ตอนที่ 1,420 ที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผล
เสียงพยัคฆ์คำรามไม่ใช่เรื่องแปลก
สิ่งที่แปลกคือเสียงพยัคฆ์คำรามครั้งนี้ดังผิดปกติ
มันทำให้มวลอากาศปั่นป่วน
บรรดาอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กหัวใจกระตุกวูบ ความกล้าหาญสลายไปจากหัวใจ พวกมันพร้อมใจกันหันไปมองยังทิศทางที่มาของเสียงคำรามนั้นโดยไม่รู้ตัว
แต่พบเจอเพียงความว่างเปล่า
ไม่มีเสือยักษ์อยู่ตรงนั้น
จนกระทั่งพวกมันหันกลับมามองที่เดิม
จึงได้พบว่าข้างกายเหยียนหรู่อี้ปรากฏผู้คนขึ้นมาอีกสามคนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ
“เกิดอะไรขึ้น?”
ผู้อาวุโสซวีหยุดชะงัก สีหน้าประหลาดใจ “หูเหม่ยเอ๋อร์ เจ้ายังไม่ตายอีกหรือ?”
ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นข้างกายเหยียนหรู่อี้ ย่อมต้องเป็นหลินเป่ยเฉิน ไต้จือฉุนและหูเหม่ยเอ๋อร์
บัดนี้ พยัคฆ์แดงโลหิตที่หวาดกลัวจนยอมเป็นสัตว์เลี้ยงของหลินเป่ยเฉินได้ย่อร่างตนเองลงมาจนมีขนาดตัวเท่าแมวน้อยตัวหนึ่ง ซึ่งมันก็กำลังเกาะอยู่บนหัวไหล่ของไต้จือฉุนอย่างน่ารักน่าชัง
“อาจารย์เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
หูเหม่ยเอ๋อร์ไม่สนใจตอบคำถามของผู้อาวุโสซวี นางรีบเข้าไปช่วยประคองเหยียนหรู่อี้ผู้มีใบหน้าซีดขาว เมื่อลองใช้มือสัมผัสดู เด็กสาวก็รู้ว่าอาจารย์ของตนเองได้รับบาดเจ็บรุนแรง ใกล้เสียชีวิตเต็มทีแล้ว
นี่ทำให้หัวใจของหูเหม่ยเอ๋อร์สั่นไหวด้วยความหวาดกลัว
ไม่ได้นะ
ศิษย์พี่ของนางตายไปแล้วคนหนึ่ง
อาจารย์จะมาตายไปอีกคนได้อย่างไร?
แต่ทันใดนั้น…
ละอองน้ำสีฟ้าครามก็ปกคลุมทั่วร่างกายเหยียนหรู่อี้
หูเหม่ยเอ๋อร์ยืนตกตะลึงก่อนตั้งสติได้
ใช่แล้ว
นางมาพร้อมกับหลินเป่ยเฉิน เขาสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้
เด็กสาวหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความประหลาดใจ
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มด้วยความภาคภูมิ เชิดหน้าขึ้น แล้วกล่าวว่า “ด้วยพลังวิเศษของข้า ไม่มีอาการบาดเจ็บใดที่รักษาไม่ได้”
เหยียนหรู่อี้รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นทั่วร่าง ความเจ็บปวดและบาดแผลสลายหายไปในพริบตา แม้แต่อาการเหนื่อยล้า พลังลมปราณที่สูญหาย เส้นเอ็นที่ฉีกขาด เส้นลมปราณที่ขาดสะบั้น ต่างก็ฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว
“เป็นท่านเอง…”
เหยียนหรู่อี้เบิกตาโตด้วยความอัศจรรย์ใจ
บัดนี้ นางจดจำได้ดีว่าหนึ่งในบุรุษผู้ปรากฏตัวขึ้นข้างกายคือบุคคลในฝันของตนเอง และไม่รู้เพราะเหตุใด เหยียนหรู่อี้จึงเอื้อมมือออกไปจับมือของเขาไว้แนบแน่น
“พี่เหยียน ข้าขอโทษที่มาช้า”
หลินเป่ยเฉินลูบมือหญิงสาวอย่างแผ่วเบา
หูเหม่ยเอ๋อร์เห็นดังนั้นก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
อาจารย์ไม่ได้สนใจนางเลยสักนิด
เหยียนหรู่อี้ได้สติ รีบดึงมือของตนเองกลับมาพร้อมกับกล่าวว่า “ศัตรูยังอยู่ที่นี่ พวกเรารีบหนีกันเถอะ…”
“ศัตรูอะไรกัน?” หลินเป่ยเฉินยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “พี่ไต้ คงต้องรบกวนท่านแล้ว”
ไต้จือฉุนพยักหน้าก่อนสอบถาม “ให้ถึงตายหรือไม่?”
“เหลือผู้นำของพวกมันไว้สองคน นอกนั้นฆ่าให้หมด”
ระหว่างทาง หลินเป่ยเฉินได้รับทราบจากคำบอกเล่าของหูเหม่ยเอ๋อร์ว่า พวกตนเองถูกอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กตามล่าอย่างโหดร้ายทารุณ เพราะฉะนั้น เขาจึงออกคำสั่งอย่างไม่มีปรานี
ไต้จือฉุนพยักหน้า หมุนตัวเดินเข้าไปหากลุ่มตัวประหลาดขนขาวเหล่านั้น
แต่พลังกดดันที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของไต้จือฉุนไม่ใช่พลังของผู้ที่อยู่ในขั้นเซียน
“ฮ่า ๆๆ…”
ทันใดนั้น ซื่อเซวียนหัวหน้ากลุ่มอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กเหมือนจะจดจำหลินเป่ยเฉินได้ จึงพูดออกมาว่า “ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เองสินะ หลินเป่ยเฉิน คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบเจอเจ้าในวันนี้ รับรองว่าเจ้าหนีพวกข้าไม่รอดแน่”
มันพูดออกมาด้วยความมั่นใจ
วูบ! วูบ! วูบ! วูบ!
เงากระบี่สาดประกายเย็นวูบ
อมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กสี่ตัวลงมือโจมตีแล้ว
ไต้จือฉุนยกมือขึ้นและตวัดกระบี่
ลำแสงกระบี่พุ่งออกไปข้างหน้า
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
ร่างของอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กทั้งสี่ตัวนั้นระเบิดกระจายกลางอากาศ เศษเลือดเศษเนื้อสาดกระจาย ร่างกายของพวกมันสลายหายไปพร้อมกับกระบี่
นี่คือการต่อสู้ครั้งแรกของไต้จือฉุนนับตั้งแต่กลับสู่แผ่นดินตงเต้า
ปรากฏว่าพลังพิเศษที่เขาได้มาจากดินแดนทวยเทพยังสามารถใช้งานได้อยู่
เมื่อโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ อานุภาพในการทำลายล้างก็เพิ่มมากขึ้น เป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวประหลาดเหล่านี้จะต้านทานพลังของไต้จือฉุน
“นี่มันอะไรกัน?”
ผู้อาวุโสฉีเห็นดังนี้ก็หรี่ตาลงในทันใด
หัวใจของนางเกิดสังหรณ์อัปมงคล
แต่ไต้จือฉุนไม่เปิดโอกาสให้ผู้คนหลบหนี
เขาโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
เสียงร่างกายระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ร่างของอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กระเบิดในอากาศ ส่งม่านหมอกเลือดสาดกระจาย ไม่ต่างไปจากดอกไม้ไฟโลหิต
“เจ้าเป็นใคร ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้”
ซื่อเซวียนตัวประหลาดผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มตกตะลึง ก่อนจะชักกระบี่ออกมาจากข้างเอวอย่างเร็วไว
รังสีกระบี่พุ่งผ่านอากาศอย่างรวดเร็วยิ่ง
“อะไรน่ะ?”
ไต้จือฉุนเบิกตาโตอย่างคาดไม่ถึง เมื่อเขายกกระบี่ขึ้นตั้งรับ ลำแสงกระบี่สีทองคำก็พุ่งเข้ามา ก่อนที่ลำแสงสีทองนั้นจะแผ่กระจายโอบล้อมรอบบริเวณ กักขังไต้จือฉุนอยู่ตรงกลาง ไม่สามารถหลบหนีได้
“นี่มันพลังเวทมนตร์”
ไต้จือฉุนอุทานออกมา “พลังเวทมนตร์ของพวกเผ่าเทพตะวัน…”
เขาพูดยังไม่ทันจบประโยค ก็หันหน้าไปทางหนึ่งและคำรามว่า “จะหนีไปไหน? กลับมาซะ”
ไต้จือฉุนยกมือซ้ายหมุนวนในอากาศและกระชากกลับหลัง
ผู้อาวุโสซวีที่กำลังจะหลบหนีออกไปพลันถูกพลังบางอย่างดึงดูดกลับมาจนล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง
“เร็วเข้า รีบไปช่วยผู้คน”
เหยียนหรู่อี้ยกมือส่งสัญญาณ
กลุ่มศิษย์สาวของสำนักคฤหาสน์กำยานรีบวิ่งเข้าไปแก้มัดให้แก่เพื่อนร่วมสำนักที่ถูกจับกุมตัว เมื่อดึงผ้าที่อุดปากออกและช่วยสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย เด็กสาวทั้งหมดก็กลับมารวมตัวกันอยู่เคียงข้างเหยียนหรู่อี้อีกครั้ง
ในขณะนี้
ผู้อาวุโสซวีและซื่อเซวียนก็ถูกนำตัวมาเช่นกัน
บรรดาศิษย์สาวของสำนักคฤหาสน์กำยานล้วนเกลียดชังบุคคลทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง พวกนางจึงจับคนทั้งสองหักขาและบังคับให้คุกเข่าลงบนพื้นดิน
“พวกเจ้าหนีไม่รอดแน่”
ใบหน้าของซื่อเซวียนบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น ดวงตาเป็นประกายดุร้ายราวกับสัตว์ป่าขณะหัวเราะเยาะว่า “พวกเราทำงานรับใช้เผ่าเทพตะวัน พวกเขาไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่”
“เผ่าเทพตะวัน?”
หลินเป่ยเฉินนึกถึงพลังเวทมนตร์ที่เป็นค่ายกลกระบี่ทองคำซึ่งไต้จือฉุนเผชิญหน้าเมื่อสักครู่ ก่อนกล่าวว่า “ในดินแดนทวยเทพ เผ่าเทพตะวันล่มสลายลงไปแล้ว… หรือว่าพวกมันจะหนีลงมาอยู่ที่นี่กันหมดนะ?”
ให้ตายสิ
พลังเวทมนตร์และค่ายกลกระบี่ทองคำสลายลงไปอย่างรวดเร็ว
“พี่เหยียน ท่านจะทำอย่างไรกับมันล้วนขึ้นอยู่กับท่าน”
เขาส่งตัวซื่อเซวียนให้แก่พวกของเหยียนหรู่อี้
กลุ่มมือกระบี่สาวผู้โกรธแค้นกรูเข้ามาห้อมล้อมหัวหน้ากลุ่มตัวประหลาดขนขาวโดยทันที
เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น
ตามมาด้วยเสียงร้องขอความเมตตา
สุดท้าย เสียงร้องนั้นก็ฟังไม่เป็นภาษา กลายเป็นเสียงโหยหวนไม่ต่างจากสัตว์ป่าที่กำลังทรมาน
ซื่อเซวียนคิดว่าตนเองมีความแข็งแกร่งมากพอ แต่ในไม่ช้า มันก็รู้ว่าตนเองคิดผิด กลุ่มศิษย์ของสำนักคฤหาสน์กำยานทรมานมันอย่างรุนแรงแสนสาหัส แต่จงใจไม่ทำให้มันถึงตาย
สำหรับสตรีเหล่านี้ พวกนางพยายามหลีกเลี่ยงจุดสำคัญของร่างกายตัวประหลาด เพราะอยากจะซื้อเวลาให้มันอยู่รับความทรมานบนโลกมนุษย์ให้นานมากที่สุด
แต่มีเพียงจุดเดียวเท่านั้นที่พวกนางเลือกโจมตีโดยไม่ลังเล
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตจ้องมองด้วยความตะลึงงัน
เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผาก
รู้สึกเสียวหว่างขาขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
สตรีเหล่านี้ช่างโหดร้ายอำมหิตเหลือเกิน
ในไม่ช้า พวกนางก็ได้ระบายความโกรธแค้นออกจากจิตใจ แต่สภาพของซื่อเซวียนขณะนี้ก็กลายเป็นเศษเนื้อกองหนึ่งไปแล้ว…
หลังจากนั้น สายตาของทุกคนจึงหันมาจับจ้องที่ผู้อาวุโสซวี
“ไม่นะ อย่าฆ่าข้าเลย”
ขณะนี้ ผู้อาวุโสซวีไม่ได้มีความอวดดีหยิ่งผยองอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว นางมีสีหน้าตื่นกลัวและรู้สึกผิด รีบหันมาร่ำร้องขอความเมตตาจากหลินเป่ยเฉิน “ข้ารู้จักท่าน ท่านคือเซียนกระบี่หลินเป่ยเฉิน ท่านรู้จักหลานสาวของข้า นางมีนามว่าซวีหวัน ท่านคงรู้จักใช่ไหมล่ะ? เพราะฉะนั้นอย่าฆ่าข้าเลยนะ หากท่านฆ่าข้า ซวีหวันคงจะต้องโกรธแค้นท่านแน่ที่ทำร้ายญาติที่นางมีอยู่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้…”
“จริงหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น ทันใดนั้น ก็เอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดีว่า “ดูเหมือนที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผลแฮะ”