ตอนที่ 1,419 เจ้ามันโง่เขลามากเกินไป
เมื่อได้ยินผู้อาวุโสซวีพูดออกมาเช่นนั้น ไม่เพียงแต่เหยียนหรู่อี้ที่จะตกตะลึง บรรดาลูกศิษย์ของสำนักคฤหาสน์กำยานที่ยังรอดชีวิตอยู่ต่างก็เบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อเช่นกัน
หลังจากที่เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงประจำสำนักเสียชีวิตลงอย่างต่อเนื่อง กลุ่มศิษย์ของสำนักคฤหาสน์กำยานที่เหลืออยู่ก็เลือกหลบหนีมายังที่ซ่อนตัวกลางหุบเขาลึกแห่งนี้ ซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวที่พวกนางเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้านานแล้ว
ที่ซ่อนตัวกลางหุบเขาเป็นค่ายพักแรมที่มีลักษณะเหมือนหมู่บ้านขนาดเล็ก ไม่มีผู้คนเข้าออก ไม่มีการรับส่งข่าวสาร เป็นดินแดนที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
เมื่อมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เหล่าศิษย์ที่เหลือรอดของสำนักคฤหาสน์กำยานจึงสมควรอยู่ในความปลอดภัย
แต่การตามล่าตัวพวกนางไม่เคยหยุดลง
วิหารเทพพงไพรพ่ายแพ้ยับเยินในการแข่งขันประลองกระบี่ และด้วยความที่สำนักคฤหาสน์กำยานร่วมมือกับหลินเป่ยเฉิน วิหารเทพพงไพรจึงมองว่าพวกนางเป็นศัตรูใช่หรือไม่?
ยังคงมีลูกศิษย์ของสำนักคฤหาสน์กำยานจำนวนมากแฝงตัวอยู่ในเมืองเพื่อสืบข่าวต่อไป
ทว่าไม่มีผู้ใดคิดเลยว่ามหันตภัยร้ายแรงกำลังจะเกิดขึ้น
ที่ซ่อนตัวกลางหุบเขาลึกของพวกนางถูกค้นพบ
อมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กบุกทะลวงเข้ามา
แม้ว่าสำนักคฤหาสน์กำยานจะเป็นหนึ่งในสำนักกระบี่ระดับสูงของแผ่นดินตงเต้า ปกติแล้วพวกนางควรมีฝีมือแข็งแกร่งมากกว่ากลุ่มอมนุษย์เหล่านี้ ถึงอยู่ในอาการบาดเจ็บ แต่พวกตัวประหลาดขนขาวในชุดเกราะแวววาวก็ไม่ควรต่อกรกับลูกศิษย์ของสำนักคฤหาสน์กำยานได้เลย
อย่าว่าแต่พวกมันจะมีปัญญาสลายม่านพลังบุกเข้ามา
แต่พวกอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กกลับทำได้สำเร็จ
หลังจากนั้น การต่อสู้นองเลือดก็เกิดขึ้น จนนำมาสู่วิกฤตการณ์ที่เหยียนหรู่อี้กำลังเผชิญอยู่ขณะนี้
แม้ว่าปริศนาทั้งหมดจะได้รับการไขกระจ่าง แต่หัวใจของเหยียนหรู่อี้ก็ยังอดรู้สึกหมดหวังและขมขื่นไม่ได้อยู่ดี
เพราะฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งเกินไป
ค่ายอาคมที่สร้างม่านพลังคุ้มกันแหล่งซ่อนตัวกลางหุบเขาลึกแห่งนี้จัดสร้างขึ้นโดยผู้อาวุโสสิบหกคนของสำนักคฤหาสน์กำยาน แม้แต่ผู้มีพลังระดับเซียนก็ยากที่จะบุกทะลวงเข้ามาได้ แต่เมื่อตัวประหลาดขนขาวได้รับการสนับสนุนจากเผ่าเทพตะวัน ม่านพลังก็ถูกสลายลงไป ผู้อาวุโสเหล่านั้นต้องเสียชีวิตลงอย่างน่าอนาถใจ…
นี่คือเหตุการณ์ที่น่ากลัวที่สุด มืดมนที่สุดและน่าเศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์นับพันปีของสำนักคฤหาสน์กำยาน
ก่อนหน้านี้ ลูกศิษย์สาวในสำนักจำนวนนับไม่ถ้วนต้องถูกจับตัวไปทรมานและทารุณกรรม
ระหว่างการหลบหนีต้องบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
ท่านเจ้าสำนักฮั่วเฟยฮัวและผู้อาวุโสอีกกลุ่มหนึ่งอยู่เฝ้าสำนักรับมือกองทัพศัตรู เปิดโอกาสให้ทุกคนได้หลบหนีออกมาระหว่างเกิดการบุกถล่มสำนัก สุดท้ายพวกนางก็ต้องถูกคนของเผ่าเทพตะวันจับตัวไป บัดนี้ยังไม่ทราบชะตากรรม
ระหว่างเกิดเหตุบุกถล่มสำนัก ผู้อาวุโสซวีคือหนึ่งในคนที่ต่อสู้อย่างเอาชีวิตของตนเองเข้าแลกด้วยความไม่กลัวตาย
นางเป็นผู้ที่ช่วยเหลือและปกป้องคุ้มครองคณะของเหยียนหรู่อี้ให้หนีรอดอันตรายมาซ่อนตัวอยู่ที่หมู่บ้านกลางป่าลึกแห่งนี้
เพราะฉะนั้น เมื่อความจริงเปิดเผยว่าผู้อาวุโสซวีเป็นคนทรยศสำนักคฤหาสน์กำยาน จึงทำให้เหยียนหรู่อี้และบรรดาลูกศิษย์คนอื่น ๆ รู้สึกโกรธแค้นและไม่อยากเชื่อ
“ท่าน… ทำไมท่านถึงทำเช่นนี้?”
เหยียนหรู่อี้ถามเสียงแข็งกร้าว
นางได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ร่างกายจึงไม่สามารถขยับได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ถึงกระนั้น หญิงสาวก็โคจรพลังทั้งหมดที่มีอยู่ในร่างกาย ชักกระบี่ออกมายืนขวางปากทางเข้าถ้ำอย่างไม่เกรงกลัวอันตราย
แต่เหยียนหรู่อี้สามารถยื้อเวลาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางแทบไม่มีแรงยกกระบี่อีกแล้ว
“เจ้าก็รู้ว่าหากคิดเป็นศัตรูกับวิหารเทพพงไพรย่อมลงเอยเช่นไรไม่ใช่หรือ?”
“เจ้าคิดว่าตนเองจะสามารถซ่อนตัวจากพวกเขาได้ตลอดชีวิตหรืออย่างไร?”
“เหยียนหรู่อี้ พวกเราอุตส่าห์มอบความไว้วางใจให้เจ้าเป็นตัวแทนไปเข้าร่วมงานประลองกระบี่ แต่เจ้ากับศิษย์ทั้งสองกลับจิตใจหวั่นไหวให้แก่เด็กหนุ่มที่ชื่อหลินเป่ยเฉิน เจ้าช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ประพฤติตนเป็นศัตรูกับวิหารเทพพงไพร และด้วยเหตุนี้เอง สำนักคฤหาสน์กำยานจึงต้องถึงกาลอวสาน… เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าเพียงผู้เดียว”
“แต่ท่านเจ้าสำนักก็ยังเลี้ยงพวกเจ้าเอาไว้ต่อไป…”
“ไม่เพียงไม่ไล่พวกเจ้าออกเท่านั้น กลับยังเลื่อนขั้นให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักคนต่อไปอีกด้วย”
“ฝันไปเถอะ ตำแหน่งเจ้าสำนักต้องเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น”
เมื่อพูดถ้อยคำเหล่านี้ออกมา ใบหน้าของผู้อาวุโสซวีก็บิดเบี้ยวจนน่ากลัว
ไม่เหลือเค้าโครงความสวยงามก่อนหน้านี้อีกแล้ว
นางคำรามต่อไปว่า “ข้ารู้ว่านางแพศยาฮั่วเฟยฮัวมอบคัมภีร์กระบี่ซ่อนกลิ่นและคัมภีร์กระบี่กำยานกระจายให้กับเจ้าแล้ว คัมภีร์ทั้งสองเล่มนั้นคงถูกเก็บอยู่ในถ้ำด้านหลังเจ้าใช่หรือไม่?”
ในการต่อสู้หลายครั้งก่อนหน้านี้ เหตุผลที่ผู้อาวุโสซวีเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นคนดีให้เหยียนหรู่อี้เชื่อใจ ก็เพราะนางหวังที่จะได้ครอบครองคัมภีร์กระบี่ทั้งสองเล่มนั้นเอง
คัมภีร์กระบี่ซ่อนกลิ่นและคัมภีร์กระบี่กํายานกระจายถือเป็นรากฐานสำคัญของสำนักคฤหาสน์กำยาน
เป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสซวีอยากได้มาครอบครองนานแล้ว
เพียงแต่ฮั่วเฟยฮัวเก็บคัมภีร์ทั้งสองเล่มนั้นไว้เป็นความลับ ไม่ยอมนำออกมาเผยแพร่ให้แก่ผู้ใดได้ศึกษา ผู้อาวุโสซวีรู้ดีว่าต่อให้ฮั่วเฟยฮัวต้องตกตาย คัมภีร์ทั้งสองเล่มนั้นก็คงไม่ได้ถูกส่งมอบมาถึงมือนางอยู่ดี…
บัดนี้ ผู้อาวุโสซวีจึงค่อนข้างมั่นใจว่าสุดยอดคัมภีร์ทั้งสองเล่มนั้นต้องอยู่ในถ้ำด้านหลังนี้แน่นอน
แต่นางไม่อาจประมาทเด็ดขาด
“ลากตัวพวกนางออกมา”
ผู้อาวุโสซวียกมือออกคำสั่ง
ตัวประหลาดขนขาวที่ใส่ชุดเกราะแวววาวสองตัวเดินออกมาข้างหน้าพร้อมกับแผ่รังสีอำมหิตคุกคามผู้คน
พวกมันลากตัวศิษย์สาวของสำนักคฤหาสน์กำยานที่ถูกจับตัวเอาไว้ได้ก่อนหน้านี้ออกมา
“ศิษย์น้องเหยียน ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนที่มีจิตใจใสซื่อบริสุทธิ์ เพราะเหตุนี้ คัมภีร์ทั้งสองเล่มนั้นจึงอยู่ในมือเจ้า เอาเป็นว่าข้าจะปล่อยเจ้ากับเด็กสาวเหล่านี้ไป ขอเพียงเจ้ามอบคัมภีร์ทั้งสองเล่มนั้นออกมาก็พอ”
ผู้อาวุโสซวีมีดวงตาเป็นประกายแวววาวราวกับงูพิษ “หากไม่เช่นนั้น พวกนางก็คงพบกับชะตากรรมที่น่าเศร้านัก”
ขาดคำ
แคว่ก! แคว่ก!
เสื้อผ้าที่บรรดาเด็กสาวเหล่านั้นสวมใส่ถูกฉีกกระชากขาดออกจากกัน
เผยให้เห็นถึงผิวขาวเนียนราวกับหิมะ
ตัวประหลาดขนขาวเหล่านั้นใช้มืออันหยาบกร้านลูบไล้ร่างกายขาวผ่องของพวกนางอย่างหยาบช้า
“ฮื่อ ฮื่อ ฮื่อ…”
“อี๋… อย่านะ อุ๊ก”
บรรดาเด็กสาวกรีดร้องด้วยความโกรธแค้น
แต่พวกนางก็ไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้อีก
เพราะปากถูกยัดด้วยก้อนผ้าขนาดใหญ่
เหยียนหรู่อี้พูดด้วยความเดือดดาลใจว่า “ผู้อาวุโสซวี เด็กสาวเหล่านี้ล้วนเคารพและรักท่านราวกับเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของตนเอง พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน…”
“ครอบครัว? ฮ่า ๆๆ แม้แต่ซวีหวันหลานสาวของข้า ข้ายังฆ่าได้ลงคอ แล้วพวกเจ้าเป็นใคร?” ผู้อาวุโสซวีพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เลิกกล่าววาจาไร้สาระได้แล้ว ตกลงเจ้าจะมอบคัมภีร์ออกมาหรือไม่? หรือว่าอยากให้เด็กสาวเหล่านี้ถูกทรมานไปจนตาย?”
“ท่านมันชั่วช้ามากเกินไปแล้ว”
เหยียนหรู่อี้หลับตาลงด้วยความเจ็บใจและกล่าวว่า “ปล่อยพวกนางไปก่อน แล้วข้าจะนำคัมภีร์ออกมาให้”
เสียคัมภีร์ไปก็ไม่เป็นไร
แค่คนมีชีวิตอยู่รอดต่อไปก็พอแล้ว
ไม่มีเหตุผลให้ต้องเสี่ยงชีวิตผู้ใดอีก
“ไม่มีทาง”
ผู้อาวุโสซวีหัวเราะเยาะ “เจ้าส่งคัมภีร์ออกมาก่อน แล้วข้าถึงจะปล่อยตัวทุกคนไป ข้าขอรับรองด้วยเกียรติของข้า… เจ้าไม่มีคุณสมบัติมาต่อรองอะไรทั้งนั้น”
เหยียนหรู่อี้กัดฟันด้วยความโกรธแค้น เดินเข้าไปในถ้ำหินทางด้านหลัง หลังจากนั้น ก็เดินออกมาโยนคัมภีร์เก่าแก่สองเล่มให้แก่ผู้อาวุโสซวี
“คัมภีร์มอบให้แล้ว ปล่อยคนเถอะ”
เหยียนหรู่อี้พูดเสียงเย็นชา
ผู้อาวุโสซวีรับคัมภีร์ทั้งสองเล่มไปตรวจสอบดู เมื่อพบว่าเป็นคัมภีร์ของจริง ดวงตาก็เป็นประกายแวววาวอย่างมีความสุข
“ฮ่า ๆๆ…”
นางระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ “ประเสริฐ แม่ทัพซื่อ ชีวิตของพวกนางเป็นของพวกท่านแล้ว ท่านอยากลองเชยชมความงามของเหยียนหรู่อี้มานานแล้วไม่ใช่หรือ? บัดนี้ นางคงไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืนท่านอีก อยากทำอะไรก็ทำเถอะ”
ผู้อาวุโสซวีหมุนตัวไปพร้อมกับคัมภีร์ทั้งสองเล่ม
บรรดาตัวประหลาดขนขาวฉีกยิ้มออกมาอย่างน่าขยะแขยง ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาพวกของเหยียนหรู่อี้อีกครั้ง
บรรดาเด็กสาวที่ถูกฉีกเสื้อผ้าก่อนหน้านี้ได้แต่หลับตาลงด้วยความหมดหวัง
“ผู้อาวุโสซวี ท่านไม่รักษาสัญญา ท่าน…”
เหยียนหรู่อี้ร้องคำรามออกมาด้วยความตื่นตระหนกและโกรธแค้น
“ฮ่า ๆๆ เจ้ามันโง่เขลามากเกินไป”
ผู้อาวุโสซวีระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความสะใจ
ทันใดนั้น…
“โฮก!”
เสียงพยัคฆ์คำรามที่ดังสะท้านไปทั่วหุบเขาดังขึ้นจากระยะไม่ใกล้ไม่ไกล
ทุกคนสะดุ้งโหยงด้วยความตื่นตกใจ