ตอนที่ 1,416 ความเปลี่ยนแปลงในแผ่นดินตงเต้า
ในแผ่นดินตงเต้า เกิดเหตุการณ์ภูเขาพังถล่มแม่น้ำแห้งเหือด
บนท้องฟ้าสีคราม หลุมดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นราวกับเป็นส่วนของเสื้อผ้าที่ฉีกขาด มันแผ่รัศมีจากฝั่งตะวันออกสู่ฝั่งตะวันตก ทำให้ท้องฟ้ามีลักษณะแปลกประหลาดยิ่งนัก
หลุมดำบนท้องฟ้านับเป็นสิ่งอัปมงคล
บางครั้งก็จะมีควันไฟสีดำพวยพุ่งออกมา บางครั้งก็จะเป็นไอน้ำแข็งที่เย็นเยียบ และบางครั้งถึงกับมีเสียงวิญญาณอสูรโหยหวนดังสนั่น…
โลกนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว
ยุคสมัยของเทพอสูรได้มาถึงแล้ว
ไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากหลุมดำปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
ทุกสิ่งทุกอย่างในแผ่นดินตงเต้าก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
มวลพลังที่ไหลทะลักออกมาจากหลุมดำนั้นทำให้ภูเขาพังถล่ม ทำให้แม่น้ำแห้งเหือด ทำให้เนินเขาพังทลาย ทำให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมพื้นที่เพาะปลูก…
และยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น
แม้แต่สภาพอากาศก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
เหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นในหลายพื้นที่
อย่างเช่น เมื่อวานนี้อากาศร้อนอบอ้าว แสงแดดแผดเผาจนผู้คนไม่กล้าเดินออกจากที่พัก แต่ผ่านไปเพียงวันเดียว วันนี้กลับมีหิมะตกหนัก อุณหภูมิหนาวเย็น ผู้ใดก็ตามที่ก้าวออกจากที่พักก็จะต้องหนาวตาย…
ในระยะเวลาเพียงไม่นาน ชาวบ้านธรรมดาต้องเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่หลบหนีเข้าไปอยู่ในถ้ำที่ลึกที่สุด หากพวกเขาไม่ระมัดระวัง ก็ยังสามารถเสียชีวิตกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง หรือถูกแสงแดดเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านได้ในพริบตา…
พื้นดินเกิดรอยแตกร้าว
รอยแตกร้าวกินพื้นที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
แม่น้ำหลายสายแห้งขอด ก้นแม่น้ำเต็มไปด้วยซากปลาตายเน่าเหม็น
พื้นที่เมืองจำนวนมากไม่สามารถอาศัยอยู่ได้อีกต่อไป
“โฮก!”
นี่คือเสียงคำรามของพยัคฆ์แดงโลหิต มันเป็นอสูรที่เกิดการกลายพันธุ์อย่างพิสดาร ตามข้อต่อร่างกายปรากฏหนามแหลม บนหน้าผากมีเขางอกออกมา มันมีขนาดร่างกายใหญ่โตมโหฬารเท่ากับภูเขาขนาดย่อม และมันก็กำลังเงยหน้าคำรามใส่แผ่นฟ้า ประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ของตน…
…
ในป่าอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง
คนผู้หนึ่งกำลังหลบหนีผ่านผืนป่าด้วยความรวดเร็วว่องไว
น้ำตาไหลออกมาจากหางตาของนาง
เด็กสาวไม่สนใจความเจ็บปวดของกิ่งไม้ที่เกี่ยวพันตามร่างกาย แม้เสื้อผ้าจะฉีกขาดจากการถูกกิ่งไม้เกี่ยว แต่นางก็เพียงส่งเสียงครางในลำคอและเร่งความเร็ววิ่งไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง
“เร็วเข้า จับเด็กสาวผู้นั้นเอาไว้ให้ได้”
“อย่าปล่อยให้นางหนีไปได้ นายท่านสั่งมาว่าใครก็ตามที่จับตัวหูเหม่ยเอ๋อร์ได้สำเร็จ นายท่านจะมอบศิลาบูชาหนึ่งร้อยก้อนให้เป็นของรางวัล…”
“ฮ่า ๆๆ พวกเรารีบตามไปเร็วเข้า เมื่อตามไปแล้วก็จะได้รู้ที่ซ่อนตัวของเหยียนหรู่อี้และพวกลูกศิษย์ของสำนักคฤหาสน์กำยานแน่นอน”
“เด็กน้อย หยุดให้กับพวกเราเดี๋ยวนี้”
เสียงตะโกนอย่างชั่วร้ายดังไล่หลัง
ตัวประหลาดที่มีขนสีขาวขึ้นทั่วตัวสวมใส่ชุดเกราะแวววาวกระโดดขึ้นมาจากพื้นที่ราบต่ำ รีบติดตามเด็กสาวผู้หลบหนีอย่างกระชั้นชิด
หากหลินเป่ยเฉินอยู่ที่นี่ เขาก็คงจดจำได้ทันทีว่าตัวประหลาดเหล่านี้ก็คือกลุ่มอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็ก ที่เขาเคยสังหารในงานประลองกระบี่นั่นเอง
“ไม่นะ นางกำลังมุ่งหน้าไปทางอาณาเขตของพยัคฆ์แดงโลหิต”
หนึ่งในกลุ่มอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กอุทานออกมา
“นางเสียสติไปแล้วหรือไร… นั่นมันพยัคฆ์แดงโลหิตเชียวนะ อสูรที่กลายพันธุ์อย่างวิปริตเช่นนี้ หรือว่า… นางตั้งใจจะหลอกพาเราไปตายด้วยกัน?”
“พวกเราหยุด”
กลุ่มผู้ไล่ล่ารีบหยุดชะงักด้วยความตกตะลึง
อีกเพียงไม่กี่สิบวา ก็จะถึงอาณาเขตของพยัคฆ์แดงโลหิตแล้ว
นับตั้งแต่ที่ท้องฟ้าเกิดหลุมดำประหลาด ยุคสมัยใหม่ก็กำเนิดขึ้น
อสูรกลายพันธุ์ปรากฏตัวจากทุกหนทุกแห่ง พวกมันยึดครองพื้นป่าและถิ่นที่อยู่อาศัย อาณาเขตของพวกมันกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับมนุษย์
และข้างหน้านั้นก็คือพื้นที่อาณาเขตของพยัคฆ์แดงโลหิตผู้ดุร้าย
เพียงระยะเวลาสั้น ๆ อสูรกลายพันธุ์ตัวนี้ก็สามารถยึดครองพื้นที่หากินได้เป็นบริเวณหลายสิบลี้ เคยมียอดฝีมือระดับเซียนบุกเข้าไปตามล่ามันหลายคน แต่สุดท้ายก็ไม่เคยมีผู้ใดรอดชีวิตกลับออกมา…
ทุกคนต่างก็ต้องลงไปอยู่ในท้องของพยัคฆ์แดงโลหิตตัวนี้หมดสิ้น…
เมื่อได้ยินเสียงคำรามแผดก้อง
กลุ่มอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กก็ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าอีกแล้ว
“แม่นางน้อยคงรู้ว่าหนีพวกเราไม่รอดแน่ นางจึงพยายามหลอกล่อพวกเราเข้าไปที่นั่น…”
“ช่างเถอะ พวกเราไม่ต้องตามแล้ว”
“ใช่ รออยู่ที่นี่สักหนึ่งวันแล้วกัน หากพรุ่งนี้นางยังไม่กลับออกมา นั่นก็หมายความว่านางคงตายแล้ว เราจะได้กลับไปจัดการคนอื่นต่อ”
ดังนั้น กลุ่มอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กจึงหยุดตั้งหลักกันบริเวณนี้
แต่ก็มีหนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเสียดายว่า “น่าเศร้านัก ว่ากันว่าหูเหม่ยเอ๋อร์ผู้นี้คือหนึ่งในลูกศิษย์ของเหยียนหรู่อี้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักคฤหาสน์กำยาน หากจับตัวได้นะ ข้าจะขอเล่นสนุกกับนางสักหน่อย…”
“ซวีหวันก็ไม่เลวทีเดียว ว่ากันว่านางเกิดมาพร้อมผิวกายที่ขาวราวกับหิมะ”
“เฮอะ วางใจเถอะ เราเพิ่งออกตามล่าได้เพียงกี่วัน ยังมีเวลาให้ได้สนุกสนานอีกมากมายนัก เอ้อ ในส่วนของเจ้าสำนักคฤหาสน์กำยานฮั่วเฟยฮัว ข้าขอเป็นคนเล่นสนุกกับนางคนแรกแล้วกัน…”
อมนุษย์ผมขาวอีกคนยกมือลูบคางพลางพูดว่า “เหล่าผู้คนของสำนักคฤหาสน์กำยานนอกจากมีฝีมือแข็งแกร่งแล้ว พวกนางยังมีหน้าตางดงามอีกด้วย หากไม่ใช่ว่าพวกนางไม่รู้ผิดชอบชั่วดีล่วงเกินนายท่านของพวกเรา พวกนางจะพบเจอชะตากรรมที่น่าอนาถเช่นนี้หรือ…”
“ฮ่า ๆๆ…”
“ครั้งนี้ถือเป็นโชคดีของพวกเรานักที่ได้รับภารกิจให้ตามล่าตัวเหยียนหรู่อี้ นางคือหนึ่งในกลุ่มคนที่ชนะการประลองกระบี่ที่เมืองไป๋หยุน และยังถือเป็นหนึ่งในยอดหญิงงามแห่งแผ่นดินตงเต้าอีกด้วย…”
“เอาล่ะ เลิกพูดจาเหลวไหลกันได้แล้ว”
พลัน อมนุษย์ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มซึ่งมีร่างกายกำยำสูงใหญ่กว่าทุกคนกล่าวขึ้นมาช้า ๆ
ใบหน้าของมันมีรอยแผลเป็นอัปลักษณ์ที่พาดจากครึ่งหน้าฝั่งซ้ายไปครึ่งหน้าฝั่งขวา เสียงพูดของมันฟังระคายหู ทำให้อุณหภูมิรอบตัวลดลงหลายสิบเท่า
กลุ่มอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กเงียบเสียงกันโดยทันที
“แยกย้ายกำลังปิดล้อมบริเวณนี้เอาไว้ แต่อย่าล้ำเข้าไปในเขตแดนของพยัคฆ์แดงโลหิตเด็ดขาด หากผู้ใดพบเห็นหูเหม่ยเอ๋อร์ ให้จับตัวกลับมาอย่างมีชีวิต”
หัวหน้ากลุ่มออกคำสั่ง
“รับทราบขอรับ ท่านผู้อาวุโส”
หลังจากนั้น กลุ่มอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กก็แยกย้ายกันไปทำตามคำสั่ง
พวกมันจับคู่กันและกระจายกำลังบินตรวจตราอยู่บนแผ่นฟ้า ออกสำรวจรอบอาณาเขตหากินของอสูรกลายพันธุ์พยัคฆ์แดงโลหิต
ตัวประหลาดขนขาวเหล่านี้ต่างก็มีพลังอยู่ในขั้นเซียนทั้งสิ้น
…
ในอาณาเขตของพยัคฆ์แดงโลหิต
หูเหม่ยเอ๋อร์นำก้อนอึของพยัคฆ์แดงโลหิตออกมาชโลมไปทั่วร่างกายและใบหน้า ก่อนจะปิดกั้นพลังลมปราณของตนเองและเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในโพรงต้นไม้ต้นหนึ่ง
อึของพยัคฆ์แดงก้อนนี้เป็นผู้อาวุโสในสำนักของนางเสี่ยงตายแลกชีวิตเอามาให้ โดยประโยชน์ของมันก็คือกลิ่นอึจะช่วยอำพรางตัวตนของนางต่อพยัคฆ์แดงโลหิต เพราะฉะนั้น หูเหม่ยเอ๋อร์จึงสามารถหลบหนีศัตรูเข้ามาซ่อนตัวอยู่ในอาณาเขตของมันได้อย่างไม่มีปัญหา
ครั้งนี้ หูเหม่ยเอ๋อร์จำเป็นต้องใช้งานอึก้อนนี้แล้ว
น้ำตายังคงไหลหยดลงมาจากดวงตาของหูเหม่ยเอ๋อร์
ในหัวใจของเด็กสาวยังคงนึกถึงโศกนาฏกรรมของเพื่อนร่วมสำนักคฤหาสน์กำยานที่ถูกทรมานอย่างโหดร้ายทารุณ เช่นเดียวกับภาพศีรษะของศิษย์พี่ซวีหวันที่ถูกแขวนอยู่บนกำแพงเมืองเหวินเซียง…
สำนักคฤหาสน์กำยานล่มสลายแล้ว
บัดนี้ เมืองเหวินเซียงอยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็ก
ศิษย์พี่และศิษย์น้องของหูเหม่ยเอ๋อร์จำนวนมากต้องเสียชีวิตไป
ผู้อาวุโสใหญ่จากตึกที่หกและตึกที่เจ็ดต้องล้มตาย
เช่นเดียวกับรองเจ้าสำนักโจวเพ้ย
และอาจารย์ของนางอย่างเหยียนหรู่อี้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสขณะช่วยเหลือให้หูเหม่ยเอ๋อร์ได้หลบหนีออกมา บัดนี้ อาจารย์กำลังอยู่ในที่ซ่อนตัวและจำเป็นต้องได้รับโอสถเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ…
สามวันก่อน หูเหม่ยเอ๋อร์และศิษย์พี่อีกสี่คนออกมาตระเวนซื้อหาตัวยาในตัวเมือง เมื่อได้รับตัวยาที่ต้องการแล้ว ขณะจะเดินทางกลับออกมาจากในตัวเมือง พวกนางก็ถูกค้นพบโดย ‘มารกระบี่ดำ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้ามารกระบี่แห่งเผ่าพันธุ์อมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็ก
และเพื่อช่วยเหลือให้หูเหม่ยเอ๋อร์หลบหนีออกมาได้สำเร็จ ศิษย์พี่ทั้งสี่คนจึงต้องยอมสละชีวิตของตนเองในการต่อสู้…
“ข้าจะต้องมีชีวิตอยู่รอดต่อไป”
“ข้าจะต้องนำโอสถกลับไปมอบให้อาจารย์ให้ได้”
“พวกเราจะต้องมีชีวิตอยู่รอดต่อไปเพื่อแก้แค้น”
หูเหม่ยเอ๋อร์กัดฟันกรอดและสาบานกับตนเอง
แต่นางก็ยังอดรู้สึกหมดหวังขึ้นมาไม่ได้
นับตั้งแต่ที่เผ่าอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กมีกลุ่มคนจาก ‘เผ่าเทพตะวัน’ คอยหนุนหลัง สถานะของพวกมันก็ถูกยกระดับขึ้น แม้แต่ยอดฝีมือระดับเซียนก็ไม่มีผู้ใดกล้าตอแยพวกมันอีกแล้ว
บัดนี้ ประตูระหว่างภพภูมิที่เชื่อมต่อโลกมนุษย์กับสวรรค์ในแผ่นดินตงเต้าได้ถูกเปิดออก เทพเจ้าจากสวรรค์จำนวนมากลงมาใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องฐานอำนาจของจักรวรรดิต่าง ๆ
ผู้ใดที่ได้รับการสนับสนุนจากเทพเจ้า ก็จะรุ่งเรืองสู่ความยิ่งใหญ่ได้ในช่วงเวลาเพียงข้ามคืน
ส่วนผู้ใดที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากเทพเจ้า ต่อให้เป็นจักรวรรดิยักษ์ใหญ่อย่างจักรวรรดิต้าเกี๋ยนและจักรวรรดิเจิ้งหลง ต่างก็ถูกลดระดับลงกลายเป็นจักรวรรดิระดับล่างในพริบตา
สำนักคฤหาสน์กำยานไม่มีเทพเจ้าคอยหนุนหลัง
ดังนั้นจึงถูกกวาดล้างออกไป
แต่พวกนางจะแก้แค้นได้อย่างไร?
ในจิตใจของหูเหม่ยเอ๋อร์ ชื่อหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล…
หลินเป่ยเฉิน
บุรุษผู้นั้น หลังจากที่เป็นผู้ชนะในการปะลองกระบี่ที่เมืองไป๋หยุน เขาก็เก็บตัวฝึกวิชา ไม่เคยปรากฏกายออกมาอีกเลย
ก่อนหน้านี้ เขาได้รับตำแหน่งเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุนไปแล้ว ไม่ทราบว่าตอนนี้จะกลายเป็นเทพเจ้าแล้วหรือไม่?
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เกิดข่าวลือมากมาย
หูเหม่ยเอ๋อร์ได้ยินว่านครเจาฮุยซึ่งอยู่ในการดูแลของชาวทะเลนั้น เป็นเมืองเดียวเท่านั้นที่ยังสามารถรักษาฐานอำนาจของตนเองเอาไว้ได้
ไม่ทราบว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?
ไม่ทราบว่าเขายังสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้อีกหรือไม่?
หากมีผู้ใดที่จะสามารถสังหารเทพเจ้าได้ เขาก็ต้องเป็นบุคคลผู้นั้นไม่ใช่หรือ?
ในหัวใจของหูเหม่ยเอ๋อร์ นางอดนึกถึงวันเวลาในการแข่งขันประลองกระบี่ที่เมืองไป๋หยุนขึ้นมาไม่ได้
นับเป็นช่วงเวลาที่สวยงามซึ่งนางไม่มีวันลืม
ตอนนั้น สำนักคฤหาสน์กำยานยังคงเป็นหนึ่งในห้าสำนักใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน ศิษย์พี่ของนางยังมีชีวิตอยู่ ผู้อาวุโสทุกท่านยังคงแข็งแกร่งดั่งอินทรีโบยบินบนท้องนภา
ตอนนั้น หลินเป่ยเฉินมักจะพูดจาเกี้ยวพาราสีนางอยู่ทุกวัน อีกทั้งยังชอบจับมือนางไปดูลายมือโดยอ้างว่าจะดูดวงให้อีกด้วย…
แต่หูเหม่ยเอ๋อร์ก็ไม่ได้รังเกียจแม้แต่น้อย
มิหนำซ้ำ เด็กสาวยังเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าท่านอาจารย์กับศิษย์พี่จะทราบดี แต่พวกนางก็เพียงดุหูเหม่ยเอ๋อร์พอเป็นพิธีเท่านั้น เพราะทั้งอาจารย์และศิษย์พี่เองก็แอบเล่นหูเล่นตากับหลินเป่ยเฉินเช่นกัน
หูเหม่ยเอ๋อร์ดำเนินความคิดมาถึงตรงนี้ก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ร่างกายของนางอ่อนล้า และจิตใจของนางก็อ่อนแอ
ยิ่งไปกว่านั้น เด็กสาวแทบไม่เคยมีประสบการณ์เอาตัวรอดในโลกแห่งความเป็นจริงด้วยตนเองเพียงลำพัง เพราะก่อนหน้านี้ นางได้รับการคุ้มครองปกป้องดีมากเกินไป หูเหม่ยเอ๋อร์จึงไม่เคยสัมผัสประสบการณ์แห่งความขมขื่น ไม่เคยพบเจอด้านมืดของโลกมนุษย์ นางเปรียบเสมือนดอกไม้งามที่ไม่เคยพบกับพายุลมฝน… แต่ถึงกระนั้น หูเหม่ยเอ๋อร์ก็ต้องมีชีวิตอยู่รอดต่อไปให้ได้
เด็กสาวนอนหลับฝัน
นางฝันว่าบุรุษที่ตนเองนึกถึงได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
และเขาก็ยังคงพูดจาเกี้ยวพาราสีและลอบจับแขนจับขานางเช่นเคย แต่นั้นไม่สำคัญหรอก เพราะถึงอย่างไร หูเหม่ยเอ๋อร์ก็ยินดีเต็มใจให้เขาจับอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าในความฝันขณะนี้ เมื่อนางวิ่งเข้าไปสวมกอดหลินเป่ยเฉิน ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็บิดเบี้ยวและกลายเป็นมารกระบี่ดำซื่อจ้งผู้น่ากลัว
หูเหม่ยเอ๋อร์กรีดร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก
ทันใดนั้น…
พรึ่บ!
เกิดการระเบิดของเปลวไฟขนาดใหญ่
ในโลกแห่งความเป็นจริง เปลวไฟกำลังเผาไหม้เป็นกองใหญ่อยู่ห่างจากจุดซ่อนตัวของเด็กสาวไม่มากนัก
“เชี่ย นี่มัน… รถคว่ำหรือไงวะเนี่ย?”
ร่างของใครบางคนคลานออกมาจากกองเพลิงอย่างทุลักทุเล “ไม่ได้เรื่อง แบบนี้รีวิวให้ดาวเดียวแม่งซะให้เข็ด… ทำเอาเราเกือบตายแล้วไหมล่ะ เฮ้อ… พี่ไต้ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”