ตอนที่ 1,408 ท่านแม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้น
เมื่อเปิดประตูรั้วเข้าไป
พวกเขาก็พบเจอกับต้นไม้ใหญ่สองต้นตั้งอยู่หน้าบ้านหลังเก่า
ต้นแรกเป็นต้นท้อ
อีกต้นก็เป็นต้นท้อเช่นกัน
ต้นท้อทั้งสองต้นนี้ตั้งอยู่เคียงคู่กัน ใต้เงาไม้ตั้งไว้ด้วยเก้าอี้หินตัวหนึ่ง หญิงชราผมสีขาวนั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้ ในมือของนางถือไม้เท้าด้ามหนึ่ง
บรรยากาศเงียบสงบราวกับกำลังอยู่ในภาพวาด
ครืด!
กระบองทมิฬในมือหลินเป่ยเฉินยิ่งสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงมากขึ้น
นี่แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นของราชาหมาป่าศิลา
“ใจเย็นก่อน”
หลินเป่ยเฉินรีบลูบกระบองอย่างปลอบประโลม “รอยืนยันตัวก่อนสิ… เจ้าแน่ใจหรือว่ามารดาของเจ้าอ้วนเป็นคนที่เจ้ากำลังตามหาอยู่จริง ๆ?”
“ย่อมแน่ใจ เป็นนาง ต้องเป็นนางแน่นอน… นางคือองค์หญิงใหญ่แห่งแดนจูอวิ๋น”
ราชาหมาป่าศิลาเสียงสั่นเครือ ตื่นเต้นราวกับมัจฉาที่ได้กลับคืนสู่มหาสมุทรอีกครั้ง
ว่าไงนะ?
มารดาของเจ้าอ้วนเป็นองค์หญิงใหญ่?
หลินเป่ยเฉินลองสะบัดกระบองในมือแรง ๆ “ตั้งสติหน่อยสิ นี่คือมารดาของเจ้าอ้วนนะ ไม่ใช่องค์หญิงที่ไหนสักหน่อย…”
“เจ้าจะไปรู้อะไร?”
ราชาหมาป่าศิลาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “อย่าได้ดูหมิ่นองค์หญิงเด็ดขาด มิฉะนั้น อย่าหาว่าข้าไม่เตือน…”
หลินเป่ยเฉินคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็นำกระบองทมิฬเก็บกลับเข้าไปในเป้ากางเกงของตนเองอีกครั้ง
“เข้าไปสงบสติอารมณ์อยู่ในนั้นก่อนเถอะนะ”
เขาสื่อสารผ่านทางพลังจิต
และในเวลาเดียวกันนี้ หญิงชราผมขาวผู้นั่งอยู่ใต้ต้นท้อก็ค่อย ๆ หันหน้ามองมาพอดี
นางเป็นเพียงหญิงชราผู้หนึ่ง
บนใบหน้าปรากฏริ้วรอยแห่งกาลเวลา ตีนกาจำนวนมากปรากฏที่หางตา ผมยาวสลวยเป็นสีขาวราวกับหิมะ ร่างกายอ้วนท้วม ผิวหนังแตกลายและเหี่ยวย่นราวกับเปลือกส้มที่เหี่ยวแห้ง ลมหายใจแผ่วเบาไม่ต่างไปจากเปลวเทียนที่พร้อมดับได้ทุกเมื่อ…
สิ่งเดียวที่ทำให้นางแตกต่างไปจากหญิงชราในรุ่นราวคราวเดียวกันก็คือดวงตาที่แจ่มใสกระจ่างจ้า บอกถึงความทรงภูมิปัญญาที่ไม่อาจหาได้จากหญิงชราในวัยเดียวกัน
“ท่านแม่ พี่ใหญ่มาแล้วขอรับ”
เมื่อเจ้าอ้วนเห็นมารดาของตน การพูดของเขาก็กลับมาเป็นปกติ ราวกับเป็นคอมพิวเตอร์ที่ได้รับการติดตั้งซาวนด์การ์ดรุ่นใหม่ล่าสุดก็ไม่ปาน
หญิงชราผมขาวมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ แต่ยากที่จะบอกได้ว่านางกำลังสงสัยเขา กำลังวิเคราะห์เขา หรือกำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่…
ดวงตาของหญิงชราเย็นชาราวกับทะเลสาบพันปี
“โอสถรักษาโรคบุปผามรณะก่อนหน้านี้ เราผู้เฒ่าคงได้รับความกรุณาจากใต้เท้าเจี๋ยนแล้วกระมัง?” เสียงของหญิงชราแหบแห้งเล็กน้อย
หลินเป่ยเฉินถึงกับต้องประหลาดใจ
นี่หมายความว่าอย่างไร?
นางมองออกมาโดยตลอดเลยหรือ?
นี่มัน…
มารดาของเจ้าอ้วนฉลาดเกินไปแล้ว
ฉลาดจนไม่น่าจะเป็นเพียงตัวประกอบธรรมดา
หลินเป่ยเฉินคิดไปคิดมาก็นึกได้ว่าตนเองกำลังจะเตรียมเปิดสำนักโอสถเป่ยเฉิน จึงไม่มีเหตุผลใดที่เขาต้องปิดบังอีกต่อไป “เป็นข้าเอง”
“เราผู้เฒ่าต้องขอบคุณใต้เท้าเจี๋ยนมากแล้ว”
หญิงชราลุกขึ้นและประสานมือคำนับด้วยร่างกายอันสั่นเทา
เจ้าอ้วนรีบวิ่งเข้าไปประคองมารดาของตนเอง
“ผู้อาวุโสไม่ต้องเกรงใจ”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพว่า “ถึงอย่างไรเจ้าอ้วนก็เป็นน้องชายร่วมสาบานของข้า ก่อนหน้านี้ ยังไม่แน่นอนว่าโอสถที่ข้าให้ท่านรับประทานนั้นจะได้ผลหรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเหตุบังเอิญทั้งสิ้น”
หญิงชรามีสุขภาพย่ำแย่ นางทรุดกายนั่งลงไปบนเก้าอี้หินอีกครั้ง “ใต้เท้าช่วยหลอมรวมโอสถที่รักษาโรคบุปผามรณะ นับว่าน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก เราผู้เฒ่าขอบังอาจสอบถาม โอสถพวกนั้นเป็นท่านได้มาจากดินแดนอื่นใช่หรือไม่?”
“ดินแดนอื่นอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินไม่เข้าใจว่าคำนี้มีความหมายอย่างไรกันแน่
ดินแดนอื่นคือดินแดนไหนนะ?
“ใต้เท้าคงไม่ทราบกระมังว่าโรคบุปผามรณะระบาดมาจากดินแดนอื่น?”
หญิงชราถามออกมาอีกครั้ง
“เอ่อ…”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นนวดขมับของตนเองและตอบว่า “ท่านป้าคงหมายถึงดินแดนอื่นที่ไม่ใช่ดินแดนทวยเทพ…”
“ถูกต้อง มันเป็นโรคที่ระบาดมาจากดินแดนต่างภพภูมิ”
หญิงชราไม่กล้าปิดบังจึงตอบรับอย่างตรงไปตรงมา
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วขบคิดอยู่อีกพักใหญ่ สุดท้ายก็ถามออกมาว่า “ถ้าอย่างนั้น… ท่านป้าก็คงมาจากดินแดนต่างภพภูมิเช่นกันกระมัง?”
“เราผู้เฒ่ากับบุตรชายย่อมมาจากดินแดนในภพภูมิอื่น”
หญิงชรายังคงตอบคำถามแต่โดยดี
เมื่อนึกถึงอาการของวิญญาณราชาหมาป่าศิลาก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินก็อดประหลาดใจไม่ได้ โชคดีที่เขายังไม่ได้ออกตัวแรงมากเกินไป
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักเล็กน้อยและตัดสินใจทดสอบอะไรบางอย่าง “ไม่ทราบท่านป้ารู้จักดินแดนที่ชื่อว่าจูอวิ๋นหรือไม่?”
ครั้งนี้ เป็นฝ่ายหญิงชราบ้างที่แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
“ใต้เท้าเป็นคนจากภพภูมิอื่นจริง ๆ ด้วย”
หญิงชรากล่าวด้วยความเหลือเชื่อ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว มีเพียงผู้คนจากภพภูมิที่สูงส่งเท่านั้นจึงจะมีพรสวรรค์ทุกด้านเช่นนี้ เพียงปรากฏตัวขึ้นมา ก็สามารถครอบครองความยิ่งใหญ่ในดินแดนทวยเทพได้ในระยะเวลาสั้น ๆ …ปริศนาทุกอย่างไขกระจ่างแล้ว”
โอ๊ะ นี่มัน…
ดูเหมือนจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้วสิ
เมื่อมารดาของเจ้าอ้วนเห็นหลินเป่ยเฉินไม่พูดอะไร ก็นึกว่าเขายอมรับโดยปริยาย นางผงกศีรษะเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ผู้ต่ำต้อยมาจากดินแดนจูอวิ๋น ไม่ทราบว่าใต้เท้ารู้จักที่นั่นด้วยหรือ?”
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินเชื่อคำพูดของราชาศิลาหมาป่าหมดหัวใจแล้ว
เขาล้วงมือเข้าไปควักกระบองทมิฬออกมาจากเป้ากางเกงพลางกล่าวว่า “ข้าไม่รู้จักหรอก แต่วิญญาณที่สิงอยู่ในกระบองท่อนนี้รู้จักน่ะ บางทีท่านป้าอาจจะรู้จักเขาก็ได้”
เมื่อหญิงชราจ้องมองกระบองทมิฬในมือหลินเป่ยเฉิน ดวงตาของนางก็เป็นประกายระยิบระยับ
คลื่นพลังสีดำพุ่งออกมาจากกระบอง
คลื่นพลังเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นร่างของชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง
“กระหม่อมแม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นทำความเคารพองค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของราชาหมาป่าศิลาดังกังวาน
นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของราชาหมาป่าศิลา
ชายวัยกลางคนผู้นี้คือต้นเหตุที่ทำให้ผู้เข้าแข่งขันในสนามแข่งหุบเขามรณะต้องถึงแก่ความตายเป็นจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฝีมือการต่อสู้หรือภูมิปัญญาล้วนถูกจัดอยู่ในขั้นร้ายกาจ
“ที่แท้ก็เป็นท่านแม่ทัพใหญ่กุ้ยนี่เอง คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะยังมีชีวิตอยู่”
หญิงชราผุดลุกขึ้นยืนอีกครั้ง จ้องมองวิญญาณของชายวัยกลางคนด้วยสีหน้ามีความสุข “ประเสริฐ ข้าคิดว่าท่านเป็นวิญญาณสูญสลายไปแล้วเสียอีก… ช่างโชคดียิ่งนัก”
นี่คือครั้งแรกที่นางแสดงออกถึงความสุขที่แท้จริง
เจ้าอ้วนหันมามองวิญญาณของชายวัยกลางคนที่ชื่อกุ้ยจวิ้นด้วยความสงสัย
สีหน้าของเจ้าอ้วนบอกชัดว่าเขาไม่ได้รู้จักชายวัยกลางคนผู้นี้เลย
“คนผู้นี้เป็นใครหรือขอรับพี่ใหญ่?”
กุ้ยจวิ้นหันมามองที่เจ้าอ้วนและดวงตาก็เป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความสงสัย
ระหว่างที่เขาสิงในกระบองทมิฬติดตามอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉิน กุ้ยจวิ้นเคยพบเห็นเจ้าอ้วนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แต่ก็คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ
เพราะเด็กหนุ่มร่างอ้วนผู้นี้มีความสามัญธรรมดาและโง่เขลามากเกินไป จิตใจไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมไม่ต่างไปจากเด็กทารก ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับบุคลิกสง่าผ่าเผยและมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวของเจี๋ยนเซียวเหยา เด็กหนุ่มทั้งสองคนมีบุคลิกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้นกุ้ยจวิ้นจึงคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าอ้วนจะเป็นองค์ชายนายเหนือหัวของตน
แต่ภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้านี้ ก็ทำให้กุ้ยจวิ้นได้เข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
หญิงชราพยักหน้า กำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
“เดี๋ยวก่อนนะทุกคน… ข้าขอขัดจังหวะหน่อยได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินพลันยกมือขึ้นสูงและกล่าวต่อ “ข้าขอตัวกลับก่อนดีกว่ากระมัง… คงมีหลายเรื่องที่พวกท่านไม่สะดวกให้คนนอกรับฟัง ดังนั้น พวกท่านพูดคุยกันไปเถอะ ข้าไม่อยู่รบกวนแล้ว”
“จริงด้วยสินะ”
กุ้ยจวิ้นพยักหน้าเห็นด้วย
แต่มารดาของเจ้าอ้วนกลับส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ… อันที่จริงนั้น เรื่องราวของพวกเราแม่ลูกไม่มีอะไรซับซ้อน ข้ากับบุตรชายถือกำเนิดในดินแดนจูอวิ๋น ซึ่งเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ ในภพภูมิอันกว้างใหญ่ไพศาลนอกดินแดนทวยเทพ พวกเราต่างก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นปกติสุข จนกระทั่งเกิดการโค่นล้มราชบัลลังก์ ข้ากับบุตรชายก็ถูกตามล่า โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากแม่ทัพใหญ่กุ้ยที่ยอมสละชีวิตของตนเองปกป้องพวกเราแม่ลูกให้หลบหนีมาได้สำเร็จ เขาเป็นคนเปิดประตูระหว่างภพภูมิและส่งข้ากับบุตรชายมาอยู่ที่นี่”
นี่คือคำอธิบายที่เรียบง่าย
หลินเป่ยเฉินจึงสามารถเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้โดยทันที