ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 485 ราชครู

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 485 ราชครู

คุณหนูลั่วเกลียดนกยูงที่สุด?

ลั่วเซิงใจสั่นเล็กน้อย กลับไม่เผยสีหน้าใดๆ “เข้ามาเถอะ”

หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จ ในที่สุดก็ได้นอนบนเตียงนุ่มๆ แล้ว

บังเอิญเป็นวันเข้าเวรของหงโต้วพอดี ลั่วเซิงเรียกนางเข้ามาถามเรื่องโคมไฟนกยูง “เมื่อก่อนข้าเกลียดนกยูงหรือ”

“เจ้าค่ะ ตอนเด็กๆ ท่านกับองค์หญิงฉางเล่อเคยไปเล่นที่จวนองค์หญิงใหญ่โซ่วซาน ครานั้นท่านหยอกนกยูงที่องค์หญิงใหญ่โซ่วซานเลี้ยงเอาไว้แล้วถูกนกยูงตัวนั้นจิกเข้า ท่านจึงเกลียดนกยูงตั้งแต่นั้นมา”

ลั่วเซิงฟังเหตุผลแล้วก็ถามอย่างสงบว่า “เหตุใดก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึง”

หงโต้วกะพริบตาสองสามที “ครานั้นคุณหนูเคยบอกบ่าวว่าห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก ถึงอย่างไรครานั้นท่านก็โมโหจนหักคอนกยูงตัวนั้น วันนี้เห็นโค่วเอ๋อร์ถือโคมไฟนกยูงกลับมา บ่าวรู้สึกแปลกใจจึงอดถามไม่ได้เจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงเงียบ

หงโต้วถือโอกาสโจมตีโค่วเอ๋อร์ทันที “คุณหนู ต่อไปท่านออกไปข้างนอกพาบ่าวไปดีกว่านะเจ้าคะ เรื่องอันทรงเกียรติมากมายที่ท่านเคยทำในอดีต บ่าวเป็นผู้ติดตามท่านตลอด โค่วเอ๋อร์จะไปรู้อะไร…”

หงโต้วพูดดูแคลนโค่วเอ๋อร์ไม่หยุด ทว่าความคิดของลั่วเซิงนั้นลอยออกไปไกลแล้ว

คุณหนูลั่วถูกนกยูงจิกตอนเด็ก องค์หญิงฉางเล่อก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย งานโคมไฟคืนนี้องค์หญิงฉางเล่อกลับทดสอบนางด้วยโคมไฟนกยูง บอกว่าเป็นสัตว์ที่นางชอบที่สุด

องค์หญิงฉางเล่อดูออกแล้วว่านางไม่เหมือนคุณหนูลั่วและเริ่มสงสัยแล้วหรือ

ลั่วเซิงพิงหมอนแล้วหลับตาลง

เช่นนั้นตอนนี้ องค์หญิงฉางเล่อคิดว่าคุณหนูลั่วเปลี่ยนไปเป็นอีกคนแล้ว หรือว่าแค่สูญเสียความทรงจำ

ยืมซากคืนชีพเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินไป เห็นทีองค์หญิงฉางเล่อคงคิดว่านางสูญเสียความทรงจำ

เมื่อคิดถึงองค์หญิงฉางเล่อที่ผนึกเว่ยเหวินไว้ในรูปปั้นโซ่วเซียนเหนียงเหนียง ลั่วเซิงก็เม้มปากเบาๆ

หากเป็นคนปกติ รู้ว่าสหายสูญเสียความทรงจำคงตกตะลึงและเห็นใจ แต่องค์หญิงฉางเล่อจะคิดอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องที่พูดยาก

ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน หากองค์หญิงฉางเล่อคิดเพียงว่าจะตีตัวออกห่างนาง นางย่อมน้อมรับด้วยความยินดีอย่างหาที่สุดมิได้ แต่หากองค์หญิงจะจัดการนางเหมือนที่จัดการเว่ยเหวิน นางก็จะไม่นั่งรอความตายเช่นกัน

เด็กสาวที่สวมชุดสีขาวค่อยๆ ลืมตาขึ้น หมุนกำไลฝังอัญมณีเจ็ดสีที่อยู่บนข้อมือเบาๆ

ลองนับเวลาแล้ว หากทุกอย่างราบรื่น ภายในครึ่งเดือนจูอู่ก็คงเอาของกลับมาแล้ว สิ่งที่เอากลับมาด้วยยังมีองครักษ์จูเชวี่ยอีกจำนวนหนึ่ง

มีเงินและกำลังคน เมื่อต้องเผชิญกับองค์หญิงฉางเล่อผู้ไม่เกรงกลัวอะไร ใช่ว่านางจะไม่มีทางสู้กลับได้

วันที่สิบแปดเดือนจันทรคติ มีหอสุราเปิดร้านเหมือนกับร้านรวงเล็กใหญ่บนถนนชิงซิ่ง เพียงแต่ว่าเหล่าขุนนางเช่นเสนาบดีจ้าวที่อดทนไม่ได้กินของดีๆ มาตลอดช่วงปีใหม่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา ผู้ที่มาดื่มสุรามีเพียงขุนนางไม่กี่คนที่ไม่สนใจเรื่องการเมือง

ลั่วเซิงไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เลย

ข่าวเหล่าซื่อจื่อเสียชีวิตในเมืองหลวงแพร่ออกไปแล้ว แม้ด้วยสถานะของนางจะไม่สามารถทราบข่าวของทุกฝ่ายได้ทันท่วงที แต่ก็คิดว่าคงไม่ปลอดภัย

เหล่าอ๋องแดนไกลพร้อมที่จะเคลื่อนไหว เมื่อเร็วๆ นี้เซียวกุ้ยเฟยยังให้กำเนิดองค์หญิงน้อยก่อนกำหนดซึ่งอาจสิ้นใจได้ทุกเมื่อ หากเหล่าขุนนางยังคงกินดื่มและเที่ยวเล่นต่อไป อาจจะกลายเป็นที่ระบายความพิโรธของฮ่องเต้ก็เป็นได้

ส่วนขุนนางผู้เกียจคร้านเหล่านั้น ใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าไปวันๆ เหมือนคนเมาหรือคนที่อยู่แต่ในโลกแห่งความฝันก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากมายเช่นนั้น

เป็นดั่งที่ลั่วเซิงคาดไว้ มีฎีกาเร่งด่วนจำนวนหนึ่งวางกองบนโต๊ะมังกร ทำให้พระพักตร์ของจักรพรรดิหย่งอันเยือกเย็น

หลังจากติ้งตงอ๋องยังมีอ๋องอีกสองท่านก่อกบฏ อ๋องที่เหลือย่อมมิอาจอยู่เฉย พร้อมที่จะร่วมกบฏได้ทุกเมื่อ

แม้หลังจากที่เหล่าซื่อจื่อถูกลอบสังหาร จักรพรรดิหย่งอันก็ทรงคาดการณ์ไว้แล้ว แต่พระองค์ไม่เพียงมีราชโองการไปยังกองกำลังท้องถิ่นเพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของเหล่าอ๋องอย่างใกล้ชิด และยังเลือกนายพลที่เหมาะสมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่จะเลวร้ายลงอีก ทว่าเมื่อทุกฝ่ายเคลื่อนไหวพร้อมกัน ยังคงทำให้พระองค์ทรงรู้สึกสับสนวุ่นวายอยู่ดี

สิ่งที่ทำให้จักรพรรดิหย่งอันพิโรธยิ่งกว่าคือ ผู้บัญชาการเมืองเหอซีสมรู้ร่วมคิดกับผิงซีอ๋อง ร่วมกันก่อกบฏแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางทิศตะวันตกจึงตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่

จักรพรรดิหย่งอันทรงลุกขึ้น เอามือไพล่หลังเดินไปมา

โจวซานเดินออกไป ถามเสียงเบาว่า “มีเรื่องอะไร”

“ราชครูออกจากการกักตนแล้วขอรับ”

โจวซานตะลึง “เมื่อไหร่”

“เพิ่งส่งข่าวมาเมื่อครู่นี้ขอรับ”

โจวซานพยักหน้า เดินเข้าไปโค้งตัวลงแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท วัดไท่ชิงส่งข่าวมาว่าราชครูออกจากการกักตนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหย่งอันชะงักฝีเท้า พระพักตร์ที่ถูกปกคลุมด้วยความเยือกเย็นเปลี่ยนแปลง “ราชครูออกจากการกักตนแล้วหรือ รีบเชิญมา!”

ขณะที่โจวซานออกไปตามพระบัญชา จักรพรรดิหย่งอันก็เท้าเก้าอี้มังกรแล้วค่อยๆ นั่งลง ความคิดทั้งหมดมุ่งไปที่ข่าวราชครูออกจากการกักตน

ครานั้นราชครูบอกว่าจะกักตนสามปี เหตุใดจู่ๆ จึงออกมาเล่า

จักรพรรดิหย่งอันทรงยกจอกชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง จากนั้นก็วางลงด้วยใบหน้านิ่งขรึม หลังจากการรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ในที่สุดก็ได้เจอราชครู

ชายที่เดินตามโจวซานเข้ามามีผมสีเงินยวง ทว่าดูใบหน้าแล้วกลับมีอายุเพียงยี่สิบต้นๆ เท่านั้น

ใบหน้าที่อ่อนเยาว์และงดงาม ผมยาวสีขาวราวหิมะ ทำให้ชายคนนี้ดูแปลกประหลาดนัก

คนๆ นี้ก็คือไท่กวงเจินเหรินราชครูแห่งต้าโจว

“ถวายบังคมฝ่าบาท”

จักรพรรดิหย่งอันสุรเสียงอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมีต่อหน้าขุนนาง “ราชครูมิต้องมากพิธี”

เมื่อส่งสัญญาณให้โจวซานย้ายเก้าอี้มาให้ไท่กวงเจินเหรินนั่งลง จักรพรรดิหย่งอันก็ทรงถามว่า “เหตุใดราชครูจึงออกมาก่อนกำหนดเล่า”

ไท่กวงเจินเหรินสีหน้าเคร่งเครียด “กระหม่อมสังเกตปรากฎการณ์บนท้องฟ้าในยามค่ำคืนแล้วพบความผิดปกติ จำเป็นต้องออกมาทูลรายงานฝ่าบาท…”

จักรพรรดิหย่งอันทรงฟังเรื่องราวของไท่กวงเจินเหริน สีพระพักตร์ก็ย่ำแย่มากขึ้น

มิน่าเล่าความโกลาหลเกิดขึ้นมากมาย เรื่องเลวร้ายไม่หยุดหย่อน เพราะดาวปีศาจออกอาละวาดนี่เอง!

จักรพรรดิหย่งอันพระพักตร์นิ่งขรึม ดวงตามืดมนราวคืนมืดมิด

ขณะที่บรรยากาศปีใหม่ค่อยๆ จางหายไป ถนนชิงซิ่งกลับมาเป็นปกติ ลั่วเซิงไม่ได้พบการตอบโต้ขององค์หญิงฉางเล่อ แต่กลับพบกับเกี้ยวคันน้อยจากวังอวี้หวาแทน

สิ่งที่ต่างจากเมื่อก่อนคือผู้ที่มาครานี้ไม่ใช่โต้วหมัวหมัว แต่คือเถาหงนางกำนัลภักดีของเซียวกุ้ยเฟย

เถาหงยืนต่อหน้าลั่วเซิง อธิบายด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจว่า “บังเอิญโต้วหมัวหมัวไม่สบาย บ่าวจึงมาแทนนางเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นเจ้ารอสักครู่ อาซิ่วกำลังทำไก่ขอทานอยู่”

เถาหงยิ้มๆ “เหนียงเหนียงของเรากำลังอยู่ในช่วงอยู่ไฟ ค่อนข้างเลือกกิน บ่าวอยากย้ำเตือนอาซิ่วด้วยตนเองเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงพยักหน้า “โค่วเอ๋อร์ พาเถาหงเข้าไปหาอาซิ่ว”

“พี่เถาหงตามข้ามาเถอะ” โค่วเอ๋อร์พาเถาหงไปด้านหลัง

เมื่อถึงประตูห้องครัว เถาหงก็หยุดลง “ไม่รบกวนน้องแล้ว ข้าเข้าไปพูดกับอาซิ่วสองสามคำก็ออกมา”

ซิ่วเย่ว์กำลังเตรียมวัตถุดิบ เมื่อเห็นเถาหงเข้ามาก็ถือมีดมองนางอย่างสงบ

เถาหงเหลือบเห็นมีดทำครัวคมกริบก็ชะงักไปเล็กน้อย คำพูดที่เตรียมไว้ก็หยุดชะงักลงด้วย

ซิ่วเย่ว์ยังคงถือมีดทำครัวไว้เงียบๆ

เถาหงลอบสูดหายใจ น้ำเสียงอ่อนโยนลงเล็กน้อย “เดิมทีจะมาเชิญอาซิ่วเข้าวัง แต่เหนียงเหนียงอยู่ไฟพอดี คงไม่สะดวกแล้ว เหนียงเหนียงของเราชอบฝีมือของอาซิ่วมาก พูดถึงอาซิ่วตลอดเลย ช่วงนี้อาซิ่วสบายดีหรือไม่”

ซิ่วเย่ว์มองเถาหงอย่างงงงัน จากนั้นเหมือนกับคิดบางอย่างขึ้นได้ นางหัวเราะพูดว่า “สองวันก่อนจู่ๆ ข้าก็ปวดท้องมาก หรือว่า…”

เพราะความตื่นเต้น นางยกมีดทำครัวแวววับที่อยู่ในมือขึ้น

เถาหงตกใจจนถอยหลังไม่หยุด เกลี้ยกล่อมด้วยใบหน้าซีดขาว “อาซิ่ว ใจเย็นๆ ก่อน!”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท