ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 346 ท่านอ๋องที่โง่เขลาที่สุด-6

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 346 ท่านอ๋องที่โง่เขลาที่สุด-6

“ข้าคิดว่าคนล้วนมีความรู้สึก…นานขนาดนี้แล้ว ต่อให้เจ้าไม่รู้สึกอะไรกับข้า เจ้าก็ควรรักต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นในเมืองอ๋องบ้าง…สิ่งเหล่านี้จะเอาเงินทองและผลประโยชน์มาเปรียบเทียบได้อย่างไรกัน”

เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว

แม้คำพูดนี้เหมือนกล่าวกับเสี่ยวลี่

แต่ฟังดูแล้วเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า

เสี่ยวลี่ได้ยินพลันเงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะลั่น

เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาได้ยินเสียงหัวเราะแล้วหันกลับมาทันที

สิ่งที่เขาเห็นคือคมของกระบี่อ่อนเล่มที่อยู่ตรงเอวเสี่ยวลี่

คมกระบี่จ่ออยู่บนคอหอยตน

เสี่ยวลี่ยังคงหัวเราะพร้อมถือกระบี่

เพียงแต่เปลี่ยนจากความองอาจในตอนแรกเป็นเศร้าโศกเล็กน้อย

แล้วค่อยๆ โหดเหี้ยมมากขึ้น

“ส่งกระหม่อมออกไปจากเมืองอ๋อง!”

เสี่ยวลี่กล่าว

เขาขยับกระบี่อ่อนบนมือเข้าไปอีกหลายชุ่น

ปลายกระบี่อ่อนทิ่มคอเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเป็นส่วนเว้าเล็กๆ

ขอเพียงออกแรงอีกนิดก็แทงทะลุได้

แต่เสี่ยวลี่จะไม่ทำเช่นนั้น

ตอนนี้เขาไม่มีที่พึ่งใดแล้ว

แต่ในมือกลับมีไพ่เหนือกว่าเพิ่มมาใบหนึ่ง

ไพ่เหนือกว่าใบนี้ก็คือเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาใต้คมกระบี่เขา

ตราบใดที่เขาถูกควบคุมอยู่ในมือของตน เช่นนั้นทุกสิ่งก็มีโอกาสพลิกผัน

ผู้ถวายงานสี่คนที่เหลือเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงพากันล้อมเข้ามา

ไม่เว้นแม้แต่คนยกเกี้ยวสิบหกคนนั้น

พวกเขาวางเกี้ยวลง

คลึงไหล่ข้างที่ยกไม้คานนั้นเตรียมตัวรับมือ

แต่ตอนนี้ไม่อาจกรูเข้าไป

เพราะคมกระบี่ของเสี่ยวลี่ต้องเร็วกว่าท่าร่างของพวกเขามากนัก

และพวกเขาก็เชื่อมั่นในตัวเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามากพอ

ในเมื่อเขากล้ายืนมือเปล่าหมัดเปลือยประจันหน้ากับเสี่ยวลี่

เช่นนั้นเขาก็ต้องเตรียมตัวรอบคอบแล้ว

ผู้ถวายงานเหล่านี้ยังไม่เคยเห็นท่านอ๋องของตนออกมือ

แต่พวกเขารู้ว่าใครก็ตามที่ได้นั่งบัลลังก์อ๋องล้วนต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

ไม่ว่าแผนการหรือขั้นฝึกยุทธ์

ต้องเป็นคนเหนือคน หาได้ยากในร้อยปีเป็นแน่

เพียงแต่ผู้ถวายงานสี่คนนี้ก็สงสัยอยู่ในใจเล็กน้อย…

นั่นคือเหตุใดเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถึงโง่เขลาเช่นนี้

ท่านอ๋องคนอื่นต่อให้มีกลุ่มคนทำงานเก่งกาจแค่ไหน อย่างน้อยในสิบวันก็จะฟังรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชาครั้งสองครั้ง

แต่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากลับไม่เคยทำเลย

ตอนอยู่วังอ๋องถ้าไม่นอนหลับก็ดื่มชา

หรือไม่ก็ดื่มชาเสร็จแล้วเหม่อมองจอกชา

คนในวังอ๋องเข้าใจกิจวัตรนี้กันหมดแล้ว

ขอเพียงท่านอ๋องเหม่อมองจอกชาเป็นต้องรีบจัดข้าวของให้เขา

เพราะเหม่อเสร็จแล้วเขาก็จะไปตกปลาที่บ่อห่านป่าสีชาด

ไม่เคยเว้นเลยสักครั้ง

เหมือนที่ทุกคนรู้ว่าองครักษ์ข้างกายเขาชอบเอาชาคุณภาพต่ำมาย้อมแมวให้เขาดื่ม

อย่างไรก็ละเอียดเป็นเศษใบชาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็แยกไม่ออก

และเจิ้นเป่ยอ๋องผู้นี้ก็ดื่มด้วยความเอร็ดอร่อย

หลายปีมานี้องครักษ์ผู้นั้นอมเงินตำลึงจากค่าใบชาจนสร้างนาดีที่บ้านเกิดได้สามพันหมู่แล้ว

ถึงอย่างนั้นท่านอ๋องผู้นี้ก็ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยแต่อย่างใด

แต่ตอนนี้คมกระบี่จ่ออยู่บนคอหอย

นี่ไม่เหมือนใบชาชั้นดีชั้นเลว

แม้น้ำชาจากใบชาชั้นเลวไม่อาจเทียบใบชาชั้นดี

แต่อย่างไรก็เป็นชา

ไม่ใช่ยาพิษ

ยังมีโอกาสครั้งต่อไปเสมอ

แต่คมกระบี่ของเสี่ยวลี่จะให้โอกาสเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาหรือไม่

ไม่มีใครรู้

เสี่ยวลี่แค่อยากยืมไพ่เหนือกว่าใบนี้ออกจากเมือง

ออกจากเมืองแล้วเขายังเปลี่ยนฐานะได้ ตนก็มีโอกาสเพิ่ม

เขายังไม่มีเวลาใคร่ครวญว่าจะฆ่าเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาหรือไม่

เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามองกระบี่อ่อนในมือเสี่ยวลี่

พลันยกขาข้างหนึ่งขึ้น

ปลายเท้าเตะโดนข้อมือเสี่ยวลี่

ข้อมือเขาสะบัด

กระบี่อ่อนหลุดมือ

เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายกขาอีกครั้งก็เตะกระบี่อ่อนเล่มนี้ลงแม่น้ำ

เสี่ยวลี่พลันตกใจหน้าถอดสี

ไม่ใช่แค่เขา

กระทั่งผู้ถวายงานวังอ๋องสี่คนที่เหลือก็เช่นกัน

นี่เป็นครั้งแรกในหลายปีที่พวกเขาเห็นท่านอ๋องลงมือ

แต่พอลงมือก็ต่างจากคนทั่วไปถึงเพียงนี้!

หากคนคนหนึ่งยืนตัวตรง พื้นที่ที่สองขาของเขาเคลื่อนไหวได้ย่อมกว้างมาก

หากมีการฝึกวิชาขาโดยเฉพาะ ขอบเขตการโจมตียังกว้างกว่าดาบกระบี่เสียด้วยซ้ำ

แต่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยานั่งยองอยู่บนพื้น

ตอนคนนั่งยองสองขาล้วนต้องงอเพื่อรักษาสมดุล

ยิ่งกว่านั้นบนคอเขายังถูกกระบี่เล่มหนึ่งจ่อไว้

แต่ด้วยเงื่อนไขไม่อำนวยมากมายเช่นนี้

เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากลับเตะกระบี่อ่อนในมือเสี่ยวลี่ลอยในขาเดียว

ท่วงท่าสะเทือนโลกาขั้นนี้ในใต้หล้าก็ยากหาคนที่สอง

เสี่ยวลี่เห็นไพ่เหนือกว่าในมือตนหลุดลอยไปแล้ว

ลุกขึ้นจะวิ่งหนี

เพียงแต่บนสะพานหินด้านหลังมีเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาและคนถือโคมไฟสองคนนั้น

อีกด้านยังมีผู้ถวายงานวังอ๋องสี่คนที่ขั้นฝึกยุทธ์ไม่ด้อยกว่าตน รวมถึงคนยกเกี้ยวสิบหกคนที่ยากคาดเดาเหล่านั้นด้วย

คล้ายทางออกหนึ่งเดียวมีเพียงกระโดดแม่น้ำ

แต่แน่นอนว่าการกระโดดน้ำของเขาไม่ใช่ฆ่าตัวตาย

หากเขาอยากตายก็คงหันกระบี่อ่อนหาคอตัวเองตั้งแต่ชักออกมาแล้ว

ตอนสะพานแห่งนี้ก่อสร้างเขาก็อยู่ด้วย

ปีนั้นก็เป็นฤดูนี้พอดี

อาจจะเลยไปอีกสองสามวัน

เพราะดอกไม้ริมแม่น้ำต้องเยอะกว่าตอนนี้หน่อย

สายลมอ่อนพัดมาเป็นระยะ พัดจากถนนยาวลากผ่านสะพานหิน

ใต้ต้นไม้มีหลากสีสันปะปนกัน ใบไม้ขึ้นใหม่หนาแน่นเป็นระเบียบ

ลมพัดสาบเสื้อและเส้นผมของเขาด้วย

ตอนนั้นนัยน์ตาของเขายังเยือกเย็น

ประหนึ่งดาวดวงใหญ่ในท้องฟ้ายามราตรี

วันนั้นเสี่ยวลี่ยืนอยู่ข้างสะพานสี่ชั่วยามเต็มๆ

ตั้งแต่บ่ายจนถึงค่ำ

เขาเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ยามราตรีที่เงียบสงัดตรงหน้าและเวลาที่เลยผ่านโดยไม่รู้ตัว

คนทั้งคนดูผ่อนคลายและเป็นอิสระ

ด้วยมีประสบการณ์หลายปีบนยุทธภพ ตอนนี้เขาจึงผ่อนคลายสบายๆ

“ใช่แล้ว กระหม่อมเป็นคนทำ!”

เสี่ยวลี่เปิดปากกล่าว

“ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า เพราะนอกจากข้าก็ไม่มีคนอื่นรู้แล้ว และการเตรียมงานเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ต้องวางแผนล่วงหน้านานยิ่งนัก…”

เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว

เรื่องที่พวกเขาพูดหาใช่สิ่งอื่น

เป็นเรื่องเบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึงของกองทัพชายแดนที่ถูกปล้นในครั้งนี้

ใครจะคาดคิดว่าในวังอ๋องมีหนอนบ่อนไส้

และหนอนบ่อนไส้คนนั้นก็คือเสี่ยวลี่ผู้ดูแลใหญ่แห่งวังอ๋อง

บุคคลผู้เป็นใหญ่ในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องรองจากเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา

แต่เพราะฐานะของเขานี่ละ เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถึงไม่เข้าใจเอาเสียเลย

เงินสี่ล้านตำลึง

คุ้มค่าให้เสี่ยวลี่สมรู้ร่วมคิดกับศัตรูเชียวหรือ

นี่ไม่ถึงขั้นนั้นแน่นอน

สัญชาตญาณของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยารู้สึกเบื้องหลังเรื่องนี้ต้องมีเหตุผลอีกมากมายที่เขาไม่รู้

ขออภัย

เกิดเหตุขัดข้องในการเชื่อมต่อ กรุณาลองใหม่อีกครั้ง

เขาถึงได้ถามออกมาว่าทำไม

ลองใหม่อีกครั้ง

ไม่เข้าใจก็ถาม

หลายปีมานี้นิสัยของเขายังคงเหมือนเดิม

เรียกได้ว่าเขาเป็นคนที่จิตใจดีงามที่สุดในห้าอ๋องแห่งใต้หล้าแล้ว

“ใช่แล้ว เส้นทางเบี้ยหวัดของกองทัพชายแดนลับสุดยอดทุกครั้ง ทั้งยังเปลี่ยนแปลงตลอด แต่ล้วนต้องผ่านมือกระหม่อมส่งต่อให้เหล่านายทหารที่ส่งมอบเบี้ยหวัด ครั้งนี้พอกระหม่อมเห็นเส้นทางก็ตระเตรียมเรื่องนี้ทันที”

เสี่ยวลี่กล่าว

“เจ้าบอกว่าเรื่องครั้งนี้เจ้าเตรียมทั้งหมดคนเดียวหรือ”

เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยาม

“เรื่องถึงตอนนี้ ถามสิ่งเหล่านี้จะยังมีประโยชน์อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

บทที่ 347 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-1

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเห็นร่างเสี่ยวลี่ล้มตึงไปข้างหน้าพลันหยุดเสียงหัวเราะ

จากนั้นถอนหายใจต่อเนื่องหลายครั้ง

“ท่านอ๋อง เหตุใดเขาจึงนอนลงไปเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

สองคนนั้นเอ่ยถาม

“เขาเหนื่อยแล้วจึงอยากนอน”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว

ทั้งสองคนพยักหน้า

สิบเอ็ดดาบเมื่อครู่ทั้งสิ้นเปลืองพลังงานและสติปัญญายิ่งนัก

ย่อมอ่อนเพลียเป็นธรรมดา

ทว่าคำพูดต่อมาของเจิ้นเป่ยอ๋องกลับทำให้ทุกคนประหลาดใจสุดขีด

“จงสร้างสุสานให้เขาตรงตำแหน่งที่เขานอนหลับ เพียงฝังลงดินไว้…ป้ายหน้าหลุมศพต้องใหญ่กว่านี้และสง่างามอีกหน่อย”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องพูดต่อทันที

“เขาตายแล้วหรือ”

ทั้งสองถามอย่างเหลือเชื่อ

ผู้ถวายงานสี่คนที่เหลือและผู้แบกเกี้ยวสิบคนก้าวเดินขึ้นมาข้างหน้า

“เขาตายแล้ว”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว

“ท่านอ๋อง ร่างกายของเขาไร้รอยบาดแผล…”

ผู้ถวายงานวังอ๋องผู้หนึ่งกล่าวหลังจากตรวจสอบศพแล้ว

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว

ครั้นผู้ถวายงานวังอ๋องผู้นั้นได้ยินพลันตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นประคองร่างของเสี่ยวลี่ขึ้นมาและเริ่มค้นหา

กระทั่งมองเห็นเข็มเงินบางเฉียบราวกับขนวัวในตำแหน่งที่ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าวมาดังคาด

เข็มเงินเล่มนี้ไม่ต่างอะไรกับเข็มที่หมอใช้ในยามทั่วไป

เพียงแต่ว่าเรียวยาวกว่าเล็กน้อย

“คุ้มกันท่านอ๋อง!”

ผู้ถวายงานวังอ๋องผู้นั้นถือเข็มเงินและมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

คาดไม่ถึงว่าระหว่างที่เสี่ยวลี่วิ่งอยู่ภายใต้สายตาของฝูงชนจะถูกปลิดชีวิตเพียงเข็มเงินเรียวเล่มเดียว

การทำให้คนผู้หนึ่งตายมักเพื่อปกปิดบางสิ่ง

รู้มากเท่าใด ตราบใดที่สิ้นลมก็ไร้ประโยชน์

“ไม่จำเป็น…คนจากไปนานแล้ว!”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องยกมือขึ้นพลางกล่าว

“หรือว่าท่านอ๋องจะมองเห็นมาก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ?”

ผู้ถวายงานวังอ๋องผู้นั้นเอ่ยถาม

“มองเห็นสิ่งใดหรือ”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเงยหน้าขึ้นกล่าวถาม

“มองเห็นผู้ที่ลอบสังหารพ่ะย่ะค่ะ”

ผู้ถวายงานวังอ๋องกล่าว

เดิมทีคิดว่าสองคนที่ถือโคมอยู่หัวสะพานคือมือสังหารเสียอีก

คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวลี่จะเป็นหนอนบ่อนไส้และทรยศ

ทว่าตอนนี้หนอนบ่อนไส้ผู้นี้ถูกมือสังหารตัวจริงสังหารแล้ว

เจิ้นเป่ยอ๋องครุ่นคิดเรื่องนี้อีกหนหนึ่งจึงรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าเล็กน้อย

เขารู้สึกว่าทั้งๆ ที่ผู้ที่ตายควรเป็นตนเองจึงจะถูก

หากคนเหล่านี้ต้องการเพียงเงิน

เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ลองหาบ่อนพนันหรือโรงแลกเงินขนาดใหญ่สักแห่งเล่า

เงินในสถานที่เหล่านั้น ไม่แน่ว่าอาจมีมากกว่าสี่ล้านตำลึงด้วยซ้ำ

อีกทั้งคุณสมบัติก็ต่างกันด้วย

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องไม่รู้ชัดถึงจุดประสงค์แท้จริงของอีกฝ่าย

แต่เขารู้ว่าวิธีการของอีกฝ่ายนั้นสูงยิ่งนัก

แม้แต่เสี่ยวลี่ที่ติดตามเขามานานหลายปียังถูกยุยงให้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาคอยรับใช้ได้

ยอดฝีมือชำนาญอาวุธลับนั้นก็อย่าได้เสียเวลาเอ่ยถึง

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องนั่งอยู่บนขั้นบันไดสะพานหินอยู่พักหนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นยืนและเดินไปยังเกี้ยวของตน

“กลับกันเถิด จำไว้ว่าเสี่ยวลี่เคราะห์ร้ายถึงชีวิตขณะพยายามคุ้มกัน…ช่างเป็นผู้จงรักภักดีจริงๆ!”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าวเช่นนี้ขณะนั่งบนเกี้ยว

ครั้นคนภายนอกได้ยินเช่นนี้จึงพากันพยักหน้า

แม้ว่าคำพูดนี้จะตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงโดยสิ้นเชิง

แต่บางครั้งการปิดบังความจริงก็เป็นการปกป้องอย่างหนึ่งเช่นกัน

ไม่เพียงแต่ปกป้องราษฎรในเมืองอ๋อง ทั้งยังปกป้องเกียรติของซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องอีกด้วย

เขาเคยคิดมานานแล้วว่าอาจเป็นสิ่งที่ชาวทุ่งหญ้ากระทำหรือไม่

เนื่องจากเบี้ยหวัดของทัพชายแดนถูกปล้นชิง ผู้รับผลประโยชน์รายแรกย่อมเป็นราชสำนักทุ่งหญ้าที่อยู่อีกฟากหนึ่งของอาณาจักรอ๋อง

แต่ความคิดนี้ของซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องในตอนนี้เริ่มไขว้เขวเล็กน้อย…

แม้ชาวทุ่งหญ้าจะแข็งแกร่งดุดัน

แต่ไม่มีทางฉลาดเฉียบแหลมวางกลยุทธ์ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพียงนี้ได้แน่นอน

แม้ว่าจะถูกชาวทุ่งหญ้าปล้นชิงไปจริงๆ ก็ตามที

ชาวทุ่งหญ้าที่อยู่ลึกเข้าไปในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องกลุ่มนี้ จะต้องถูกผู้คนคิดว่าเป็นผู้ปล้นชิงเป็นแน่

เมื่อกลับถึงวังอ๋อง

สิ่งแรกที่ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องทำคือการประกาศยกเลิกคำสั่งทำความสะอาดถนน

ทำให้ทั้งเมืองอ๋องกลับคืนสู่ความคึกคักผู้คนขวักไขว่ไปมาในพริบตา

สิ่งที่สองย่อมเป็นการประกาศการเสียชีวิตของเสี่ยวลี่

ทว่านี่กลับทำให้ทั่วทั้งเมืองอ๋องปกคลุมไปด้วยบรรยากาศเศร้าหมอง…

หลังจากทำสองสิ่งนี้เสร็จสิ้น เขารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย

เรื่องที่ครุ่นคิดในวันนี้มากกว่าที่สะสมมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาเสียอีก

ไม่แปลกที่เขาจะไม่ชินกับมัน

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องนั่งบนบัลลังก์ในพระตำหนักวังอ๋องของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นเตรียมจะไปพระตำหนักหลัง

ในตอนนี้เอง คนผู้หนึ่งก้าวฉับๆ เข้ามาอย่างรวดเร็ว

“ท่านอ๋อง!”

คนผู้นี้เห็นซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเพิ่งลุกขึ้นจึงรีบค้อมกายคำนับแล้วกล่าว

พระตำหนักแห่งนี้สร้างในร่มเงา

แม้ว่าแสงแดดในยามนี้จะเจิดจ้า แต่หาได้สาดส่องเข้ามา

ในพระตำหนักไม่มีตะเกียงสักดวง

ด้วยเหตุนี้ โครงหน้าของคนผู้นี้จึงมองเห็นไม่ชัดเจนอยู่บ้าง

ทว่าผู้ที่สามารถเข้าออกพระตำหนักวังอ๋องได้อย่างอิสระล้วนเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องอย่างยิ่ง

จากน้ำเสียงและฝีเท้าของอีกฝ่าย เขาสามารถรับรู้และบอกได้ว่าเป็นผู้ใด

ไม่จำเป็นต้องเห็นใบหน้าชัดเจน

“ซุนเต๋ออวี่ เจ้ากลับมาเร็วเพียงนี้เลยหรือ”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว

ผู้มาเยือนหาใช่ผู้อื่น

ซุนเต๋ออวี่หนึ่งในสามผู้ถวายงานที่เขาส่งไปตรวจสอบเบี้ยหวัดที่หายไปนั่นเอง

“ทูลท่านอ๋อง เพิ่งถึงเมื่อครู่พ่ะย่ะค่ะ”

ซุนเต๋ออวี่กล่าวด้วยความเคารพ

“นั่งลงพูดคุยเถิด…”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว

น้ำเสียงของเขาเอือมระอาอย่างยิ่ง

เพราะเขาไม่อยากได้ยินซุนเต๋ออวี่พูดสักคำด้วยซ้ำ

แต่กระทำการใดย่อมต้องมีมารยาท

จะฟังเข้าหูหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะฟังหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

หากตอนนี้เขายังมีท่าทีเกียจคร้านอยู่ก็จะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำงานหนักทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังเหล่านี้ผิดหวัง

ฉะนั้นเขาจำต้องฟัง

แม้ว่าจะฟังไม่เข้าหูก็ต้องฝืนนั่งตัวตรงบนบัลลังก์และรอจนอีกฝ่ายพูดจบ

ท่ามกลางผู้ถวายงานของวังอ๋อง เขาไม่ชอบซุนเต๋ออวี่ที่สุด

ไม่ได้เป็นเพราะคนผู้นี้ไม่ดี

แต่เป็นเพราะคำพูดของเขาทำให้คนฟังรู้สึกเบื่อหน่าย…

เพื่อให้ประโยคชัดเจนล้วนพูดวกไปวนมาสามสี่หน

ในตอนแรก ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องยังมีใจคิดแก้ไขปรับปรุงเขา

กระทั่งชิงเอ่ยถามก่อนตอนที่เขากำลังพูดคุย หมายจะเร่งความคืบหน้า

คิดไม่ถึงว่าคำถามนี้จะทำให้อีกฝ่ายระมัดระวังในรายละเอียดมากขึ้น

เหลือเพียงบอกว่าตนกินสิ่งใดในสามมื้ออาหารเมื่อออกไปอยู่ข้างนอกมาหลายวัน

แต่ระดับพลังวิถียุทธ์และความสามารถจัดการธุระของซุนเต๋ออวี่กลับเป็นผู้ที่เก่งกาจอย่างยิ่ง

เมื่อพบเจอเรื่องใหญ่ใดๆ จำต้องให้เขาจัดการ

ครั้นคิดหน้าคิดหลังแล้วจึงทำได้เพียงอดทนเท่านั้น…ไร้ทางเลือกอื่น

“ท่านอ๋อง กรมสอบสวนกลางเข้าแทรกแซงพ่ะย่ะค่ะ!”

ซุนเต๋ออวี่กล่าว

ครั้นซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องได้ยินพลันตกตะลึง!

สิ่งที่เขาตกตะลึงไม่ใช่การเข้าแทรกแซงของกรมสอบสวนกลาง

แต่เป็นซุนเต๋ออวี่ที่ครั้งนี้ผิดไปจากเดิมและพูดประเด็นสำคัญในประโยคแรกต่างหาก

จงรู้ไว้ว่าซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องได้ปรับท่าทางที่สบายที่สุดบนบัลลังก์แล้ว

เพียงรอให้ซุนเต๋ออวี่พูดเรื่องราววกวนช่วงหลายวันที่ผ่านมานับตั้งแต่ออกจากเมืองอ๋องไป…

“กรมสอบสวนกลางหรือ”

เหตุใดพวกเขาจึงรู้รวดเร็วถึงเพียงนี้เล่า

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องถาม

แม้เขาจะรู้ว่าสถานที่ที่ถูกปล้นชิงเบี้ยหวัดจะมีอาคารกรมสอบสวนอยู่แห่งหนึ่งก็ตาม

แม้ว่าตงอี้ผู้สั่งการกองและเป็นหัวหน้าอาคารของอาคารกรมสอบสวนแห่งนี้จะถูกจิ้งเหยาสังหารไปแล้ว

แต่ซุนเต๋ออวี่และพรรคพวกเป็นคนค้นพบศพ

อีกทั้งได้มีการรายงานไปยังกรมสอบสวนกลาง

แต่ไม่ว่าจะเป็นฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าหรือกรมสอบสวนกลางต่างก็ยังไม่ตอบกลับใดๆ

ควรจะพูดถึงการแทรกแซงว่าอย่างไรอีกเล่า

“กระหม่อมพบคนผู้หนึ่งในเมืองที่เบี้ยหวัดถูกปล้น เป็นอวิ้นเหวิน อดีตผู้กำกับการกรมสอบสวน เพียงแต่ว่านางออกจากกรมสอบสวนเมื่อไม่กี่ปีก่อนและเปลี่ยนนามเป็นเยว่ตี๋ท่องยุทธภพพ่ะย่ะค่ะ”

ซุนเต๋ออวี่กล่าว

หลังจากซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องได้ยินก็ครุ่นคิดหนัก…

เขารู้โครงสร้างของกรมสอบสวนกลางเป็นอย่างดี

ผู้กำกับการกรมมีเพียงสองคนเท่านั้น

เป็นรองเพียงผู้บังคับการกรมเว่ยฉี่หลินในกรมสอบสวน

“เจ้ารู้จักนางได้อย่างไร”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเอ่ยถาม

“เรื่องนี้…เอ่อ…หลังจากคนผู้นี้เปลี่ยนนามเป็นเยว่ตี๋ เคยรู้จักกับกระหม่อมในอดีตพ่ะย่ะค่ะ”

คำกล่าวนี้ของท่านอ๋อง บังเอิญถามในส่วนที่เก้อกระดากที่สุดของซุนเต๋ออวี่

เขาที่สงบนิ่งเถรตรงมาโดยตลอดกลับอึกอักขึ้นมา

“เจ้าพูดต่อสิ!”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องมองท่าทางของซุนเต๋ออวี่ปราดเดียวก็รู้ว่าจะต้องมีเรื่องราวบางอย่างที่เขาเล่าได้ยากแน่นอน

เจ้าไม่อยากเห็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตนอับอาย

จึงยิ้มอย่างอ่อนโยน

ทั้งยังเรียกให้องครักษ์นำสุราเข้ามาสองกา

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องไม่ชอบดื่มสุรา

สิ่งที่แปลกก็คือ ทุกครั้งที่เขาเห็นซุนเต๋ออวี่กลับอยากดื่มสุราเสียอย่างนั้น…

ทว่าแต่ไรมาซุนเต๋ออวี่ไม่เคยแตะสุราแม้แต่หยดเดียว

มีเพียงยามที่พบกับสถานการณ์สุขสันต์ยิ่งใหญ่จึงดื่มเพียงครึ่งจอกเพื่อแสดงน้ำใจเท่านั้น

คนที่ไม่ดื่มสุราทั้งสองคน ไฉนต้องจัดสุราด้วยเล่า

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้

เขาเพียงรู้สึกว่าผู้ที่มีสติแจ่มชัดจะดื้อดึงเกินไปในบางครั้ง ไม่เข้าใจความรักเลยแม้แต่น้อย…

เมากรึ่มๆ ออกจะดี มองใต้หล้าผืนนี้พร่ามัวเสียหน่อย เรื่องเศร้าเสียใจจะทุเลาลงมากโข

“และยังมีคนหนุ่มสาวอีกสองคนข้างกายอวิ้นเหวิน เดาว่าคงจะเกี่ยวพันกับกรมสอบสวนอยู่บ้าง”

ซุนเต๋ออวี่กล่าวต่อทันที

“เมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนข้าตกปลาที่บ่อห่านป่าสีชาดสัมผัสได้ถึงความอลหม่านดังอึกทึกครึกโครมมาจากทิศทางที่เบี้ยหวัดถูกปล้นไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องถาม

“เพราะอวิ้นเหวิน…ออกกระบี่แหวกนภา…เกือบจะถึงขอบเขตเทพบริราชเก้าทวีปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ซุนเต๋ออวี่กล่าว

“อวิ้นเหวินนี่ช่างเก่งกาจ! ท้ายที่สุดเหตุใดจึงไม่สำเร็จเล่า”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเริ่มสนใจขึ้นมา

“นาง…ยอมแพ้ไปเอง เรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในเป็นแน่…”

ซุนเต๋ออวี่ชั่งใจอยู่นาน ในที่สุดก็เล่าเรื่องในอดีตระหว่างอวิ้นเหวินกับบุตรชายของเขาให้ฟัง

ครั้นพูดจบเขาก็เอาแต่ก้มศีรษะ

ไม่อาจสบสายตาตรงๆ ได้อีกต่อไป

สุราจัดขึ้นโต๊ะแล้ว

ซุนเต๋ออวี่ก้มหน้ามองจอกสุรา รินให้ตนเองจนเต็มจอกแล้วเงยหน้าดื่มรวดเดียว

เมื่อดื่มสุราจอกนี้จนเกลี้ยง เขากลับเห็นว่าซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องยังถือจอกสุราค้างไว้

น้ำตารื้นขอบตา

“เฮ้อ…มีความรักและความภักดี! ช่างเป็นสตรีที่เรียกได้ว่าวิเศษในโลกจริงๆ!”

ซ่างกวนซวี่เหยาทอดถอนใจขึ้นมา

กว่าจะรู้ตัวก็ดื่มสุราไปหลายจอกแล้ว

หลังจากได้สติกลับมาก็รู้สึกว่าตนลืมตัวจนเสียกิริยาไปเสียแล้ว

รีบร้อนเก็บสีหน้า

ร่างที่แต่เดิมนั่งเอนบนบัลลังก์ก็ปรับตัวตรง

“หลังจากนั้น อวิ้นเหวินกับคนหนุ่มสาวสองคนนั้นก็จากไป ดูทิศทางแล้วน่าจะไปเมืองหยางเหวินพ่ะย่ะค่ะ”

ซุนเต๋ออวี่กล่าว

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องพยักหน้า

แม้ว่าเมืองหยางเหวินจะไม่ใช่เมืองที่ใกล้จุดปล้นชิงเบี้ยหวัดมากที่สุด แต่ในระยะร้อยลี้มีเพียงเมืองหยางเหวินที่มีอาคารกรมสอบสวนตั้งอยู่

อีกทั้งหัวหน้าอาคารของอาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินยังเป็นผู้บังคับบัญชาอีกด้วย

“ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องรายงานต่อท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”

ซุนเต๋ออวี่วางจอกสุราลงแล้วกล่าว

“เรื่องใดหรือ”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องรู้สึกว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ต้องไม่ปกติเป็นแน่

เพราะซุนเต๋ออวี่ที่อยู่ในความกระอักกระอ่วนเมื่อครู่เคร่งขรึมขึ้นมากะทันหัน

“ผู้จุดตะเกียงเหมันต์ปรากฏตัว…ที่เมืองหยางเหวิน วันนั้นเป็นงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของจิ้นเผิง หัวหน้าอาคารแห่งอาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวิน ผู้จุดตะเกียงเหมันต์พาหลานสาวมาร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ซุนเต๋ออวี่กล่าว

“ผู้จุดตะเกียงเหมันต์! เหตุใดช่วงนี้อาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องของข้าจึงคึกคักถึงเพียงนี้…”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องโคลงศีรษะ

ชาวทุ่งหญ้า กรมสอบสวนกลาง ผู้จุดตะเกียงเหมันต์

รวมถึงเสี่ยวลี่ที่เสียชีวิตไป

มองเพียงแวบเดียวก็มีสี่ขุมอำนาจที่แตกต่างกันมีเอี่ยวเรื่องการปล้นชิงเบี้ยหวัดทัพชายแดนสี่ล้านตำลึงของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง

นี่ยังไม่นับรวมกองกำลังอาณาจักรเจิ้นเป่ยของเขาเข้าไปด้วย

ซ่างกวนซวี่เหยาจมอยู่ในความคิดครู่หนึ่งจึงบอกเรื่องการตายของเสี่ยวลี่กับซุนเต๋ออวี่

ขณะเดียวกัน ก็ให้เขาแบกรับภาระหน้าที่ของเสี่ยวลี่ก่อนหน้านี้

ดูแลเรื่องซับซ้อนจิปาถะทั้งหมดในวังอ๋องและเมืองอ๋อง

เดิมซุนเต๋ออวี่ต้องการปฏิเสธ

ไม่ว่าจะด้วยความจริงใจหรือตามมารยาท

ท่านอ๋องมอบภาระหนักไว้บนบ่า ปฏิเสธย่อมดีกว่า

แต่ซ่างกวนซวี่เหยากลับโบกมือ

ยืนขึ้นแล้วก้าวเท้าออกจากพระตำหนักไป

ท่านอ๋องผู้นี้ที่ตนมองเห็นกลับไร้ความรีบร้อน

ซุนเต๋ออวี่ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างจนปัญญา

เขาจะต้องไปจวนของเสี่ยวลี่สักหนหนึ่ง

แม้คนจะตายไปแล้ว แต่สิ่งของยังอยู่

ไม่แน่ว่าอาจพบเบาะแสบางอย่างก็เป็นได้

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท