ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 484 โคมไฟ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 484 โคมไฟ

เทศกาลโคมไฟไม่เพียงจัดขึ้นในวันที่สิบห้าเดือนจันทรคติเท่านั้น แต่เริ่มจัดตั้งแต่งานชมโคมไฟวันที่แปดจนถึงวันที่สิบเจ็ดเดือนจันทรคติ

ลั่วเซิงลูบคลำเทียบเชิญสีทองอันวิจิตรแล้วส่งคนไปตอบรับคำเชิญองค์หญิง

การเผชิญหน้ากับองค์หญิงที่ทำทุกอย่างตามอำเภอใจ ขัดเคืองให้น้อยจะดีที่สุด

กิ่งก้านต้นหลิ่วบนจันทรา โคมไฟลวดลายสวยงามสว่างไสวราวกับกลางวัน

ลั่วเซิงไปพบองค์หญิงฉางเล่อแล้วเดินบนถนนยาวสิบลี้ที่ประดับประดาไปด้วยโคมไฟนับพัน

พวกนางสวมชุดสีขาวกระโปรงปักเหมือนกับสตรีส่วนใหญ่ ไม่มีผู้ใดสังเกตเมื่อเดินท่ามกลางฝูงชน

“อาเซิงได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหรือยัง” จู่ๆ องค์หญิงฉางเล่อก็หันไปถาม

ลั่วเซิงเผยสีหน้างุนงง “เมื่อคืนหรือเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ราวกับคุยเล่นว่า “เซียวกุ้ยเฟยได้รับความตกใจในหอเซวียนเต๋อทำให้คลอดบุตรก่อนกำหนด”

“เรื่องนี้เองหรือ ได้ยินมาบ้างเพคะ” ลั่วเซิงตอบด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสนใจนัก

ดวงตาองค์หญิงฉางเล่อมีประกายวาบผ่าน ยิ้มพูดว่า “ข้าคิดว่าเจ้าจะอยากรู้เสียอีก”

ลั่วเซิงเดินต่อไปด้านหน้า หลีกทางให้เด็กหญิงที่ถือโคมไฟกระโดดโลดเต้นไปมา “ได้ข่าวว่าถูกนางสนมสองคนทำร้ายมิใช่หรือ เกิดเรื่องแบบนี้ในวังไม่ใช่เรื่องแปลกมิใช่หรือเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อยกมุมปากยิ้ม “ก็ใช่ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว อาเซิง นี่เป็นครั้งแรกที่เราออกมาชมโคมไฟด้วยกันหลังจากที่ข้ากลับมาเมืองหลวง ให้ข้าซื้อโคมไฟให้เจ้าเถอะ”

นางหยุดเดินและชี้ไปที่แผงขายโคมไฟตรงหน้ายิ้มถามว่า “อาเซิงชอบอันไหน”

ลั่วเซิงกวาดตามอง โคมไฟกระต่าย โคมไฟนางฟ้า โคมไฟดอกบัว… โคมไฟกระดาษ โคมไฟผ้า โคมไฟแก้ว เรียกได้ว่ามีทุกอย่าง

ท่ามกลางความคึกคัก เสียงราบเรียบขององค์หญิงฉางเล่อดังขึ้น “อาเซิง เจ้าคิดว่าโคมไฟนกยูงนั่นเป็นอย่างไร ข้าจำได้ว่าในอดีตเจ้าชอบนกยูงที่สุดเลย”

ลั่วเซิงมองไปที่โคมไฟนกยูงนั่น

ลั่วเซิงพยักหน้าคล้อยตาม “สวยดีเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อแววตาลุ่มลึก มุมปากยังคงยกขึ้น นางสั่งสาวใช้ที่อยู่ข้างหลังว่า “ซื้อโคมไฟนกยูงนั่นให้อาเซิง”

สาวใช้ขานตอบทันที เดินขึ้นไปคุยกับเจ้าของแผง ไม่นานก็ถือโคมไฟนกยูงมาให้ลั่วเซิง

ลั่วเซิงรับโคมไฟมาแล้วพูดว่า “เช่นนั้นให้หม่อมฉันซื้อโคมไฟให้องค์หญิงด้วยเถอะ องค์หญิงทรงชอบอันไหนเพคะ”

“โคมไฟกระต่ายนั่นแล้วกัน” องค์หญิงฉางเล่อตอบ

ทั้งสองถือโคมไฟและเดินเอ้อระเหยในทะเลโคมไฟ

หลังจากได้ชมดอกไม้ไฟอันงดงามแล้ว องค์หญิงฉางเล่อก็ถอนหายใจเบาๆ “ข้าเหนื่อยแล้ว อาเซิง เรากลับกันเถอะ”

“เพคะ”

ทั้งสองหันหลังเดินไปยังทางเข้าของถนนเส้นนี้ด้วยกัน

รถม้าสองคันจอดรอพวกนางอยู่ที่นั่นนานแล้ว

ลั่วเซิงกล่าวลาองค์หญิงฉางเล่อ ถือโคมไฟขึ้นรถม้าไป

องค์หญิงฉางเล่อที่ขึ้นรถม้าไปเช่นกันสีหน้าเยือกเย็นลง นางสั่งสาวใช้ สาวใช้กระซิบบอกคนขับรถม้าสองสามคำ หลังจากที่รถม้าวิ่งไปได้ระยะหนึ่งก็ย้อนกลับมา

ถนนยังคงเต็มไปด้วยผู้คน คึกคักอย่างยิ่ง

องค์หญิงฉางเล่อยืนในที่มืด เสียงแผ่วเบาจนราวกับว่าแค่ถูกลมพัดก็จะมลายหายไป “เหมือนว่าเจ้าจะพูดถูกแล้ว…”

ชายที่ยืนอยู่ในที่มืดเช่นกันยิ้ม “องค์หญิงทรงทดลองแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงฉางเล่อเม้มปากเบาๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความมืดมิด แสงจากโคมไฟมากมายก็ไม่อาจส่องเข้าไปในดวงตาของนางได้ “หลังจากกลับมาเมืองหลวง ข้ารู้สึกว่าอาเซิงแปลกมาตลอด เพียงแต่ไม่ได้ตั้งใจคิดดีๆ บัดนี้เห็นทีนางคงสูญเสียความทรงจำไปแล้วจริงๆ”

นางมองชายหนุ่มโดดเด่นสง่างามแล้วถามเสียงขรึมว่า “ซูเย่า เจ้าดูออกได้อย่างไร”

ซูเย่ามองแสงสว่างด้านนอก พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “คงเป็นความรู้สึกกระมัง หลังจากที่คุณหนูลั่วเกิดเรื่องที่จินซา กระหม่อมก็รู้สึกราวกับว่านางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน…”

องค์หญิงฉางเล่อฟังเงียบๆ

ซูเย่ามององค์หญิงฉางเล่อ มุมปากที่ยกขึ้นดูแปลกพิกลเล็กน้อยในที่มืด “กระหม่อมมีคำถามหนึ่งที่คิดมานานก็ยังหาคำตอบไม่ได้ อยากขอคำแนะนำจากองค์หญิง”

“ว่ามาสิ” องค์หญิงฉางเล่ออารมณ์ไม่ดีนัก เมื่อรู้เรื่องการสูญเสียความจำของสหาย น้ำเสียงของนางก็เจือความรำคาญเล็กน้อย

ซูเย่าไม่แยแส เขาถามขึ้นทีละคำว่า “คนที่สูญเสียความทรงจำไปแล้ว จะยังเป็นคนเดิมหรือไม่”

องค์หญิงตกตะลึง มองชายตรงหน้านิ่ง

เขาที่ยืนอยู่ในที่มืดดูผุดผ่องราวกับหยก สายตาเยือกเย็น ริมฝีปากเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีความหมาย ทำให้นอกจากเขาจะมีความงามที่โดดเด่นแล้ว ยังมีสิ่งที่หนุ่มรูปงามเหล่านั้นไม่มี

นั่นคือคุณสมบัติพิเศษที่องค์หญิงฉางเล่ออดไม่ได้ที่จะหลงใหล

คนๆ นี้ช่างน่าสนใจจริงๆ น่าสนใจกว่าอาเซิงในบัดนี้เสียอีก

เมื่อคิดถึงลั่วเซิง สายตาขององค์หญิงฉางเล่อก็เยือกเย็นลง คำพูดเมื่อครู่นี้วนเวียนอยู่ในใจ คนที่สูญเสียความทรงจำไปแล้ว จะยังเป็นคนเดิมหรือไม่

อาเซิงไม่ใช่อาเซิงที่มีความทรงจำร่วมกันกับนางคนนั้นอีกแล้ว เช่นนั้นนางยังคงเป็นอาเซิงหรือไม่

ไม่ใช่อาเซิงของนาง… องค์หญิงฉางเล่อเม้มปากเบาๆ เจตนาสังหารวาบผ่านในดวงตา

ซูเย่ารับรู้ได้ถึงเจตนาสังหารนั่น เขายกมุมปากอย่างพึงพอใจ

จู่ๆ องค์หญิงฉางเล่อก็มองเขา

สีหน้าซูเย่ากลับมาเป็นปกติแล้ว กำลังสบตาองค์หญิงฉางเล่อ

องค์หญิงฉางเล่อมองซูเย่านานแสนนาน จู่ๆ ก็หัวเราะ “ซูเย่า อาเซิงเคยทำผิดต่อเจ้าหรือ”

“องค์หญิงทรงถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงฉางเล่อยกมือขึ้นจัดปอยผม พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้าคิดจะยืมมือข้าคร่าชีวิตอาเซิงน่ะ”

นางคิดอย่างไรกับอาเซิงคือเรื่องหนึ่ง แต่การถูกคนใช้เป็นเครื่องมือนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

แน่นอนว่า นางไม่ได้เกลียดชายใจเหี้ยมเคลือบน้ำตาลผู้นี้

นางเคยพูดตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน

ใครจะไม่ชอบตัวเองบ้างเล่า

องค์หญิงฉางเล่อมองซูเย่าด้วยสายตาอ่อนโยนราวกับแสงจันทร์

สายตาเช่นนี้ทำให้ซูเย่าอดยิ้มไม่ได้

ท่ามกลางแสงไฟ เสียงที่ไม่แยแสของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยเวทมนตร์บางอย่าง “องค์หญิงทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก”

องค์หญิงฉางเล่อหัวเราะ เมื่อหัวเราะจนพอแล้วก็เหลือบมองเขาพลางถามว่า “เพราะอะไร”

ซูเย่าไม่ทันตอบ นางก็พูดต่อไปว่า “คงไม่ใช่เพราะอาเซิงเคยล่วงเกินเจ้าหรอกนะ”

ซูเย่าหัวเราะเบาๆ ย้อนถามว่า “แค่นี้ยังไม่พอหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เขาไม่มีวันลืมสายตาที่สตรีคนนั้นมองเขา สายตาที่ทำให้เขาฝันร้ายทุกคืน

องค์หญิงฉางเล่อหัวเราะ “พอแล้วล่ะ”

ต้องการให้คนๆ หนึ่งตาย ไหนเลยจะต้องการเหตุผลมากมายเช่นนั้น

อยากทำก็ทำ

ดอกไม้ไฟบานสะพรั่งกลางอากาศ ดอกไม้ไฟและดวงดาวพัวพันกัน ดูสวยงามตระการตา

องค์หญิงฉางเล่อและซูเย่าเงยหน้าชมดอกไม้ไฟพร้อมกัน ราวกับคู่รักที่รักกันลึกซึ้ง

ลั่วเซิงพาโค่วเอ๋อร์กลับถึงเรือนเสียนอวิ๋นย่วน หงโต้วที่อยู่ในเรือนเดินมาต้อนรับด้วยใบหน้าบูดบึ้ง พูดด้วยความโมโหว่า “คุณหนูกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”

วันนี้คุณหนูนัดพบกับองค์หญิงฉางเล่อแต่กลับไม่ได้พานางไปด้วย แต่พาโค่วเอ๋อร์ไปแทน!

เมื่อคิดถึงตนเองที่ต้องแพ้ให้กับเจ้ากีบน้อยที่ด้อยกว่าตนเองมาตลอด หัวใจของหงโต้วก็แทบจะสลาย นางมองค้อนโค่วเอ๋อร์อย่างแรง จากนั้นก็ต้องชะงัก ชี้ไปที่โคมไฟในมือของโค่วเอ๋อร์ “โค่วเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงถือโคมไฟนกยูงกลับมาเล่า”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงหงโต้วแปลกๆ ลั่วเซิงก็หยุดลง

โค่วเอ๋อร์ประหลาดใจ “โคมไฟนกยูงแล้วทำไมหรือ องค์หญิงฉางเล่อเป็นคนซื้อให้คุณหนูเรา”

เมื่อหงโต้วได้ยินก็กระจ่าง “ที่แท้คนอื่นซื้อให้นี่เอง ข้าก็ว่าทั้งๆ ที่คุณหนูเกลียดนกยูงที่สุด เหตุใดจึงถือโคมไฟนกยูงกลับมาได้”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท