บทที่ 1202 ตอนพิเศษ (77.1)
พลั่ก!
ชูอียกเสือที่ตายแล้วขึ้นเกวียน
หลี่ซานโบกมือไปมาข้างหน้าเขาแล้วเอ่ย “พี่ชูอี เหตุใดท่านเหม่อลอยเช่นนี้?”
ชูอีได้สติกลับคืนมาจึงเอ่ย “ไม่มีอะไร”
“พี่ชูอี ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่าน ไม่เช่นนั้นพวกเราคงตายแล้ว เสือตัวนี้เป็นท่านที่ฆ่า ชีวิตพวกเราก็เป็นท่านที่ช่วยไว้ ท่านวางใจ รอขายเสือตัวนี้ได้แล้ว พวกเราจะนำเงินมาให้ท่าน”
“ค่าขนย้ายหนึ่งร้อยอีแปะ” ชูอีเอ่ยนิ่ง ๆ “พี่น้องแท้ ๆ ยังต้องแยกบัญชีให้ชัดเจน ข้าไม่ให้เจ้าเสียเปรียบอย่างแน่นอน”
“แหะ ๆ” หลี่ซานเกาหัวแกรก ๆ “กล่าวกันตามเหตุผลแล้ว ข้าไม่ควรรับเงินจำนวนนี้ เพียงแต่เพราะเสือตัวนี้ พี่น้องเรามากน้อยล้วนได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณพี่ชูอีแทนพวกเขาแล้ว”
แม้ว่าเสือจะตายแล้ว แต่เนื่องด้วยขนาดและความหายากของมัน อย่างน้อยก็ต้องขายได้หนึ่งร้อยตำลึงเงิน
หลี่ซานมองชูอี แววตาเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา
หากเขามีความสามารถอย่างชูอีก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องสินสอดทองหมั้น
หลี่ซานกำลังจะขับเกวียนออกไป ทว่าจู่ ๆ ชูอีก็หยุดเขาไว้
“หลี่ซาน ได้ยินว่าเจ้ากำลังจะแต่งงาน”
“หา?” หลี่ซานเอ่ยอย่างจนปัญญา “สินสอดยังไม่พอ จะสำเร็จหรือไม่ยังไม่รู้ ถึงแม้ข้าจะชอบหลานเอ๋อร์มาก แต่หากสินสอดไม่พอ แม่นางกับพี่ชายนางย่อมไม่ยกคนให้ข้า ข้าน่ะ พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่หากไม่มีวาสนาก็ทำได้เพียงยอมรับ ถึงแม้ข้าจะชอบนางก็ไม่อาจไม่สนใจแม้กระทั่งพ่อแม่กระมัง? บ้านนางเป็นบ่อไร้ก้น ข้าไม่มีความสามารถ ไม่อาจถมบ่อนั้นได้”
หลังจากหลี่ซานบ่นก็มองชูอีด้วยความสงสัย
“เหตุใดจู่ ๆ ท่านถึงได้ถามเรื่องนี้?”
เขาดูไม่เหมือนคนที่จะสงสัยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้นี่นา!
“ถ้าหาก… ข้าหมายความว่าถ้าหาก… เจ้าชอบจางเสี่ยวหลาน ทว่าเพราะสินสอดไม่เพียงพอ เจ้าไม่อาจเลี่ยงจึงต้องแต่งงานกับสตรีอื่น เช่นนั้นเจ้าจะยังชอบจางเสี่ยวหลานอยู่หรือไม่?”
เขาไม่ชอบการยกตัวอย่างนี้นัก
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ชอบจางเสี่ยวหลานจริง ๆ หากไม่หมดสิ้นหนทาง เขาก็ไม่อยากยอมแพ้ต่อความสัมพันธ์นี้แม้แต่น้อย
“คงใช่กระมัง อย่างไรเสียข้าก็ชอบนางมาห้าปีแล้ว” หลี่ซานลูบหัวตัวเองด้วยสีหน้าเขินอาย
“เช่นนั้นเจ้าไม่รู้สึกผิดต่อภรรยาเจ้าหรือ?”
หลี่ซาน “…”
ในเมื่อเป็นเรื่องสมมติก็อย่าจริงจังนักได้หรือไม่?
ชูอียังไม่ยอมปล่อยเขาและเอ่ยถามต่อไป “ถ้าหากเจ้าและภรรยาของเจ้ามีลูกสองคน แต่ยามนี้ภรรยาเจ้าเสียชีวิตด้วยเหตุผลบางอย่าง จางเสี่ยวหลานบังเอิญยังไม่ได้แต่งงานหรือไม่ก็สามีตาย เจ้าจะยังอยู่กินกับจางเสี่ยวหลานหรือไม่?”
หลี่ซาน “…”
ชูอีไม่ได้สนใจสีหน้าของหลี่ซาน เขายังคงกล่าวต่อไป “ถ้าเจ้าแต่งจางเสี่ยวหลาน เช่นนั้นเจ้าจะยังจดจำภรรยาของเจ้าได้หรือไม่? ยามเห็นลูกสองคนนั้นจะเสียใจภายหลังที่อยู่กินกันกับจางเสี่ยวหลานหรือไม่ ภายหลังเจ้าจะคิดถึงภรรยาขึ้นมาหรือไม่?”
“พี่ชูอี นี่ท่าน…” ถูกสิงแล้วหรือ?
อย่าได้พูดเรื่องสมมติเยอะแยะเพียงนี้และทำให้คนตกใจกลัวได้หรือไม่?
ถึงแม้เขาจะกลัดกลุ้มที่ไม่สามารถหาสินสอดได้ ทว่าก็ยังไม่ถึงขั้นสิ้นหวัง เรื่องถ้าหากหลายเรื่องนี้ของชูอีราวกับน้ำเย็นถังหนึ่งที่เทลงมาใส่หลี่ซานทำให้เขารู้สึกว่าหนทางข้างหน้าช่างมืดมน มองไม่เห็นแม้เพียงแสงสว่าง
“ช่างเถิด เจ้าไปเถอะ!” ชูอีหลุบตาลง “ข้าเวียนหัวเล็กน้อยจึงพูดจาเหลวไหลไปบ้าง เจ้าอย่าได้ใส่ใจ”
“เสือตัวนี้ดุร้ายมาก ท่านจัดการมันคนเดียว คิดว่าคงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เช่นนั้นท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด รอข้าขายเสือได้แล้วจะมาหาท่าน” หลี่ซานขับเกวียนออกไปอย่างรวดเร็ว
เพื่อที่จะจากไปให้เร็วขึ้น เขาจึงหวดแส้ในมือระรัว ผลที่ได้คือ วัวตื่นตกใจและเริ่มออกวิ่งด้วยความเร็วไม่แพ้รถม้าแม้แต่น้อย หลี่ซานถึงกับตกใจเลยทีเดียว
ชูอีนั่งอยู่ในลานบ้าน มองออกไปไกล ๆ ด้วยความงุนงง
ในสมองของเขายังวนเวียนไปด้วยภาพรอยยิ้มทั้งน้ำตาของลู่จื่ออวิ๋น
ชั่วขณะนั้น หัวใจของเขาเจ็บปวดรวดร้าวเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่ครั้งหนึ่งเคยมีคนมอบดอกไม้ให้นาง แววตาของนางเต็มไปด้วยความรัก แววตาเช่นนั้นไม่อาจเสแสร้งได้ เห็นได้ชัดว่านางชอบคนที่เคยมอบดอกไม้ให้ผู้นั้นมากจริง ๆ
“ชูอี กลางวันนี้กินกุยช่ายผัดไข่กันเถอะ! ไก่พึ่งออกไข่สองใบ ไข่ยังอุ่น ๆ อยู่เลย” ป้าหลินคลำผนังข้าง ๆ เดินเข้ามา ในมือยังถือไข่เอาไว้
ชูอีรีบเข้าไปช่วยพยุงหญิงชรา
“ข้าช่วย”
“อะไร ๆ เจ้าล้วนไม่ให้ข้าทำ รังเกียจข้ายายเฒ่าที่เอาแต่สร้างปัญหาผู้นี้ใช่หรือไม่?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่”
“เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว ข้าไม่ได้ออกไปที่ใด เพียงเดินอยู่รอบ ๆ บ้านเท่านั้น หากเจ้ายังไม่ปล่อยให้ข้าทำ เช่นนั้นข้ายายเฒ่าผู้นี้ก็ไร้ประโยชน์ ข้าไม่รู้ว่าตนจะอยู่ได้อีกสักกี่วัน ถึงอย่างไรอยู่ได้อีกหนึ่งวันก็คือหนึ่งวัน ชูอีเอ๋ย เมื่อครู่เจ้าเหม่อลอยใช่หรือไม่? หากเปลี่ยนเป็นยามปกติ เจ้าคงเข้ามาพยุงข้านานแล้ว แต่เมื่อครู่เจ้าไม่ได้สังเกตเห็นข้า”
“ข้า…”
“มีอะไรกวนใจเจ้าใช่หรือไม่? แม่ช่วยเจ้าเรื่องอื่นไม่ได้ ทว่ารับฟังคำพูดเจ้าได้เสมอ”
“ไม่มีอะไรขอรับ” ชูอีหยิบไข่ไปจากมือนาง “ข้าจะไปหั่นกุยช่าย”
ป้าหลินพึมพำ “เจ้าเด็กคนนี้ ช่างคิดมากเสียจริง”
ติงเซียงมาเคาะประตู “ท่านป้า ข้าเข้าไปได้หรือไม่?”
“เป็นแม่นางน้อยข้างบ้านหรือ!” ป้าหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รีบเข้ามา ๆ ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจ”
ติงเซียงเดินถือตะกร้าเข้ามาและเอ่ย “ข้อง*[1] ที่บ้านเป็นรูน่ะเจ้าค่ะ คุณหนูบ้านข้าจึงตั้งใจจะหยิบยืมข้องที่คุณชายชูอีทำเสียหน่อย”
“นางอยากกินปลาหรือ?” ชูอีเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว! คุณหนูชอบกินปลา” ติงเซียงเอ่ย “คุณชายชูอีให้ข้ายืมข้องที่ท่านทำหน่อยได้หรือไม่?”
“ข้องพัง ให้พวกท่านยืมก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี เอาอย่างนี้ ข้าบังเอิญอยากกินปลาพอดี ถึงตอนนั้นจะจับปลามามากหน่อยแล้วค่อยส่งไปให้พวกท่าน”
“เช่นนั้นก็ขอบคุณแล้ว” ติงเซียงกล่าว “พวกเราจะจ่ายตามราคาตลาด”
“หากพวกท่านคิดจะซื้อปลา ข้าไม่ขาย พวกท่านไปหาคนขายปลาสักคนก็ใช้ได้แล้ว อย่างไรเสียข้าก็กินไม่มาก เพียงแต่ไม่อยากเสียของ” ชูอีเอ่ยเสียงเรียบ
“คุณชายชูอี ท่านน่าสนใจจริง ๆ” ติงเซียงหัวเราะ “ท่านยินดีส่งปลาให้พวกเราเปล่า ๆ เช่นนั้น พวกเราย่อมไม่ปฏิเสธให้เสียน้ำใจอย่างแน่นอน”
ชูอีถือข้องไปที่แม่น้ำ
ยามนี้พระอาทิตย์กำลังส่องแสงเจิดจ้า ทุกคนล้วนซ่อนตัวอยู่ในบ้านดื่มด่ำกับอากาศเย็นสบาย ริมแม่น้ำจึงไม่มีวี่แววคนแม้เพียงผู้เดียว
ชูอีถือข้องลงไปในน้ำ
เขาใช้ข้องจับปลาเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม ปลาในแม่น้ำฉลาดมาก ทันทีที่พวกมันได้ยินการเคลื่อนไหวใด ๆ ก็จะหนีไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนที่เพิ่งลงน้ำยังพอมองเห็นเงาปลา ภายในพริบตา ปลาเหล่านั้นกลับเริ่มหายไป
ตูม! มีคนตกลงไปในน้ำ
ชูอีหันกลับไปเห็นเงาร่างหนึ่งราง ๆ
เขาจึงกระโดดลงน้ำว่ายเข้าไปหาคนผู้นั้นและช่วยพาคนผู้นั้นขึ้นฝั่ง
“เกิดอะไรขึ้น?” ลู่จื่ออวิ๋นเห็นชูอีช่วยสตรีผู้หนึ่งขึ้นมาจากน้ำจึงเอ่ยถาม
ชูอีเห็นนาง ยิ่งไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจึงรีบร้อนเอ่ย “ข้ากำลังจับปลา จู่ ๆ นางก็ตกน้ำ ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ลู่จื่ออวิ๋นเห็นสตรีตรงหน้าจึงเอ่ยว่า “ท่านหลีกไป”
ชูอีขยับไปด้านข้าง
[1] ข้อง : เครื่องจักสานชนิดหนึ่ง สานด้วยไม้ไผ่ มีลักษณะปากแคบคล้ายคอหม้อดินใช้สำหรับใส่ปลา