ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1480 ห้ามบอกท่านพี่

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1480 ห้ามบอกท่านพี่

หลังจากส่งเสิ่นเหวินเจวี้ยนออกจากโรงน้ำชาไปแล้ว เมื่อเห็นท่าทางสงบนิ่ง รูปลักษณ์อันงดงาม และภูมิหลังของครอบครัวที่ดี ด้วยเหตุผลบางอย่าง หลีหยวนจึงรู้สึกสงสัยว่าหญิงสาวที่เสิ่นเหวินเจวี้ยนตามหาหน้าตาเป็นอย่างไร?

เพียงแต่ว่าความรักเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ที่สุดในโลกนี้

ทันใดนั้น ร่างของผู้หญิงที่บอบบางและมีเสน่ห์ก็ผุดขึ้นมาในความคิดของเขา รอยยิ้มแสนหวาน เสียงหัวเราะสดใส แต่มันคลุมเครือ ได้ยินไม่ชัด เห็นไม่ชัด

เขาหลับตาลงโดยไม่ได้ตั้งใจ พยายามมองภาพนั้นให้ชัดเจน แต่เขาไม่สามารถมองเห็นหรือได้ยินสิ่งใด ๆ เด็กสาวผู้งดงามในความทรงจำเลือนรางมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับความทรงจำเมื่อสิบกว่าปีก่อน ใช่แล้ว ในอดีตเกือบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นใคร

ทันใดนั้น หัวใจของเขาเกิดอาการบีบรัดอย่างรุนแรง ราวกับว่ามันกำลังจะทรมานเขา ทำให้เขายืนไม่อยู่จนทำให้ต้องเอนกายพิงประตู พร้อมหายใจอย่างหนัก

ไม่มีผู้ใดมองเห็น บริเวณเสาต้นหนึ่งมีร่างหนึ่งยืนอยู่อย่างเดียวดาย

กำเนิด ดับสูญ ชีวิตและความตาย ในท้ายที่สุดเมื่อเวลาผ่านไป มันยังคงกลายเป็นความเจ็บปวดที่บีบคั้นหัวใจ

เมื่อเสิ่นเหวินเจวี้ยนกลับไปที่ร้านขายผ้าจิ่นซิ่ว บังเอิญเห็นลุงเลี่ยวกำลังเก็บสินค้าเข้าคลัง และรายงานกับตนเองว่า

“นายน้อย วันนี้ด้ายสีทองขายหมดแล้ว” ลุงเลี่ยวกล่าว

เสิ่นเหวินเจวี้ยนพยักหน้า หากแต่ไม่ได้รู้สึกสงสัยแต่อย่างใด “รีบนำสิ้นค้ามาเติมเถอะ เนื่องจากด้ายสีทองเป็นที่ต้องการของตลาดมาก อย่าให้ของขาดช่วง เมื่อถึงเวลาผู้คนรู้ว่าว่าร้านขายผ้าจิ่นซิ่วของเราไม่มีสิ้นค้าอะไรเลย หากถูกแพร่กระจายออกไปคงจะไม่ดี”

ลุงเลี่ยวพยักหน้าตอบรับอย่างเร่งรีบ “ขอรับ ข้ารู้ ข้าเขียนรายการไว้แล้วและขอให้พวกลูกจ้างไปซื้อแล้ว”

เสิ่นเหวินเจวี้ยนพยักหน้าและนวดหว่างคิ้ว “วันนี้ข้ารู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย ข้าขอตัวกลับบ้านก่อน”

ลุงเลี่ยวรีบส่งเสิ่นเหวินเจวี้ยนออกไป และเขาไม่ได้ถามเลยแม้แต่น้อยว่าผู้ใดเป็นคนซื้อด้ายสีทองไปจนหมด

เมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้ นายน้อยบอกว่าเขาจะไปพบหญิงสาวที่ซื้อด้ายสีทอง แต่ตอนนี้เขากลับไม่พูดเรื่องนี้ ราวกับลืมสิ่งที่พูดก่อนหน้านี้ไปแล้ว

เมื่อมองดูรถม้าแล่นออกไปก็อดคิดถึงหลีหยวนที่มาซื้อด้ายสีทองไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ถามว่าทำไมถึงได้ซื้อด้ายสีทองไปมากขนาดนั้น

หลีหยวนบอกเพียงว่านางเป็นหญิงคนหนึ่งเท่านั้น แต่หลังจากฟังคำอธิบายของอีกฝ่ายแล้ว นางดูเหมือนหญิงที่เคยซื้อของในร้านของเขาจริง ๆ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ได้แต่ถอดใจ

เมื่อคิดดูแล้ว เด็กสาวก็ออกไปไกลมากเพื่อซื้อสิ่งของต่าง ๆ ดูเหมือนว่าครั้งที่แล้วที่นางมาซื้อของแล้วเขาจะไม่เก็บเงินจากนาง จึงทำให้นางหวาดระแวง

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ท่านลุงเลี่ยวก็รู้สึกหมดหนทาง

ผู้หญิงคนนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจจริง ๆ

สามารถเป็นที่ชื่นชอบของร้านขายผ้าจิ่นซิ่วได้ ช่างเป็นอะไรที่น่ายกย่อง

เมื่อมองในเมืองหลวง ไม่มีผู้ใดไม่ชื่นชอบร้านขายผ้าจิ่นซิ่ว อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงคนนี้กลับไม่ได้ปลื้มร้านของเรา และเดินไปรอบ ๆ ราวกับว่ามองว่าร้านขายผ้าจิ่นซิ่วเป็นสิ่งเลวร้าย

ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่กู้เสี่ยวอี้ซื้อของเสร็จแล้วก็ตรงกลับไปที่สวนชิงทันที

เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้กู้ฟางสี่ตกใจแทบตาย หลังจากเข้าไปในสวนชิงแล้ว นางก็ตามกู้เสี่ยวอี้ไปที่ห้องส่วนตัวเพื่อช่วยนางเปลี่ยนเป็นชุด และสำรวจร่างกายของหลานสาวอย่างตื่นตระหนก เมื่อเห็นว่าร่างกายของหลานสาวปราศจากรอยแผลใด ๆ นางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” กู้ฟางสี่ช่วยกู้เสี่ยวอี้สวมเสื้อผ้า และคอยสวดมนต์ขอพรจากพระโพธิสัตว์ไม่หยุด

เมื่อเห็นท่านอาของตนเองระมัดระวังมากเช่นนี้ กู้เสี่ยวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน “ท่านอา ถ้าข้าบาดเจ็บแล้วจะทำอย่างไรต่อ? เมื่อก่อนข้าก็มีแผลอยู่บ่อย ๆ ไม่ใช่หรือ ”

“ตอนนี้มันต่างออกไป ตอนนี้เจ้าโตเป็นสาวแล้ว เจ้าไม่สามารถมีแผลเป็นบนร่างกายได้ ถ้าเจ้ามีแผลขึ้นมา ข้าจะทำอย่างไร” กู้ฟางสี่ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของนางและโต้กลับ “ข้าจะบอกเรื่องนี้กับเสี่ยวหวาน ค่อยดูเถอะว่านางจะดุเจ้าว่าอย่างไร”

ทันทีที่ได้ยินว่าจะบอกเรื่องนี้กับพี่สาว สีหน้าของกู้เสี่ยวอี้ก็ตึงขึ้น และดึงแขนของกู้ฟางสี่เพื่ออ้อนวอน “ท่านอาเจ้าขา… ท่านอาที่แสนดีของข้า อย่าบอกเรื่องนี้กับท่านพี่นะเจ้าคะ ถ้าท่านพี่รู้เข้า นางต้องดุข้าแน่ ๆ”

“เจ้ารู้ด้วยหรือว่าพี่สาวของเจ้าจะดุเจ้า ถ้าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า มันจะไม่เป็นการฆ่าพี่ของเจ้าทั้งเป็นเลยหรือ” กู้ฟางสี่พูด “เจ้าเป็นผู้หญิง มีตั้งหลายคนแต่ไม่มีใครไปช่วย เจ้าเป็นผู้หญิงอ่อนแอ เจ้าจะจัดการกับม้าตัวใหญ่ได้อย่างไร เจ้าเคยคิดไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้านายน้อยคนนั้นไม่มาช่วยเจ้าไว้”

เมื่อพูดเช่นนี้ กู้ฟางสี่ก็ร้องไห้ออกมา นางไม่กล้าแม้แต่จะคิดเรื่องนี้ด้วยซ้ำ

ถ้านายน้อยคนนั้นไม่ช่วยกู้เสี่ยวอี้ในตอนนั้น เกรงว่า…

เมื่อนึกถึงเลือดที่นองไปทั่วพื้น และภาพกู้เสี่ยวอี้ที่นอนจมกองเลือด กู้ฟางสี่ไม่กล้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย มันเหมือนกำลังกรีดหัวใจของนาง

กู้เสี่ยวอี้รู้ว่าในตอนนั้นนางประมาท เมื่อเห็นท่าทางที่เสียใจของท่านอา นางจึงรู้ว่าในวันนี้ตนเองทำให้ทุกคนกังวล

“ท่านอา อย่าเศร้าไปเลย ข้าสัญญาว่าจะไม่ประมาทอีก อย่าร้องไห้เลย ถ้าท่านร้องไห้ ข้าก็จะร้องไห้ด้วย” กู้เสี่ยวอี้รีบกอดกู้ฟางสี่และสะอื้นไปด้วย

ถ้าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับนางจริง ๆ เกรงว่าท่านอากับท่านพี่คงจะร้องไห้จนตาย

“เสี่ยวอี้ ข้าไม่ได้โทษเจ้าที่ไปช่วยชีวิตคน แต่ในสถานการณ์เช่นนั้น เจ้าช่วยเขาไม่ได้เลยและยังเป็นการทำร้ายตัวเองอีก” กู้ฟางสี่เกลี้ยกล่อมนางอย่างจริงจัง “ในอนาคตถ้าจะทำอะไรก็ให้คิดถึงพี่สาว พี่ชาย และข้าให้มาก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า ครอบครัวนี้จะพังทลายลงจริง ๆ”

สิ่งที่กู้ฟางสี่พูดทำให้กู้เสี่ยวอี้รู้สึกว่าในตอนนั้นตัวเองประมาทมากเกินไป

ใช่แล้ว เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวเองถูกโยนลงมาจากภูเขาในตอนเด็ก ทั้งครอบครัวก็เป็นห่วงนางจนแทบจะเป็นบ้ากันไปแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท