ตอนที่ 1,407 เมืองเยี่ยเฉิงโกลาหล
“ทำไมเจ้าถึงไม่อยากได้ตำแหน่งเทพเจ้าล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย “คิดว่าเจ้าไม่เหมาะสมหรือ? อย่าคิดเช่นนั้นเลย พวกเราเป็นพี่น้องกัน สิ่งที่เป็นของข้าก็เป็นของเจ้า”
เจ้ากิ้งก่ายักษ์ยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
เพราะมันเห็นเด็กหนุ่มพูดประโยคนี้กับคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งห้าคนนั้นเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองตาขวาง
เจ้ากิ้งก่ายักษ์รีบสะบัดหางและทำท่าทางประจบประแจงทันที
หางของมันตวัดกวัดแกว่งราวกับกังหันลมไฟฟ้า
เจ้าอ้วนยิ้มและยกมือเกาศีรษะด้วยความอึดอัดใจ ก่อนตอบตามความจริงว่า “มะ… มะ… มารดา… มะ… มะ… ไม่ยอม… หะ… ให้รับ… ตะ… ตะ…”
“มารดาไม่ยอมให้เจ้ารับตำแหน่งอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “เพราะเหตุใด?”
เจ้าอ้วนส่ายหน้า “มะ… มะ… ไม่ทราบขอรับ”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
เขายังไม่เคยพบมารดาของเจ้าอ้วน
แต่ฟังจากปากคำของเจ้าอ้วนก่อนหน้านี้ เขารู้สึกได้ว่ามารดาของเจ้าอ้วนเป็นคนที่เข้มงวดกับลูกชายมาก แม้นางจะเป็นเพียงหญิงชราธรรมดา แต่ก็น่าจะมีความแตกต่างจากคนทั่วไปอยู่ไม่น้อย
แล้วทำไมนางถึงไม่อยากให้เจ้าอ้วนรับตำแหน่งเทพเจ้า?
มารดาของเจ้าอ้วนรู้หรือไม่ว่าในขณะนี้ตำแหน่งเทพเจ้าหายากเพียงใด?
และมารดาของเจ้าอ้วนรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะมอบตำแหน่งเทพเจ้าให้แก่บุตรชายของนาง?
นางเป็นเพียงหญิงชราธรรมดาจริงหรือ?
คำถามใหญ่ปรากฏขึ้นในหัวใจของหลินเป่ยเฉิน
“มารดาของเจ้าพูดอะไรอีกหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
เจ้าอ้วนยิ้มด้วยความจริงใจและตอบว่า “มะ… มะ… มารดาบอกว่า… ยะ… ยะ… อยากพบพี่ใหญ่… หะ… หะ… หาก… ทะ.. ท่านมีเวลา…”
หืม?
น่าจะมีอะไรบางอย่างไม่ธรรมดาแล้วสิ
หลินเป่ยเฉินเสียเวลาคิดเล็กน้อยก็พยักหน้ากล่าวว่า “ตกลง พวกเราไปหามารดาของเจ้ากัน”
ไม่รู้เพราะเหตุใด สัญชาตญาณกำลังบอกหลินเป่ยเฉินว่าก่อนที่เขาจะเดินทางกลับออกจากดินแดนทวยเทพไปนั้น เขาสมควรไปพบกับมารดาของเจ้าอ้วนสักครั้ง บางที เขาอาจจะได้รับประโยชน์อย่างที่คิดไม่ถึงก็เป็นได้
ดังนั้น หลังจากที่ปลอมตัวเสร็จเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินกับเจ้าอ้วนก็แอบเดินทางออกไปจากคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน
…
“เมืองเยี่ยเฉิงเปลี่ยนไปมากเลยแฮะ”
ระหว่างที่เดินไปบนท้องถนน หลินเป่ยเฉินก็เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีรอยแตกร้าวด้วยความรู้สึกอันแปลกประหลาด
ที่นี่เคยเป็นพื้นที่เขตหนึ่ง
แต่กลับตกอยู่ในความวุ่นวายโกลาหล
บัดนี้ พื้นที่เขตหนึ่งไม่ได้เต็มไปด้วยบรรดานักรบเทวะและนักเวทชั้นนำอีกแล้ว แม้แต่พวกขุนนางเทพเจ้าระดับสูงก็หายหน้าหายตาไปหมดสิ้น
ส่วนผู้คนจากตระกูลผู้สูงศักดิ์ที่ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าหรูหรากลับมารวมกลุ่มกันอยู่ตามมุมถนน เฝ้ามองดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วยแววตาดุร้าย ไม่ต่างจากฝูงหมาไนที่รอคอยเหยื่อของตนเอง…
บนท้องถนนยังคงมีคราบเลือดและซากศพที่ไม่ได้เก็บกวาด
มีการเพิ่มจำนวนผู้คุมกฎในการออกลาดตระเวน แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจกลุ่มคนที่อยู่ตามมุมถนนเหล่านี้เลย
นักโทษหลบหนีคดีจำนวนมากลงมือโจมตีทำร้ายชาวเมืองผู้บริสุทธิ์
ครอบครัวและผู้ติดตามของเผ่าเทพตะวันและใต้เท้าฉางที่หลบหนีออกไปไม่ทัน ต่างก็ถูกฉุดลากออกมาจากที่พักของตนเอง พวกเขาส่งเสียงกรีดร้อง ร่ำไห้ ร้องขอความเมตตา…
บางครั้ง กลุ่มคนที่ชั่วร้ายก็รวมตัวกันหมายบุกปล้นคฤหาสน์ของเทพเจ้าระดับสูง แต่เพียงไม่กี่ลมหายใจ พวกเขาก็ถูกตลบหลังด้วยการโดนล้อมกรอบจากหน่วยผู้คุมกฎประจำเมือง…
เกิดการต่อสู้ในคฤหาสน์ที่ถูกทิ้งร้างจากหน่วยผู้คุมกฎและบรรดานักล่าสมบัติตลอดเวลา
เสียงกรีดร้องของสตรีลอยมาตามสายลม
ในยามที่เกิดความวุ่นวายโกลาหล สตรีมักจะตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงเสมอ
ห่างไกลออกไป คฤหาสน์หลังใหญ่กำลังถูกเพลิงไหม้ เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า คฤหาสน์หลายหลังที่มีอายุยาวนานนับพันปีต้องพังถล่มลงไปเพราะถูกเพลิงไหม้เช่นนี้
“วุ่นวายโกลาหลกันน่าดู”
นี่คือครั้งแรกในรอบหลายวันที่หลินเป่ยเฉินได้ออกมาสำรวจดูความเป็นไปตามท้องถนน และเขาก็อดตกตะลึงไปกับสิ่งที่ตนเองพบเจอไม่ได้
นี่คือพื้นที่เขตหนึ่งของเมืองเยี่ยเฉิง
นี่คือพื้นที่ซึ่งมีความร่ำรวยมากที่สุด มีความสะดวกสบายมากที่สุดและมีความปลอดภัยมากที่สุด
แต่บัดนี้ ที่นี่กลายเป็นดินแดนแห่งความโกลาหลและเป็นดินแดนแห่งความตาย
แม้แต่พื้นที่เขตหนึ่งยังตกอยู่ในสภาพนี้ แล้วพื้นที่เขตสองกับพื้นที่เขตสามจะมีสภาพเป็นอย่างไร?
เพียงเพราะการก่อกบฏของเผ่าเทพตะวันและกลุ่มกองกำลังของใต้เท้าฉาง เมืองเยี่ยเฉิงที่เคยสงบสุขก็กลับกลายเป็นเมืองแห่งความโกลาหลเพียงชั่วข้ามคืนเชียวหรือ?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกไม่อยากเชื่อ
หลังจากนั้นไม่นาน
หลินเป่ยเฉินกับเจ้าอ้วนก็เดินมาถึงย่านที่อยู่อาศัยในพื้นที่เขตสอง
เป็นไปตามที่หลินเป่ยเฉินคาดเดาเอาไว้ สภาพความเป็นอยู่ในพื้นที่เขตสองมีความวุ่นวายโกลาหลมากกว่าพื้นที่เขตหนึ่ง
เขาไม่เห็นหน่วยผู้คุมกฎจากสภาเทพเจ้าแม้แต่เงา
กลุ่มคนที่ควรจะเป็นหน่วยผู้คุมกฎกลับถูกแทนที่ด้วยสำนักอันธพาลใต้ดินที่สร้างความวุ่นวายโกลาหลและก่อให้เกิดความรุนแรงมากยิ่งกว่าเดิม
ร้านค้าที่เคยเปิดขายของอย่างคึกคัก หากไม่ปิดการค้าขายอย่างถาวร ร้านก็ถูกทุบทำลาย หรือไม่ก็ถูกวางเพลิงเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน…
สองฝั่งของท้องถนนเต็มไปด้วยคนเร่ร่อน เสื้อผ้าเก่าขาด ใบหน้าขาวซีด ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผล ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและอาการเหม่อลอย เวลามีผู้คนเดินผ่าน พวกเขาก็จะรีบถอยตัวหนีด้วยความหวาดกลัวทันที…
และก็ยังคงมีสตรีร่ำไห้ อุ้มทารกน้อยอยู่ในอ้อมแขน ร้องขออาหารและปฏิเสธการรับศิลาเทวะ…
กลุ่มสำนักอันธพาลปรากฏตัวอย่างดาษดื่น พวกมันต่อสู้กันอย่างป่าเถื่อนดุร้ายและอำมหิตไม่มีเหตุผล…
“ชาวเมืองพวกนี้ส่วนใหญ่เคยอยู่ในพื้นที่เขตสามหมดเลยนี่นา ทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ในพื้นที่เขตสองได้ล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองได้ก้าวเข้าสู่โลกอีกใบหนึ่ง
แม้เขาจะถามออกมาเช่นนั้น แต่หลินเป่ยเฉินก็คิดว่าตนเองรู้คำตอบแล้ว…
พื้นที่เขตสามในเมืองเยี่ยเฉิงถูกทำลายหมดสิ้น
เหตุแผ่นดินไหวที่ทำให้พื้นดินเกิดรอยแตกร้าวและมีมวลพลังสีดำไหลทะลักขึ้นมาตลอดเวลานั้น ได้ทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยในพื้นที่เขตสามไปเกินครึ่ง ไม่ทราบเลยว่ามีผู้คนต้องตกตายในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้มากมายเพียงใด
และเพียงเมื่อหนึ่งวันที่แล้วเท่านั้น รอยแตกร้าวบนพื้นดินก็ขยายบริเวณมากขึ้น ส่งผลให้มีชาวเมืองต้องเสียชีวิตอีกเป็นจำนวนมาก
เพียงชั่วข้ามคืน เทพเจ้าและพลเมืองนับล้านชีวิตก็ต้องตายไปในหลุมลึกใต้พื้นดิน
นี่รวมถึงบรรดานักรบเทวะและนักเวทจากสภาเทพเจ้าที่ประจำการอยู่ในพื้นที่เขตสามด้วยเช่นกัน
พวกเขาสามารถหลบหนีออกมาได้ทันเวลาเพียงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น
แต่ความเลวร้ายยังไม่จบสิ้น
ปรากฏสัตว์อสูรตะกายขึ้นมาจากหลุมลึกใต้พิภพ สภาเทพเจ้าส่งนักรบเทวะมาปราบปราม แต่นอกจากพวกเขาจะปราบปรามไม่สำเร็จแล้ว นักรบเทวะเหล่านั้นยังต้องเสียชีวิตอีกนับจำนวนไม่ถ้วน
มีข่าวลือว่าแม้แต่เทพเจ้าระดับสูงก็ต้องเสียชีวิตด้วยฝีมือของอสูรจากใต้พิภพเหล่านั้นเช่นกัน
โชคดีที่ทางสภาเทพเจ้าสร้างม่านพลังปิดกั้นพื้นที่เขตสามออกจากพื้นที่เขตสองได้สำเร็จ และนั่นจึงทำให้อสูรจากใต้พิภพสามารถออกหากินได้แต่เพียงในอาณาเขตของพื้นที่เขตสามเท่านั้น
“น่าแปลก”
“สัตว์อสูรเหล่านั้นปกติแล้วออกหากินอยู่ในหุบผาอเวจีไม่ใช่หรือ?”
“แล้วพวกมันออกมาจากรอยแยกใต้พื้นดินได้อย่างไร?”
“หรือว่าเหตุแผ่นดินไหวจะทำให้ประตูมิติของหุบผาอเวจีเปิดออก และรอยแยกใต้ดินเหล่านั้นก็เป็นประตูมิติที่นำพวกมันขึ้นมาสู่พื้นที่เขตสามโดยไม่ได้ตั้งใจ?”
หลินเป่ยเฉินรู้แล้วว่าความเปลี่ยนแปลงในเมืองเยี่ยเฉิงมีความน่าสะพรึงกลัวมากกว่าสิ่งที่ตนเองเคยได้ยินมามากมายหลายเท่า
“ถะ… ถะ… ถึงแล้วขอรับ”
เจ้าอ้วนกล่าว
พวกเขามาถึงพื้นที่รกร้างหน้าบ้านพักหลังหนึ่ง
เมื่อหลินเป่ยเฉินกำลังจะเปิดประตูรั้วผลักเข้าไป หัวใจก็กระตุกวูบ
“ช้าก่อน”
เสียงของราชาหมาป่าศิลาดังขึ้นในหัวของเขา
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงัก
“คนที่ข้ากำลังตามหาอยู่ที่นี่ รีบเอาข้าออกมาเดี๋ยวนี้…” น้ำเสียงของราชาหมาป่าศิลาบอกถึงความร้อนรนไม่น้อย
“ไม่มีปัญหา”
หลินเป่ยเฉินรีบควักกระบองทมิฬออกมาจากที่เก็บของวิเศษในเป้ากางเกงของตนเองทันที