ตอนที่ 1,409 ภพภูมิอื่น
นี่มันพล็อตยอดนิยมของพวกซีรีส์แนวกำลังภายในเลยนี่นา?
ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงไม่ได้แปลกใจไปกับอดีตของเจ้าอ้วนและมารดาแม้แต่น้อย
แต่สิ่งที่ทำให้เขาสนใจก็คือดินแดนที่อยู่ใน ‘ภพภูมิอื่น’ นั่นต่างหาก
นี่แสดงว่านอกจากดินแดนทวยเทพแล้ว ก็ยังคงมีอยู่อีกหลายดินแดนที่เขายังไม่รู้จัก
และมันเป็นดินแดนที่อยู่ต่างมิติออกไป
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินเข้าใจว่านอกจากดินแดนทวยเทพและแผ่นดินตงเต้าแล้ว ภพภูมิอื่นที่ดำรงอยู่ในจักรวาลนี้ก็คือดินแดนของชาวเผ่าจันทราขาวเท่านั้น
แต่เมื่อฟังจากปากคำของมารดาเจ้าอ้วน ยังคงมีดินแดนที่อยู่ในภพภูมิอื่นอยู่จริง ๆ
และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินได้ยินเรื่องราวเหล่านี้
แต่บุคคลที่เคยบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้เขาฟังนั้น ออกจะไม่มีความน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่
สู้หญิงชราผมขาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าคนนี้ก็ไม่ได้
“ท่านป้าขอรับ…”
“หุบปากของเจ้าและเรียกองค์หญิงใหญ่ด้วยความเคารพมากกว่านี้”
แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นขัดจังหวะขึ้นมาทันควัน
หลินเป่ยเฉินหันขวับมามองตาขวางในทันใด “ดูเหมือนข้าจะใจดีกับท่านเกินไปสินะ ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ที่ท่านสามารถอยู่รอดได้ในดินแดนทวยเทพอย่างสะดวกสบายนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะข้าให้ที่หลบซ่อนอันแสนอบอุ่นแก่ท่านหรือ?”
“ข้า…”
แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นกลายเป็นฝ่ายที่พูดอะไรไม่ออกไปเสียเอง
เขาได้แต่ก้มหน้ามองพื้นดินด้วยความอับอาย
เจี๋ยนเซียวเหยาผู้นี้มีจิตใจน่ากลัวเหลือเกิน
คนธรรมดาที่ไหนกันเล่าจะนำวัตถุเก็บของวิเศษไปใส่เอาไว้ในเป้ากางเกงของตนเช่นนั้น
แต่แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นไม่รู้เลยว่าในชาติภพที่แล้วของหลินเป่ยเฉินซึ่งสวมใส่กางเกงที่มีกระเป๋าสองข้างนั้น การเก็บสิ่งของในกางเกงถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่ง
เพียงแต่ผู้คนในภพภูมิอื่นไม่คุ้นชินกับการเก็บสิ่งของในกางเกงเท่านั้นเอง
“ท่านป้าขอรับ ท่านป้าช่วยอธิบายหน่อยได้หรือไม่ว่าดินแดนในภพภูมิอื่นเหล่านั้น ถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินยังคงถามคำถามต่อไป
การขัดจังหวะของวิญญาณราชาหมาป่าศิลาไม่ได้ทำให้ความสงสัยของเด็กหนุ่มเลือนหายไป
หญิงชราผมขาวพยักหน้าและอธิบายว่า “เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นด้วยดินแดนอันไกลโพ้นที่มีนามว่าอาณาจักรหงหวง นับตั้งแต่ยุคบรรพกาล มันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยปริศนาและตำนานเล่าขานมากมาย ว่ากันว่าครั้งหนึ่งอาณาจักรหงหวงเคยเจริญเติบโตรุ่งเรืองมั่งคั่ง”
“ที่นั่นผู้คนดำรงชีวิตอย่างมีความสุข แต่ภายหลังกลับเกิดการรุกรานจากฝ่ายศัตรู อาณาจักรที่ดำรงอยู่มานานนับหมื่นปีจึงต้องสูญสลายลงไปด้วยภัยสงคราม แผ่นดินของอาณาจักรหงหวงแตกกระจายเป็นส่วนเล็กส่วนน้อย และแผ่นดินเหล่านั้นบางส่วนก็ได้ก่อกำเนิดเป็นโลกใบใหม่ สิ่งมีชีวิตที่สามารถอยู่รอดได้ก็เจริญเติบโตกลายเป็นประชากรของโลกเหล่านั้น…”
หลินเป่ยเฉินนึกถึงเรื่องเล่าที่เขาเคยได้รับฟังจากชาวเผ่าจันทราขาวขึ้นมาทันที
พวกเขาเล่าขานว่าครั้งหนึ่งดินแดนจันทราขาวเคยอยู่ร่วมกับแผ่นดินใหญ่ แต่เพราะมหันตภัยของสงคราม แผ่นดินของชาวเผ่าจันทราขาวจึงถูกระเบิดแยกออกมาอย่างพิสดารพันลึก หลินเป่ยเฉินยังคงจำได้ดีถึงท้องทะเลมืดทะมึนอันเวิ้งว้างกว้างไกลที่อยู่ด้านหลังดินแดนของชาวเผ่าจันทราขาวแห่งนั้น
ภาพที่หลินเป่ยเฉินเห็นในขณะนั้นเป็นสิ่งที่ผิดหลักกฎฟิสิกส์ทุกประการ
หากอัลเบิร์ต ไอสไตน์และเซอร์ ไอแซก นิวตันล่วงรู้เรื่องนี้เข้า พวกเขาก็คงต้องตะกายขึ้นมาจากหลุมศพเพื่อศึกษาเรื่องกฎฟิสิกส์ใหม่เป็นแน่แท้
“นี่เท่ากับว่าดินแดนทวยเทพก็เป็นหนึ่งในโลกที่แตกแยกออกมาจากอาณาจักรหงหวงใช่ไหมขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม “และเมืองเยี่ยเฉิงก็ถูกสร้างมาก่อนหน้านั้นแล้วใช่หรือไม่?”
สิ่งที่เด็กหนุ่มได้รับทราบมาก็คือบรรดาเทพเจ้าไม่ใช่ผู้สร้างเมืองเยี่ยเฉิง เพราะเมืองเยี่ยเฉิงดำรงอยู่มาก่อนที่จะมีผู้คนเข้ามาจับจองที่อยู่อาศัย
สิ่งที่บรรดาเทพเจ้ากระทำในอดีตก็คือการสำรวจและค้นพบดินแดนที่ถูกปล่อยร้าง ก่อนบูรณะบ้านเมืองให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“มิผิด”
หญิงชราผมขาวกล่าวตอบ “เดิมทีนั้นเมืองเยี่ยเฉิงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นด่านหน้าในการรับมือศัตรูของอาณาจักรหงหวง และเมืองด่านหน้าเหล่านี้ ก็ถูกสร้างขึ้นมามากมายหลายพันเมือง”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
มากมายหลายพันเมืองเชียวหรือ?
ต้องเข้าใจก่อนว่าเมืองเยี่ยเฉิงแห่งนี้มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล บรรดาเทพเจ้าออกสำรวจตรวจค้นจวบจนถึงปัจจุบันยังค้นพบเพียงพื้นที่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ในสายตาของสภาเทพเจ้าและหลินเป่ยเฉิน เมืองเยี่ยเฉิงและดินแดนเทพแห่งนี้คือแผ่นดินที่กว้างใหญ่มาก การที่ใครสักคนหนึ่งจะสร้างเมืองใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมาได้ นับว่าต้องอาศัยปาฏิหาริย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ปรากฏว่าเมืองเยี่ยเฉิงแห่งนี้กลับเป็นเพียงหนึ่งในเมืองด่านหน้าที่ถูกสร้างขึ้นมามากมายหลายพันเมือง?
และมันก็ไม่ได้เป็นเมืองใหญ่อะไรเลย
เรียกได้ว่ามันเป็นเมืองที่ไม่มีความสำคัญอันใดด้วยซ้ำ
หลินเป่ยเฉินพลันรู้สึกตาสว่างขึ้นมาในทันใด
เดิมที เขาก็คิดอยู่แล้วว่าต้องมีผู้คนอยู่ในมิติอื่น ๆ อีกแน่นอน แต่หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่ายังมีโลกที่เขามองไม่เห็นอยู่อีกมากมายถึงเพียงนี้
และปัญหาก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
ศัตรูประเภทไหนกันที่สามารถทำลายเมืองด่านหน้าเหล่านี้ให้แตกกระเจิงได้?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
แต่เขาไม่ใช่นักโบราณคดี
หลินเป่ยเฉินไม่ค่อยสนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์สักเท่าไหร่
“แล้วในดินแดนเหล่านั้นมีบุรุษที่หล่อเหลาและแข็งแกร่งอย่างข้าอยู่บ้างหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินยังคงถามอย่างต่อเนื่อง
หญิงชราผมขาวชำเลืองมองหน้ากากบนใบหน้าของเขาและกล่าวตอบ “หากเปรียบดินแดนทวยเทพเสมือนเป็นเม็ดทรายเม็ดหนึ่ง บรรดาโลกในภพภูมิอื่น ๆ เหล่านั้นก็เปรียบดั่งทะเลทรายอันไพศาล บัดนี้ย่อมมีผู้แข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้นมาจำนวนมาก สิ่งมีชีวิตหลายสายพันธุ์เกิดการเปลี่ยนแปลงเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง ไม่ต่างไปจากท่านมหาเทพของเมืองเยี่ยเฉิงแห่งนี้…”
หลังจากนั้น หญิงชราก็ไม่ได้อธิบายอะไรอีก
แต่หลินเป่ยเฉินได้ยินเพียงเท่านี้ก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว
ปรากฏว่ายังคงมียอดฝีมือผู้แข็งแกร่งอีกมากมายซ่อนตัวอยู่ในโลกต่างมิติ
หลินเป่ยเฉินกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ
ให้ตายเถอะ
เมื่อถึงเวลาที่ประตูมิติถูกทำลายลง ถึงตอนนั้น บรรดาผู้คนที่มีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกับท่านมหาเทพคงเดินชนกันแทบตายแล้วกระมัง?
“และโลกแต่ละใบก็มีความแข็งแกร่งแตกต่างกันไป บรรดาผู้คนที่ถูกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าในดินแดนแห่งนี้ เมื่อไปอยู่ในโลกภพภูมิอื่นก็มีค่าเป็นเพียงสุนัขข้างถนนเท่านั้น เช่นเดียวกับคนธรรมดาของโลกในภพภูมิอื่น เมื่อมาเทียบกับบรรดาเทพเจ้าในดินแดนแห่งนี้ คนธรรมดาเหล่านั้นกลับมีความแข็งแกร่งมากกว่ากันหลายร้อยเท่า…”
“มีแต่ผู้คนที่เป็นเทพเจ้าชนชั้นเจ้าชีวิตอย่างใต้เท้าใหญ่เท่านั้น จึงจะสามารถอยู่รอดในภพภูมิอื่น ตราบใดที่พวกท่านสามารถปรับตัวได้สำเร็จ ก็จะสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้อย่างไม่มีปัญหา”
“แต่หากพลังยังไม่แข็งแกร่งมากพอ ดวงวิญญาณก็จะแตกสลายสูญสิ้น”
“โอกาสอยู่รอดจึงมีไม่มาก”
เมื่อหญิงชราผมขาวเห็นหลินเป่ยเฉินมีสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง นางก็อธิบายต่อรวดเดียวจบ
ชักน่ากลัวมากเกินไปแล้วสิ
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับพลางคิดว่า ‘หากเราทะลุมิติไปอยู่โลกอื่น มีหวังได้ตายเป็นศพไร้ญาติแน่ ๆ’
โชคดีแค่ไหนแล้วที่เขาได้ทะลุมิติไปอยู่ในแผ่นดินตงเต้า
แม้ว่าจะต้องใช้เวลานานนับร้อยปี แต่หลินเป่ยเฉินก็มีเวลาเหลือเฟือให้ค้นหาหนทางเพื่อกลับคืนสู่โลกมนุษย์ใบเดิมของตนเอง
เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาจะพาบรรดาภรรยาจากจักรวรรดิเป่ยไห่พร้อมด้วยลูกหลานจำนวนมากกลับไปไหว้บรรพบุรุษที่โลกใบเก่า นั่นคงเป็นภาพแห่งความทรงจำที่สวยงามไม่ใช่น้อย
ในเมื่อเขาสามารถทะลุมิติจากโลกมนุษย์มาสู่แผ่นดินตงเต้าได้ เขาก็ต้องทะลุมิติจากแผ่นดินตงเต้ากลับสู่โลกมนุษย์ใบเดิมได้เช่นกัน
และในเมื่อหลินเป่ยเฉินสามารถทะลุมิติได้ แล้วทำไมเขาถึงจะพาคนอื่น ๆ ทะลุไปด้วยไม่ได้?
เพียงแต่หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่ายังคงมีโลกต่างมิติอยู่อีกมากมายหลายพันใบ
“ท่านป้าอยากพบข้ามีเหตุอันใดหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินรีบสงบจิตใจและกลับมาถามเข้าประเด็นสำคัญอีกครั้ง
หญิงชราผมขาวกล่าวว่า “ข้าอยากจะขอบคุณที่ใต้เท้าช่วยดูแลบุตรชายของข้าเป็นอย่างดี แล้วข้าก็อยากจะขอบคุณที่ใต้เท้ายอมให้เขาถอนตัวออกจากการแข่งขัน เพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย”
“แหม เรื่องแค่นี้เองหรือขอรับ? เจ้าอ้วนกับข้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ย่อมต้องหวังดีต่อกันอยู่แล้ว” หลินเป่ยเฉินโบกไม้โบกมือเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ
แต่ในใจกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความสงสัยว่า “จริงด้วยสิขอรับ ก่อนหน้านี้ข้าจะมอบตำแหน่งเทพเจ้าให้กับเจ้าอ้วน แต่เขากลับบอกว่ามารดาไม่ยอมให้รับตำแหน่ง หรือว่าการที่พวกท่านเป็นคนที่มาจากภพภูมิอื่นจึงเป็นอันตรายหากรับตำแหน่งเทพเจ้า?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“หมายความว่าท่านป้ายอมให้เจ้าอ้วนรับตำแหน่งเทพเจ้าแล้วกระมัง?”
“ก็ไม่ใช่อีกเช่นกัน”
“ถ้าอย่างนั้น…”
“หากบุตรชายของข้ารับตำแหน่งเทพเจ้า ร่างกายของเขาจะเกิดความเปลี่ยนแปลง และนั่นจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดีกับตัวเขาเอง…”
“งั้นท่านป้าอยากรับตำแหน่งเทพเจ้าไหมขอรับ?”
“ข้าไม่ต้องการตำแหน่งเทพเจ้า…”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นอดรนทนไม่ไหวต้องโพล่งขึ้นว่า “เหตุไฉนเจ้าถึงไม่ถามข้าบ้าง?”
“หืม? ท่านอยากได้ตำแหน่งเทพเจ้าด้วยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
“ย่อมอยากได้อยู่แล้ว”
แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นตอบกลับมาหน้าตาขึงขัง
“พูดจริงสิ?”
หลินเป่ยเฉินถามกลับเสียงเรียบ
“ย่อมพูดจริง”
แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นรีบกล่าวด้วยความกระตือรือร้น “เจ้าจะมอบตำแหน่งเทพเจ้าให้ข้าหรือไม่?”
“ข้าไม่เหลือตำแหน่งเทพเจ้าอีกแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยักไหล่อย่างไม่แยแส
“เจ้า…”
แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นคำรามด้วยความขุ่นเคืองใจ “ข้ารู้ว่าเจ้ายังมีอยู่”
“ไม่มีแล้วจริง ๆ”
“งั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน” แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นกัดฟันกรอด “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการอะไรมากที่สุด… จะบอกความจริงให้ก็ได้ ข้ายังคงพอเหลือสมบัติติดตัวอยู่บ้าง”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่มออกมาทันที “พูดเช่นนี้ตั้งแต่แรกก็ไม่มีปัญหาแล้ว… ข้ายังเหลือลูกแก้วเทพเจ้าตำแหน่งสุดท้ายอยู่พอดีเชียว”
แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นพูดอะไรไม่ออก
หลินเป่ยเฉินถามอย่างร่าเริงว่า “แต่ท่านควรตอบคำถามของข้ามาก่อนว่า ตำแหน่งเทพเจ้าเหล่านี้มีประโยชน์อะไรสำหรับท่าน? หรือถ้าจะถามให้ถูกต้องก็คือ ตำแหน่งเทพเจ้าเหล่านี้มีประโยชน์อะไรสำหรับผู้คนที่มาจากภพภูมิอื่นอย่างท่านกันแน่?”