ตอนที่ 1,429 เจ้ารู้มากเกินไป
ความแข็งแกร่งที่หลินเป่ยเฉินแสดงออกมาทำให้ทุกคนตกตะลึง
มีเพียงไต้จือฉุนเท่านั้นที่ยังคงเยือกเย็นดังเดิม
เพราะเหตุใด?
เพราะว่าบัดนี้หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นใต้เท้าใหญ่แห่งสภาเทพเจ้า
เขาเคยฆ่าเทพเจ้ามาแล้วนับไม่ถ้วน
ดังนั้นบรรดาเทพเจ้าชั้นรองหรือเทพเจ้าระดับสามัญจึงไม่สามารถรับมือเขาได้ ต่อให้เป็นเทพเจ้าระดับสูงในสภา ก็ไม่มีผู้ใดกล้าตอแยกับเด็กหนุ่มอีกแล้ว
และอีกหนึ่งผู้ที่ยังเยือกเย็นอยู่ก็คืออสูรพยัคฆ์แดงโลหิต
ก่อนหน้านี้ที่มันยอมติดตามกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของเด็กหนุ่ม ก็เพราะสัญชาตญาณบอกมันว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายมากกว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่มันเคยพบเจอ
มิเช่นนั้น พยัคฆ์แดงโลหิตที่น่าเกรงขามอย่างมันจะยอมก้มหัวให้กับมนุษย์ในเขตแดนป่าของตนเองเพื่ออะไร?
บัดนี้ ยิ่งเห็นหลินเป่ยเฉินแสดงความแข็งแกร่งออกมามากเท่าไหร่ หัวใจของเจ้าพยัคฆ์แดงก็ยิ่งตื่นเต้นมากเท่านั้น
มันเลือกติดตามได้ถูกคนแล้ว!
หลินเป่ยเฉินกำลังจะลงมือต่อเนื่อง ทันใดนั้น หูของเขาก็ได้ยินเสียงเสี่ยวจี้ ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะในโทรศัพท์มือถือดังขึ้นว่า ‘ติ๊ง! ตรวจพบสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสม ต้องการจับตัวหรือไม่เจ้าคะ?’
หืม?
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความดีใจ
การตรวจจับสัตว์เลี้ยงของเกมสัตว์เลี้ยงแสนสนุกในโทรศัพท์มือถือ สามารถตรวจพบตำแหน่งเทพเจ้าในบริเวณนี้ได้อย่างนั้นหรือ?
ปรากฏลูกแก้วสีทองคำลอยตัวอยู่กลางอากาศ
นี่คือลูกแก้วบรรจุพลังวิญญาณของพานเจิ้น ซึ่งเพิ่งถูกหลินเป่ยเฉินฆ่าตายไปเมื่อสักครู่
หุหุ!
พวกเผ่าเทพตะวันตายแล้วก็ยังมีประโยชน์เหมือนกันแฮะ
หลินเป่ยเฉินสั่งให้เกมสัตว์เลี้ยงแสนสนุกจับลูกแก้วทองคำนั้นมาอยู่ในศูนย์เพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยงโดยไม่ลังเล
แม้ว่ามันจะไม่ได้มีค่าสำหรับหลินเป่ยเฉินสักเท่าไหร่ เพราะเขามีตำแหน่งเทพเจ้าระดับสูงกว่านี้อยู่ในมือนับร้อยตำแหน่ง แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
จังหวะนั้น เซียวปิงที่ยืนอยู่ด้านข้างนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบพูดว่า “พี่ใหญ่ ได้โปรดระวังตัว เทพอสูรเหล่านี้สามารถฟื้นคืนจากความตาย แม้แต่ข้ากับอากวงก็ยังแทบแย่มาแล้ว…”
หลินเป่ยเฉินยิ้มอย่างผู้ชนะและตอบว่า “เจ้าโจมตีมันด้วยวิธีธรรมดา พวกมันย่อมฟื้นคืนกลับขึ้นมาได้อยู่แล้ว เพราะนี่คือพื้นฐานความสามารถของผู้ที่รับตำแหน่งเทพเจ้า ตราบใดที่ดวงจิตยังไม่ถูกทำลาย พวกมันก็สามารถฟื้นคืนร่างกายขึ้นมาใหม่ได้เสมอ แต่สำหรับผู้ที่ตายด้วยน้ำมือของข้านั้น… ฮ่า ๆๆ รับรองว่าพวกมันไม่มีทางฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมาได้อีกแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้พวกของฮั่วเฟยฮัว เหยียนหรู่อี้และบุรุษหนุ่มแขนด้วนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เซียวปิงถามต่อด้วยความสงสัยว่า “จริงหรือขอรับ? พี่ใหญ่สามารถทำได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ข้าก็แค่ใช้ความสามารถอันสุดแสนธรรมดาของข้าเท่านั้นเอง”
เซียวปิงกะพริบตาปริบ ๆ
คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวใจ
พี่ใหญ่ยกยอปอปั้นตนเองอีกแล้ว
เสแสร้งแกล้งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน
ไม่มีการถ่อมตัวแม้แต่น้อย
และพฤติกรรมเช่นนี้ก็ทำให้ทุกคนรอบตัวหลินเป่ยเฉิน รวมถึงเซียวปิง ติดนิสัยชอบวางท่าอวดเบ่งตามเขาแล้วเช่นกัน
แม้แต่สาวรับใช้อย่างเฉียนเหมยก็ยังไม่เว้น
ดังนั้น เซียวปิงจึงไม่รู้เลยว่าหลินเป่ยเฉินผู้สังหารเทพเจ้าบนดินแดนทวยเทพมานับไม่ถ้วน ได้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาของเขาแล้วจริง ๆ
มิเช่นนั้น เขาคงไม่สามารถระเบิดเทพเจ้าระดับสูงของเผ่าเทพตะวันได้ง่ายดายถึงเพียงนี้
“พวกเจ้าน่ะ”
หลินเป่ยเฉินมองไปที่พานชิวและเทพเจ้าระดับสามัญของเผ่าเทพตะวันอีกห้าคน “อยากตายหรือว่าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป?”
สมาชิกเผ่าเทพตะวันหลบหนีลงมาอยู่ที่แผ่นดินตงเต้า นี่คือสิ่งที่หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึง
ดูเหมือนว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแผ่นดินตงเต้าจะมีความร้ายแรงเกินกว่าที่เขาเคยคาดคิดเอาไว้
จำเป็นต้องสอบถามให้ชัดเจน
พวกของพานชิวจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยสายตาแห่งความหวาดกลัว
“เจ้า…เจ้าต้องการอะไร?”
พานชิวสะกดกลั้นความกลัวในจิตใจ แต่เสียงที่พูดออกมานั้นก็สั่นเครือโดยไม่รู้ตัว
เผ่าเทพตะวันไม่ใช่เพียงพ่ายแพ้ในการต่อสู้ของสงครามเทพเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขามีสถานะเป็นผู้ก่อกบฏ จำเป็นต้องหลบหนีลงมาสู่โลกมนุษย์ไม่ต่างไปจากสุนัขเร่ร่อน จิตวิญญาณที่เคยแข็งกร้าวสลายหายไป บัดนี้ พวกเขาจะยังมีจิตใจคิดต่อสู้ขัดขืนได้อย่างไรอีก?
“รังของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
“เรื่องนี้…”
พานชิวหันไปมองที่เทพเจ้าระดับสามัญอีกห้าชีวิตด้วยความลังเลใจ
วููบ! วูบ! วูบ! วูบ! วูบ!
ลำแสงกระบี่ห้าสายสาดประกายเจิดจ้า
แล้วร่างของเทพเจ้าระดับสามัญของเผ่าเทพตะวันก็ระเบิดกระจายเป็นม่านหมอกเลือด การลงมือรวดเร็วมากเกินไป แม้แต่การกรีดร้องพวกเขาก็ไม่มีเวลาได้ส่งเสียงออกมา
“บัดนี้เจ้าพูดออกมาได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินกล่าวเสียงเรียบ
ตุบ!
พานชิวทิ้งตัวลงคุกเข่าโดยทันที
“พวกเรารวมตัวกันอยู่ที่ภูเขาไป๋ฝ่าเจี้ยนขอรับ พวกเรารวมตัวกันอยู่ที่ภูเขาไป๋ฝ่าเจี้ยน…”
เขาตอบละล่ำละลัก “กลุ่มเทพเจ้าที่หลบหนีลงมาจากดินแดนทวยเทพไปสร้างเมืองกันอยู่ที่นั่น โดยที่มีกลุ่มแกนนำหลักเป็นเผ่าเทพตะวันและมีเผ่าอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กเป็นผู้รับใช้”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้งว่า “มีสมาชิกเผ่าเทพตะวันหลบหนีลงมาอยู่ที่โลกมนุษย์ทั้งหมดมากน้อยเพียงใด?”
“กราบเรียนคุณชาย… มีเทพเจ้าระดับสูงสิบหกคน มีเทพเจ้าระดับกลางห้าสิบแปดคนและมีเทพเจ้าระดับสามัญสองร้อยสามสิบคนขอรับ…”
พานชิวกำลังหวาดกลัวสุดขีด จึงตอบคำถามทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง
หลินเป่ยเฉินไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่
จำนวนเพียงเท่านี้เทียบไม่ได้เลยกับขุมกำลังของเจ็ดเทพสงครามแห่งสภาเทพเจ้าที่เขาเคยเผชิญหน้ามาแล้ว
แต่พวกของฮั่วเฟยฮัวเมื่อได้ยินดังนี้ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปทันที ความรู้สึกสลดหดหู่และหมดหวังกลืนกินหัวใจอีกครั้ง
หัวหน้านักบวชที่กำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าหลินเป่ยเฉินในขณะนี้เป็นเพียงเทพเจ้าระดับสามัญเท่านั้น แต่ก็ทำให้สำนักคฤหาสน์กำยานถูกทำลายจนย่อยยับ มิหนำซ้ำ กลับยังมีเทพเจ้าระดับสามัญเช่นนี้อยู่อีกมากกว่าสองร้อยคน
ยังไม่ต้องพูดถึงเทพเจ้าระดับกลางและเทพเจ้าระดับสูง…
แม้พวกนางจะไม่ทราบว่าระดับชั้นเหล่านี้แบ่งแยกอย่างไรกันแน่ ทว่า แม้แต่เด็กสามขวบก็ยังเข้าใจได้ว่าเทพเจ้าระดับสูง ย่อมมีความน่ากลัวและมีความแข็งแกร่งมากกว่าเทพเจ้าระดับสามัญแน่นอน
และขุมกำลังเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วแผ่นดินตงเต้า
ยังจะมีผู้ใดสามารถเป็นศัตรูกับพวกเขาได้อีก?
หลินเป่ยเฉินเพียงตัวคนเดียวจะสามารถจัดการเทพเจ้าทั้งหมดนี้ได้จริง ๆ หรือ?
มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่มีความหวังเอาเสียเลย
หลินเป่ยเฉินไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของคนอื่น ๆ เขาถามต่อไปว่า “ตัวเจ้าเองก็คงหลบหนีลงมาจากดินแดนทวยเทพเช่นกันสินะ?”
หัวใจของพานชิวเต้นระรัว
เด็กหนุ่มผู้นี้รู้เรื่องราวในดินแดนทวยเทพไม่น้อย
แสดงว่าเขาก็คงมาจากที่นั่นเช่นกัน
แล้วเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นใครกันแน่?
พานชิวไม่อยากคิดและไม่กล้าที่จะคิด ได้แต่รีบพูดต่อไปว่า “เท่าที่ข้าน้อยรู้มา ไม่ใช่แต่เพียงข้าน้อยเท่านั้นที่หลบหนีลงมาอยู่โลกมนุษย์ แม้แต่เทพเจ้าระดับสูงแห่งสภาเทพเจ้า ก็กำลังหลบหนีลงมาเช่นกัน…”
หลินเป่ยเฉินได้ยินเพียงเท่านี้ก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาโดยทันที
ดินแดนทวยเทพกำลังจะถูกรุกราน ที่นั่นกำลังจะกลายเป็นดินแดนแห่งความล่มสลาย บางคนคิดอยากอพยพหลบหนีไปอยู่ที่อื่น จึงเลือกแผ่นดินตงเต้าเป็นจุดหมายปลายทาง
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแผ่นดินตงเต้าทั้งหมด มีสาเหตุมาจากการมาถึงของเหล่าเทพเจ้าเหล่านี้เอง
ความแตกต่างระหว่างเทพเจ้าในปัจจุบันกับบรรดาปีศาจในอดีตคืออะไร?
ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็นำภัยร้ายมาสู่โลกมนุษย์ทั้งสิ้น
และความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการมาถึงของบรรดาเทพเจ้านั้นรุนแรงมากกว่าความเสียหายจากพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจด้วยซ้ำ
ด้วยระบบเทพเจ้าที่กำลังล่มสลาย เทพเจ้าเหล่านั้นจึงกลายเป็นปีศาจร้ายไปเสียเอง
ไม่สมควรปล่อยให้ลอยนวล
หลังจากสูดหายใจลึก หลินเป่ยเฉินก็พูดว่า “ข้าถามคำถามมากมายถึงขนาดนี้ เจ้าไม่คิดสงสัยบ้างหรือว่าข้าเป็นใคร?”
พานชิวหัวใจกระตุกวูบ เงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ข้าน้อยอยากเรียนถาม ไม่ทราบว่าคุณชายมีนามอันสูงส่งใด?”
หน้ากากสัตว์อสูรปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของหลินเป่ยเฉินและเขาก็ค่อย ๆ สวมใส่หน้ากากอย่างแช่มช้า
เกิดความรู้สึกคล้ายกับสายฟ้าฟาดลงกลางหัวใจของพานชิว
ในที่สุด พานชิวก็รู้แล้วว่าเหตุไฉนเด็กหนุ่มผู้ยืนอยู่ตรงหน้าคนนี้จึงสามารถสังหารเทพเจ้าระดับสูงผู้เป็นนายท่านของเขาได้อย่างง่ายดายนัก พานชิวพูดออกมาด้วยความตื่นกลัวว่า “ท่านคือเจี๋ยนเซียวเหยา… ใต้เท้าเจี๋ยนใช่หรือไม่? ท่าน…”
วูบ!
พลัน รังสีกระบี่สาดประกาย
ศีรษะของพานชิวขาดกระเด็น
“เจ้ารู้มากเกินไป”
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงเรียบ