ตอนที่ 1,405 นี่หรือคือความจริง?
คฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึกหลังจบสิ้นการคัดเลือกผู้ติดตามของตนเอง
เขารู้ดีว่าข้างนอกกำลังเกิดอะไรขึ้น
แต่นี่ไม่ได้สร้างความกดดันให้แก่หลินเป่ยเฉินแม้แต่น้อย
เพราะปัญหานี้แก้ไขได้ง่ายมาก
เขามีเป็นหมื่นวิธีที่จะสั่งสอนให้พวกผู้คนที่อิจฉาริษยาเหล่านี้ต้องสูญเสียทรัพย์สิน บ้านช่องพังพินาศ ครอบครัวแตกสลาย
ทันใดนั้น…
โครม!
พวกของลู่ปิงเหวินลอยก็กระเด็นเข้ามากระแทกพื้นหินหน้าบัลลังก์อย่างรุนแรง
“แม้แต่ข้า พวกเจ้าก็กล้าขวางทางหรือ?”
ร่างกายที่สูงใหญ่ของใต้เท้ากั้วก้าวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าโกรธแค้น น้ำเสียงที่ดุดันก้องกังวานไปทั่ววิหาร
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ากลุ่มคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งสี่คนมีเลือดไหลทะลักออกมาจากมุมปาก
เขากระโดดเข้าช่วยประคองบุรุษหนุ่มทั้งสี่ลุกขึ้นยืน เมื่อแน่ใจแล้วว่าทุกคนปลอดภัยไร้อันตราย หลินเป่ยเฉินจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ใต้เท้ากั้ว ท่านทำเกินไปแล้ว มาถึงไม่พูดไม่จาก็เริ่มลงมือทำร้ายผู้คน… หรือท่านคิดว่าที่นี่คือวิหารของท่าน?”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองใต้เท้ากั้วเขม็ง
“เจี๋ยนเซียวเหยา เจ้ากล้าพูดกับข้าด้วยน้ำเสียงเช่นนี้แล้วหรือ?”
ใต้เท้ากั้วใบหน้ากระตุก น้ำเสียงบอกชัดถึงความไม่พอใจ
“เหตุไฉนถึงไม่กล้า?”
หลินเป่ยเฉินช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่ผู้ติดตามของตนและสั่งให้พวกของลู่ปิงเหวินกับมู่หลินเซินไปยืนรออยู่ที่ด้านข้าง หลังจากนั้น เขาจึงเลิกคิ้วหันมาถามว่า “ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว บัดนี้ท่านกับข้าต่างก็เป็นใต้เท้าใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ ท่านยังคิดว่าข้ามีสถานะต่ำต้อยเหมือนในอดีตอยู่อีกหรือ?”
“พูดได้ดี”
ใต้เท้ากั้วหัวเราะเยาะ “เจ้านี่มันช่างเนรคุณเสียจริง หากไม่ได้ข้าคอยปกป้องเจ้าเอาไว้ เจ้าก็คงถูกเทพตะวันกับใต้เท้าฉางฆ่าตายไปแล้ว กล้าดีอย่างไรถึงได้มาทรยศข้าเช่นนี้?”
หลินเป่ยเฉินอดหัวเราะเยาะตอบกลับไปไม่ได้ว่า “ปกป้องข้า? ท่านเพียงวางแผนใช้ข้าเป็นหุ่นเชิดเท่านั้น และเมื่อข้าหมดประโยชน์กับท่าน ท่านก็จะฆ่าข้าอยู่ดี หากไม่ใช่ว่าข้าโชคดีสามารถหลอมรวมตำแหน่งใต้เท้าฉางได้สำเร็จ ป่านนี้ข้าก็คงถูกท่านฆ่าตายไปแล้วกระมัง? ตั้งแต่ต้นจนจบ ท่านมีเจตนาเพียงหลอกใช้ข้าและเห็นข้าเป็นเพียงหมูโง่ตัวหนึ่ง ท่านยังมีค่าอะไรให้ข้าสำนึกบุญคุณอีก?”
เมื่อใต้เท้ากั้วพบว่าแผนการร้ายของตนเองถูกเปิดโปงออกมา เขาก็ไม่ได้มีความละอายใจแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ กลับยังพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ที่แท้เจ้าก็รู้แล้วสินะ ฮ่า ๆๆ รู้แล้วจะอย่างไร? ไม่ว่าในอดีตข้าจะหลอกใช้เจ้าหรือเห็นเจ้าเป็นหมูโง่แค่ไหน แต่มันก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่าข้าคือคนที่ช่วยเหลือเจ้าให้มีวันนี้ เจ้าไม่คิดจะตอบแทนข้าบ้างเลยหรือ?”
“ข้าเองก็อยากตอบแทนท่าน เพียงแต่ท่านใจร้อนมากเกินไป”
หลินเป่ยเฉินโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์เต็มอัตราในร่างกาย
“เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ใต้เท้ากั้วถึงกับสะดุ้งโหยงและดูเหมือนเขาจะค้นพบอะไรบางอย่าง จึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “เจี๋ยนเซียวเหยา เจ้าโง่เขลาจริง ๆ สินะ?”
หลินเป่ยเฉินไม่ตอบรับคำใด
พลั่ก!
เขากระแทกหมัดออกไปข้างหน้า
เงาหมัดของเขาพุ่งออกไปเป็นเงามังกรทองคำที่ระเบิดเสียงคำรามดังสนั่น
ใต้เท้ากั้วเพียงยิ้มมุมปากและยกมือขึ้นกระแทกฝ่ามือใส่เงามังกรทองคำตัวนั้น
ตู้ม!
คฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ใต้เท้ากั้วยังคงยืนหยัดอยู่ที่เดิมได้อย่างแข็งแกร่งราวหินผา แม้แต่ทรงผมก็ยังไม่เสียทรงแม้แต่น้อย
“เจ้ายังอ่อนด้อยเกินไป”
เขาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเหยียดหยาม “เจ้าคิดว่าตนเองโชคดีหลอมรวมพลังกับตำแหน่งใต้เท้าฉางได้สำเร็จ ก็จะสามารถต่อสู้กับผู้ใดก็ได้อย่างนั้นหรือ?”
“แล้วไม่จริงหรือไร?”
หลินเป่ยเฉินยังคงมีสีหน้ามั่นใจคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง “นี่เป็นเพียงหมัดแรกเท่านั้น ท่านทำร้ายพี่น้องของข้าสี่คน ข้าจะต่อยท่านสี่หมัด”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดคำ
หลินเป่ยเฉินก็พุ่งตัวออกมาข้างหน้า
รวบรวมพลัง
ลำแสงสีทองสาดประกายเจิดจ้า
คลื่นพลังที่ปั่นป่วนห้อมล้อมรอบกายหลินเป่ยเฉิน
ทันใดนั้น ชุดเกราะอมตะก็ปรากฏขึ้นบนร่างกายของหลินเป่ยเฉิน มันสะท้อนประกายกับแสงไฟระยิบระยับ ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง
พลังในตัวหลินเป่ยเฉินพลันเพิ่มสูงขึ้นอีกหลายสิบเท่า
พลังอันมหาศาลนี้ทำให้มวลอากาศในวิหารเกิดความปั่นป่วน พายุหมุนแผ่ขยายไปรอบบริเวณโดยที่มีร่างของหลินเป่ยเฉินเป็นจุดศูนย์กลาง
“นี่มันอะไรกัน?”
ขณะนี้ สีหน้าของใต้เท้ากั้วได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว
พลังที่หลินเป่ยเฉินปลดปล่อยออกมาทำให้ใต้เท้ากั้วเริ่มรู้สึกได้ถึงอันตรายที่แท้จริง
แต่แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่
เพราะสิ่งที่ทำให้ใต้เท้ากั้วตกตะลึงมากที่สุดก็คือชุดเกราะที่อยู่บนตัวของเด็กหนุ่มต่างหาก
และทันใดนั้น…
พลั่ก!
หลินเป่ยเฉินก็ต่อยหมัดออกมาอีกครั้ง
ต่อยออกมาถึงสามหมัดซ้อน
มวลพลังระเบิดตัวในอากาศเสียงดังปานฟ้าผ่า
เงาหมัดพุ่งออกมาเป็นรูปร่างของพญามังกรทองคำสามตัว พวกมันพุ่งทะยานเข้าหาใต้เท้ากั้วด้วยความดุร้ายเกรี้ยวกราด
เปรี้ยง!
หลินเป่ยเฉินโจมตีออกไปอย่างไร้ไมตรี
“ประเสริฐ เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้วสินะ”
ใต้เท้ากั้วระเบิดเสียงคำรามและโคจรพลังในร่างกายตนเอง
บังเกิดเสียงพยัคฆ์คำรามดังกึกก้อง
แล้วมือของใต้เท้ากั้วก็กลายเป็นกรงเล็บเสือ ดวงตาของเขาฉายแววดุร้าย จ้องมองเงาของพญามังกรทองคำทั้งสามตัวที่พุ่งเข้ามาหาตนเองอย่างไม่เกรงกลัว
เปรี้ยง!
เปรี้ยง!
เปรี้ยง!
เสียงระเบิดดังขึ้นต่อเนื่องสามครั้ง
บนพื้นหิน เสาหินและเพดานของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนต่างก็มีม่านพลังเรืองแสงขึ้นมา นี่คือค่ายอาคมรักษาความปลอดภัยที่ป้องกันไม่ให้วิหารพังถล่ม โดยวิธีการทำงานนั้น ม่านพลังเหล่านี้จะคอยดูดซับมวลพลังทำลายล้างที่กำลังปกคลุมอยู่ในบรรยากาศให้ลดทอนอานุภาพลง
แต่ถึงกระนั้น ตัววิหารก็ยังสั่นไหวอย่างรุนแรง
แขนเสื้อของใต้เท้ากั้วฉีกขาด เผยให้เห็นถึงผิวหนังที่มีรอยฟกช้ำ
กำปั้นของเขาเกิดบาดแผลฉกรรจ์มีเลือดไหลทะลัก
กร๊อบ!
สุดท้าย ใต้เท้ากั้วก็ต้องเซถอยหลังไป
เพียงก้าวเดียวเท่านั้น
แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะอธิบายได้ถึงปัญหาจำนวนมาก
ใต้เท้ากั้วมีสีหน้าเคร่งเครียด พลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายที่กระจายหายไปถูกรวบรวมกลับคืนมาอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินลดหมัดลงและล่าถอยออกมา
ไม่ได้มีเจตนาที่จะบุกโจมตีอีก
เขาบอกว่าจะโจมตีเพียงสี่หมัด ก็ต่อยเพียงสี่หมัดจริง ๆ
และหลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้มีแผนการที่จะสร้างความขัดแย้งกับใต้เท้ากั้ว
“เป็นอย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงเรียบ “บัดนี้ ท่านคงรู้แล้วกระมังว่าต้องพูดกับข้าด้วยน้ำเสียงเช่นใด?”
“นี่มันชุดเกราะอมตะ”
ใต้เท้ากั้วกัดฟันกรอด จ้องมองชุดเกราะบนตัวหลินเป่ยเฉินไม่วางตา “หากข้าจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้เจ้าได้ครอบครองหมวกเหล็กอมตะและถุงมือเทวฤทธิ์ไปแล้ว… คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะสามารถรวบรวมชุดเกราะทั้งหมดได้จริง ๆ”
“อ้อ ท่านคงคิดไม่ถึง… แต่ข้าสามารถรวบรวมมาได้ทั้งหมดจริง ๆ”
หลินเป่ยเฉินตอบรับด้วยสีหน้าเฉยชา
ไม่ใช่เขาไม่กลัวว่าตนเองจะถูกเปิดโปงเรื่องขโมยชุดเกราะนี้ออกมาจากห้องเก็บสมบัติของท่านมหาเทพ
แต่เป็นเพราะว่าสิ่งของที่ถูกเก็บอยู่ในห้องนั้นมีเพียงท่านมหาเทพรู้แค่ผู้เดียว ส่วนบรรดาใต้เท้าใหญ่แห่งสภาเทพเจ้าทั้งห้ายังไม่ทราบข้อมูลเหล่านี้แน่ชัดด้วยซ้ำ
และท่านมหาเทพก็ไม่เคยบอกผู้ใด
ในเมื่อเรื่องนี้ไม่มีผู้ใดในโลกภายนอกรับรู้ หลินเป่ยเฉินก็มั่นใจว่าใต้เท้ากั้วที่กำลังยืนมองเขาตาขวางอยู่ในขณะนี้จึงไม่มีทางทราบความจริงเช่นกัน
นี่จึงเป็นความมั่นใจของหลินเป่ยเฉิน
ใต้เท้ากั้วเงียบงันไปอึดใจใหญ่ แต่ในที่สุด ก็สลายพลังในร่างกายของตนเองลง
หรือว่าเจี๋ยนเซียวเหยาจะเป็นผู้ที่ถูกเลือกคนใหม่จากท่านมหาเทพจริง ๆ?
เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้นในหัวใจ ใต้เท้ากั้วก็รีบสั่งให้ตนเองใจเย็นลงทันที
เมื่อทบทวนเรื่องราวอย่างละเอียดถี่ถ้วน ใต้เท้ากั้วอดรู้สึกขนลุกขึ้นมาไม่ได้
เขาเพิ่งทราบว่าตนเองมองข้ามรายละเอียดไปมากมายอย่างไม่น่าให้อภัย
อาทิ การที่เจี๋ยนเซียวเหยาสร้างชื่อเสียงโด่งดังได้อย่างราบรื่นคล้ายกับคนที่หลุดออกมาจากดินแดนแห่งความฝันนั้น หากไม่มีคนใหญ่คนโตคอยสนับสนุน เจี๋ยนเซียวเหยาจะมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
ก่อนหน้านี้ ใต้เท้ากั้วหลงเข้าใจว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของตนเอง
แต่เมื่อทบทวนดูอีกที ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว
ตัวอย่างเช่น การปรากฏตัวของกระบี่กวาดสวรรค์ซวีเซี่ยเกอในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ… เป็นไปได้อย่างไรที่บุคคลผู้นั้นจะปรากฏตัวออกมาเพื่อช่วยเหลือเจี๋ยนเซียวเหยา?
หรือคนผู้นั้นเพียงปรากฏตัวออกมาเพื่ออยากล้างแค้นส่วนตัว?
ฟังดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
แต่หากมีท่านมหาเทพอยู่เบื้องหลังเล่า?
หากนี่เป็นคำสั่งของท่านมหาเทพ ต่อให้เป็นกระบี่กวาดสวรรค์ซวีเซี่ยเกอก็ไม่มีทางขัดคำสั่งได้
สมมติว่าท่านมหาเทพเป็นผู้สนับสนุนเจี๋ยนเซียวเหยาและส่งเสริมเขาให้เข้ารับตำแหน่งหนึ่งในห้าใต้เท้าใหญ่แห่งสภาเทพเจ้า เพื่อเป็นตัวแทนในการล้างบางดินแดนทวยเทพครั้งใหม่ล่ะ?
ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ๆ
เมื่อรู้ว่าตนเองทำผิดพลาด ใต้เท้ากั้วจึงพยายามค้นหาคำตอบให้กับความผิดพลาดของตนเอง
และยิ่งใต้เท้ากั้วคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งค้นพบความจริงที่ซ่อนอยู่หลังม่านหมอกมากขึ้นเท่านั้น
ใต้เท้ากั้วล้มเลิกแผนการที่จะก่อสงครามลงไป
“ประเสริฐ เจ้าทำได้ดีมาก”
ใต้เท้าใหญ่ร่างยักษ์ปรบมือด้วยความชื่นชม “เมื่อมีชุดเกราะอมตะอยู่ในการครอบครอง เจ้าก็สามารถนั่งอยู่บนบัลลังก์ใต้เท้าใหญ่ได้อย่างภาคภูมิ แต่หากเจ้ามีจิตใจดีคิดทำเพื่อผู้คนที่อ่อนแอ เจ้าก็จะกระทำสิ่งที่ตนเองต้องการทุกอย่างไม่ได้ เพราะเจ้าต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมาด้วยเช่นกัน”