทอดมาในสำนักของข้า บรรพบุรุษผู้ที่ก่อตั้งสำนักของข้าคือซวีคงเจินเหริน” นักพรตเฒ่าเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “สองร้อยปีก่อน ซวีกงเจินเหรินบรรพบุรุษของข้าได้เปิดอารามซวีอวิ๋น ตอนนั้นเรียกได้ว่าเจริญรุ่งเรืองขั้นสุดอยู่ช่วงหนึ่ง น่าเสียดายที่สองร้อยปีมานี้ กาลเวลาผ่านไป สำนักล่มสลาย สมบัติล้ำค่ามากมายก็ไม่เหลือแล้ว เมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนเสวียนเหมินเสื่อมถอยลง อารามซวีอวิ๋นถูกเผาจนไม่เหลือซาก สลายกลายเป็นเถ้าถ่านลอยไปในอากาศ เห้อ”

มีความเศร้าเล็กน้อยในน้ำเสียงของเขา

“ไม่ใช่อารามหลงหู่หรอกหรือ” ฉินหลิวซีชี้ไปที่อาราม

นักพรตเฒ่าเกาจมูก กล่าวว่า “ซากปรักหักพังของอารามซวีอวิ๋นจริงๆ แล้วอยู่ที่ซานตง ข้ามีตบะไม่พอที่จะบูรณะอารามขึ้นมาใหม่ หลายปีมานี้ก็เพียงแค่เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วจนมาถึงที่นี่ เห็นว่าที่นี่มีอารามผุพังที่ถูกทอดทิ้ง และเห็นว่าฮวงจุ้ยของเขาหลงหู่ก็ไม่ได้แย่ ก็เลยปักหลักอยู่ที่นี่”

ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “นับว่าท่านยังมีความตระหนักรู้ในตนเอง ไม่แปลกใจเลยที่ตัดสินใจไปกับข้าอย่างง่ายดาย ที่แท้นี่ก็ไม่ใช่สำนักที่แท้จริงของท่าน”

นักพรตเฒ่ายิ้มอย่างลำบากใจ “ยังคงเอ่ยเช่นเดิม ฝึกบำเพ็ญเต๋าที่ไหนก็เหมือนกัน”

ฉินหลิวซีใส่แผนภาพค่ายอาคมกลับเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ กล่าวว่า “ในเมื่อเก็บข้าวของเสร็จแล้วก็ไปกันเถิด อย่าปล่อยให้คนขับรถรอนาน”

“เดี๋ยวก่อน เจ้ารออีกสักครู่”

ไม่รู้ว่านักพรตเฒ่านึกอะไรได้ เดินไปที่ด้านหน้าเทวรูปในตำหนัก หยิบธูปขึ้นมา จุดธูปบูชาพลางกล่าวพึมพำว่า “ศิษย์ไม่สามารถบูชาท่านได้ชั่วคราวแล้ว”

เขาปักธูปลงบนกระถางธูป มองดูขี้เถ้าของธูปที่พึ่งเผาไหม้ ยิ้มแล้วดึงผ้าสีเหลืองเก่าๆ บนโต๊ะบูชา เดินไปอยู่ตรงหน้าเทวรูปบนแท่นหิน เอาผ้าเหลืองคลุมไว้ ห่อบนร่างเทวรูป

หลังจากเสร็จแล้ว เขาก็ดึงซานหยวนมากราบคำนับ มองอย่างทำใจไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงได้หันหลังแล้วจากไป

ฉินหลิวซียืนอยู่หน้าประตู มองดูเทวรูปดินเหนียวด้วยสายตาที่ลุ่มลึกเล็กน้อย

เทวรูปมองดูพวกเขาจากไปอย่างสงบ ราวกับไม่เคยมีแสงอันศักดิ์สิทธิ์สถิตลงมา แต่ในเวลานี้มีแสงแดดส่องผ่านหน้าต่างที่ผุพัง สาดส่องลงบนศีรษะของเทวรูปพอดี ดวงตาคู่หนึ่ง ราวกับมีแสงสีทองที่กำลังดับลง

เมื่อกลับไปที่เมืองเอ้อ ขณะที่กำลังเข้าประตูเมือง รถม้าของพวกฉินหลิวซีกลับถูกขวางทางเอาไว้

แม้ว่าคนขับรถจะเป็นคนของตระกูลเว่ย แต่เนื่องจากเป็นคำขอของฉินหลิวซีเอง จึงไม่ได้นั่งรถของบรรดาเจ้านายในจวน เพียงแค่ใช้รถที่เรียบง่ายมั่นคง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อกลับเข้าเมืองจะถูกทหารเฝ้าประตูที่ไม่ดูตาม้าตาเรือขวางไว้

“ข้าน้อยจะไปเอาป้ายแขวนเอวขอรับ” คนขับรถกลัวจะทำให้ฉินหลิวซีไม่พอใจ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

ฉินหลิวซีส่ายหน้า “ไม่จำเป็น รอสักหน่อยก็ไม่เป็นไร”

นางเปิดประตูรถ มองออกไปข้างนอก มีองครักษ์สวมชุดดำหลายคนกำลังขี่ม้าเข้าเมืองเพื่อเปิดทาง ไม่สนใจว่าคนที่เดินทางอยู่สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่ หยิ่งผยองเป็นอย่างมาก

ด้านหลังพวกเขา มีรถม้าที่ลากด้วยม้าสองตัว ซึ่งขับอย่างมั่นคงมาก

ฉินหลิวซีไปนั่งอยู่ท้ายรถ มองไปยังทิศทางของรถม้าคันนั้น ก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อย

“พวกเจ้าก็ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเอ้อมานานแล้ว สัญลักษณ์ประจำตระกูลของรถม้าคันนั้นเป็นของตระกูลไหน รู้หรือไม่” ฉินหลิวซีถามนักพรตเฒ่า

นักพรตเฒ่าเหลือบมอง ส่ายหน้า

ซานหยวนกลับมองเห็นสาวใช้คนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างเพลารถม้า คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าจะเป็นทูตขนส่งเกลือตระกูลหลิว ข้าจำบ่าวรับใช้ผู้นั้นได้ ดูเหมือนจะเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายนายหญิงใหญ่ตระกูลหลิว ข้าจำได้ว่าเป็นเพราะนายหญิงใหญ่หลิวถูกเด็กผู้หญิงชนเข้า บ่าวรับใช้จึงได้ตบแม่หนูคนนั้น แม่หนูคนนั้นถูกตบจนฟันร่วงสองซี่”

ฉินหลิวซีได้ฟังดังนั้น แววตาก็มีความเข้าใจในทันที “ไม่แปลกใจเลย ที่แท้ก็เป็นเจ้านายจอมเผด็จการ”

บางครั้งดูบ่าวรับใช้ก็สามารถดูออกถึงนิสัยของเจ้านาย เพียงแค่บ่าวรับใช้ก็ตบจนแม่นางน้อยฟันร่วง เห็นได้ว่าเจ้านายเป็นคนร้ายกาจ

“ทำไมหรือ”

ฉินหลิวซีบุ้ยปากไปทางรถม้าคันนั้น เอ่ยว่า “บนรถม้าคันนั้นปกคลุมไปด้วยพลังงานหยินชั่วร้าย คนในนั้นเกรงว่าจะโชคร้ายครั้งใหญ่แล้ว”

อาจารย์และลูกศิษย์ต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก พากันมองไป แต่ก็ไม่เห็นอะไร

ไยความแตกต่างระหว่างคนเราจึงได้มากมายขนาดนี้ น่าโมโหนัก!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท