ตอนที่ 1,418 การแก้แค้น
“เกิดอะไรขึ้น?”
หูเหม่ยเอ๋อร์ตกตะลึง
นางคิดว่าตนเองและหลินเป่ยเฉินกำลังจะต้องตายแน่ ๆ
เพราะพยัคฆ์แดงโลหิตตัวนี้รับประทานผู้มีพลังขั้นเซียนเป็นอาหาร
นางจึงคิดไม่ถึงว่ามันจะคุกเข่ายอมศิโรราบต่อหลินเป่ยเฉิน
ราวกับว่ามันกำลังหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง…
เอ่อ…
หูเหม่ยเอ๋อร์ไม่ทราบว่าตนเองกำลังฝันไปใช่หรือไม่?
นางจึงยื่นมือไปหยิกเอวของหลินเป่ยเฉิน
“โอ๊ย เจ็บจัง”
เด็กสาวร้องอุทานออกมา นิ้วมือเจ็บแปลบเพราะเอวของหลินเป่ยเฉินแข็งแกร่งมากเกินไป
นางไม่ได้ฝันไป
“ที่นี่คือที่ไหน?”
หลินเป่ยเฉินลูบศีรษะพยัคฆ์แดงโลหิตพลางกวาดสายตามองรอบตัว “แล้วทำไมเจ้าถึงต้องเอาอุจจาระมาทาตามตัวด้วย? กลิ่นมันเหม็นเกินไปแล้ว”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็โคจรพลังปราณธาตุน้ำในร่างกาย
ละอองน้ำสาดกระจายทั่วร่างกายหูเหม่ยเอ๋อร์
ร่างกายเปียกชุ่ม
ขจัดคราบอุจจาระของเสือยักษ์ที่อยู่ตามร่างกายออกไปหมดสิ้น
แน่นอนว่าเสื้อผ้าของนางก็ต้องเปียกชุ่มด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็โคจรพลังปราณธาตุไฟ สร้างความอบอุ่นเป่าร่างกายเด็กสาวให้แห้งในพริบตา เช่นเดียวกับเสื้อผ้าของนาง ความอบอุ่นจากพลังปราณธาตุไฟของเขามีประสิทธิภาพดีกว่าเครื่องอบผ้ารุ่นใหม่ล่าสุดราวหมื่นเท่าเห็นจะได้
“ข้าหนีมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”
หูเหม่ยเอ๋อร์ยกมือขึ้นรวบผมที่เปียกชุ่มของตนเอง เผยให้เห็นลำคอที่ขาวผ่อง หยดน้ำจำนวนหนึ่งยังคงไหลกลิ้งอยู่บนผิวที่ขาวเนียนและหยดลงสู่พื้นดินอย่างช้า ๆ “ตัวประหลาดขนขาวเหล่านี้ไล่ตามข้ามา…”
…
“เกิดอะไรขึ้น?”
นอกอาณาเขตซึ่งเป็นพื้นที่หากินของพยัคฆ์แดงโลหิต กลุ่มอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กต่างก็เห็นเปลวไฟที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า คล้ายกับเกิดการระเบิดอะไรบางอย่าง แล้วตามมาด้วยเสียงกู่ร้องคำรามของพยัคฆ์แดงโลหิต พวกมันรู้ได้ทันทีว่ามีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นแล้ว
โดยเฉพาะหลังเกิดการระเบิด เสียงคำรามของพยัคฆ์แดงโลหิตดังไม่เบา นี่แสดงให้เห็นว่าอสูรร้ายกลายพันธุ์ตัวนั้นจับเหยื่อของมันได้ กลุ่มอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กจึงพยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ…
แต่เรื่องประหลาดก็คือเสียงคำรามของพยัคฆ์แดงหายไปหลังจากนั้น
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
อมนุษย์ผมขาวตัวที่เป็นหัวหน้ากลุ่มขมวดคิ้ว ทำให้รอยแผลเป็นบนใบหน้าดูน่าเกลียดน่ากลัวมากยิ่งขึ้น และพลังกดดันจากร่างกายก็แผ่ออกมาหนาแน่นมากกว่าเดิม
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หัวใจของมันรู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างประหลาด
มันก็ไม่รู้เช่นกันว่าความกังวลเหล่านั้นมาจากที่ใด
“นั่นใครน่ะ?”
ทันใดนั้น กลุ่มอมนุษย์ผมขาวที่อยู่ในบริเวณนั้นก็ร้องตะโกนขึ้นมา
ตัวที่เป็นหัวหน้าจึงหยุดชะงักและหันมองไปตามเสียง
มันจึงได้เห็นร่างของคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนต้นไม้ยักษ์ที่ห่างออกไปเพียงประมาณห้าวา กิ่งไม้ที่คนกลุ่มนั้นยืนอยู่ไหวขึ้นไหวลงตลอดเวลา
หัวใจของหัวหน้ากลุ่มกระตุกวูบ
ตัวมันเองกับต้นไม้ต้นนั้นอยู่ห่างกันไม่มาก แต่มันกลับไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนของบริวาร… สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้ อีกฝ่ายต้องมีพลังอยู่ในขั้นใดกันนะ?
“อ้อ ปกติแล้วเวลาข้าปรากฏตัวออกมา ก็จะต้องกล่าวคำคมเสียหน่อย แต่ครั้งนี้ข้าไม่มีอารมณ์”
น้ำเสียงของหลินเป่ยเฉินหนักแน่นและเต็มไปด้วยความอำมหิต
แสงจันทร์สาดส่องลงมาพอดี
หัวหน้ากลุ่มอมนุษย์ผมขาวจึงเห็นเงาร่างทั้งสามที่ยืนอยู่บนยอดไม้อย่างชัดเจน
เป็นชายสองหญิงหนึ่ง
หญิงนั้นคือหูเหม่ยเอ๋อร์ ลูกศิษย์สาวแห่งสำนักคฤหาสน์กำยานที่พวกมันกำลังตามล่าตัว
ส่วนชายอีกสองคนนั้น…
เมื่อหัวหน้ากลุ่มอมนุษย์ผมขาวเห็นหนึ่งในชายทั้งสองนั้นเต็ม ๆ ตา มันก็อดตกตะลึงไม่ได้
มันถามตนเองว่าตลอดระยะเวลาการฝึกกระบี่หลายสิบปี จนมีสภาพจิตใจที่แน่วแน่มั่นคงดั่งหินผา มันเคยเห็นบุรุษหนุ่มรูปงามจำนวนมาก แต่กลับยังไม่เคยเห็นผู้ใดมีใบหน้าที่หล่อเหลาถึงเพียงนี้มาก่อนใช่หรือไม่…
ดังนั้นหัวหน้ากลุ่มจึงไม่ได้สนใจบุรุษอีกคนที่เหลืออยู่บนยอดไม้เลย
มันจ้องมองบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาบนยอดไม้พร้อมกับเกิดความคิดว่า…
เพราะตนเองมัวแต่ตกตะลึงในความหล่อเหลาของอีกฝ่าย มันจึงชักกระบี่ช้าไปแล้ว
“ฮ่า ๆๆ นั่นไงล่ะสาวน้อยที่เรากำลังตามล่าตัวอยู่ พวกเรารีบไปจับตัวนางเร็วเข้า”
เมื่อกลุ่มอมนุษย์ผมขาวตัวอื่น ๆ เห็นหูเหม่ยเอ๋อร์ พวกมันก็ชักกระบี่ออกมาพลางส่งเสียงคำรามอย่างอดทนรอไม่ไหว
แต่ในไม่ช้า พวกมันกลับพบสิ่งที่น่าตกตะลึง
เพราะตนเองไม่สามารถขยับตัวได้
ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถขยับตัวได้อีกแล้ว
แม้แต่ตัวที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็ตาม
“พวกเราไม่มีเวลาแล้ว”
หลินเป่ยเฉินกล่าว “เหม่ยเอ๋อร์ เจ้าไปฆ่าพวกมันเถอะ”
ดวงตาของหูเหม่ยเอ๋อร์เป็นประกายด้วยความเกลียดชัง นางดึงเข็มขัดรัดเอวของตนเองออกมา…
ปรากฏว่าเข็มขัดทองคำที่รัดพันรอบเอวนั้นเป็นกระบี่ทองคำเล่มหนึ่ง
วูบ! วูบ! วูบ!
รังสีกระบี่สาดประกายวูบ
หัวของอมนุษย์ผมขาวสามตัวลอยขึ้นไปในอากาศ
โลหิตพุ่งกระฉูดราวน้ำพุ
กลุ่มอมนุษย์ผมขาวที่เหลืออยู่ตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวสุดขีด
สีหน้าของพวกมันบอกชัดถึงความตื่นตระหนก กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกด้วยความหวาดกลัว แต่ร่างกายกลับไม่อาจขยับได้เลยแม้แต่น้อย แม้แต่กระดิกนิ้วก็ทำไม่ได้ ต่อให้โคจรพลังปราณธาตุลงสู่ชุดเกราะที่สวมใส่ก็ไม่เกิดผลอันใดขึ้นเลย…
“เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่?”
หัวหน้ากลุ่มถามออกมาอย่างยากลำบาก ลำคอของมันร้อนผ่าวราวกับมีเปลวไฟลุกโชน
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ตอบคำถาม
เป็นกระบี่ในมือหูเหม่ยเอ๋อร์ที่ตอบคำถามแทน
วูบ!
แขนสองข้างพลันขาดออกจากลำตัว
โลหิตพุ่งกระฉูด
ความเจ็บปวดกลืนกินจิตใจ
หัวหน้ากลุ่มอมนุษย์ผมขาวคิดว่าตนเองไม่กลัวตาย มันเข้าใจว่าตนเองไม่เคยกลัวความเจ็บปวด แต่บัดนี้ สองแขนที่เคยถือกระบี่ฆ่าฟันผู้คนมานับไม่ถ้วนกลับตกลงบนพื้นดินไม่ต่างจากเศษขยะ ในหัวใจของมันจึงเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดเลยนอกไปจากความรู้สึกเดียว
คือความหวาดกลัว
ความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจ
“ไว้ชีวิตข้าเถอะนะ…”
ทันทีที่มันเปิดปากร้องขอความเมตตา กระบี่ทองคำก็เสียบเข้าไปในปากของมัน
“คืนชีวิตศิษย์พี่ของข้ามาสิ”
หูเหม่ยเอ๋อร์ร้องคำรามด้วยความโกรธแค้น สะบัดข้อมือและตวัดกระบี่ในแนวขวาง
และหัวหน้ากลุ่มก็รู้สึกว่าโลกทั้งใบหมุนกลับตีลังกา มันสามารถมองเห็นแผ่นหลังของตนเองได้อย่างประหลาด
หลังจากนั้น ความมืดมิดก็กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง
หูเหม่ยเอ๋อร์สะบัดข้อมือ หยดเลือดที่เกาะอยู่บนกระบี่ทองคำกระเซ็นออกไป แล้วนางก็สังหารบรรดาอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กที่เหลืออยู่อย่างไร้ความปรานี แม้ว่าพวกมันจะยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้แล้วก็ตาม
เมื่อเห็นซากศพของตัวประหลาดล้มลงนอนจมกองเลือดบนพื้นดิน เด็กสาวจึงได้หยุดยืนหอบหายใจและร้องไห้ออกมาโดยทันที
“ศิษย์พี่หนิง ศิษย์พี่อี้เฟย ศิษย์พี่เสี่ยวเยว่… ข้าแก้แค้นให้กับพวกท่านแล้ว”
หูเหม่ยเอ๋อร์ร่ำไห้และปาดคราบโลหิตออกไปจากใบหน้า
ศิษย์พี่ทั้งสามคนนั้นติดตามนางเข้าเมืองมาซื้อหาโอสถให้แก่ท่านอาจารย์ จนเมื่อพวกนางถูกเปิดโปง ศิษย์พี่ทั้งสามก็ต้องเสียชีวิตอย่างทรมานเพื่อเปิดทางให้หูเหม่ยเอ๋อร์ได้หลบหนีออกมา
หลินเป่ยเฉินกระโดดขึ้นไปนั่งบนแผ่นหลังของพยัคฆ์แดงโลหิตที่กลายเป็นสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องของเขา
หลินเป่ยเฉินบังคับให้พยัคฆ์แดงเดินไปหาหูเหม่ยเอ๋อร์ เขายื่นมือไปตบไหล่นางเล็กน้อยและกล่าวว่า “พวกเราไปกันเถอะ บัดนี้ไม่มีเวลาแล้ว รีบไปหาอาจารย์ของเจ้ากันดีกว่า”
…
ในหุบเขาลึก
กลางป่าทึบ
โลหิตสะท้อนประกายอยู่ใต้แสงจันทรา
กองไฟถูกก่อขึ้นกลางที่พักแรมที่เพิ่งถูกก่อสร้างมาไม่นานนี้
อมนุษย์ผมขาวเกาะเหล็กจำนวนหลายร้อยตัวยกโขยงมาปิดล้อมที่พักแรมแห่งนี้และดาหน้าบุกเข้าโจมตีอย่างต่อเนื่อง…
“ผู้อาวุโสซวี เป็นท่าน… ทรยศพวกเรา?”
ใบหน้าของเหยียนหรู่อี้ขาวซีดราวกระดาษ นางยืนถือกระบี่ขวางปากทางเข้าถ้ำ ปกป้องลูกศิษย์สาวกว่าสามสิบชีวิตที่หลบหนีเข้าไปอยู่ด้านใน ดวงตาของนางกำลังจ้องมองสตรีอายุสามสิบปีเศษที่ยืนอยู่ด้านตรงข้ามด้วยแววตาแห่งความโกรธแค้นและตื่นตระหนก
“ทรยศหรือ? เฮอะ…”
สตรีผู้งดงามที่ถูกเรียกว่าผู้อาวุโสซวี คือหนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักคฤหาสน์กำยาน
ปกติแล้วนางได้รับความเคารพจากทุกคนจากใจจริง
แต่บัดนี้ หญิงสาวกลับไปยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับกลุ่มอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็ก มิหนำซ้ำ นางยังมีลักษณะเป็นผู้บังคับบัญชาพวกมันอีกด้วย
และคืนนี้ก็เป็นฝีมือของผู้อาวุโสซวีที่สลายค่ายอาคมและสังหารศิษย์ของสำนักคฤหาสน์กำยานที่คอยรักษาความปลอดภัยไปหลายชีวิต ส่งผลให้กองทัพของพวกอมนุษย์ผมขาวสามารถบุกเข้ามาได้สำเร็จ
ผู้อาวุโสซวีมีร่างกายอวบอัดเย้ายวนใจ เข้าได้ดีกับเสื้อผ้ารัดรูปสีดำกลมกลืนกับความมืดมิดรอบกาย
นางแลบลิ้นออกมาเลียโลหิตที่ติดอยู่บนกระบี่ ก่อนพูดเสียงเรียบว่า “ช่วยไม่ได้ ขืนติดตามพวกเจ้าต่อไปเช่นนี้ มีหวังข้าคงได้ตายกลายเป็นศพไปด้วยแน่ ๆ ข้าไม่อยากจะถูกจับไปแขวนอยู่บนกำแพงเมืองนี่นา… สำหรับภารกิจของข้า ข้าเพียงต้องส่งตัวเจ้าให้แก่เผ่าเทพตะวันเท่านั้น และเจ้าก็คงรู้ดีว่าข้านี่แหละคือผู้ที่ส่งข้อมูลของหูเหม่ยเอ๋อร์ ให้พวกเขาออกไปไล่ล่าตามจับพวกนางเอง”