ตอนที่ 798 ถามถึงความรักบนโลกว่าคือสิ่งใด
หลายครั้ง การไม่พูดไม่ได้หมายความว่าเป็นแค่การนิ่งเงียบ และไม่ใช่การฝังกลบตัวเองเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างนิ่งเงียบ
เนื่องจากความรัก เนื่องจากหน้าตา เนื่องจากสถานะ ไม่เหมาะสมที่จะพูดก็เลยแกล้งทำเป็นใบ้หูหนวกไปเสีย นี่เป็นนิสัยพื้นฐานของคนส่วนใหญ่ และยังเป็นสัญชาตญาณในการปกป้องตัวเองอีกด้วย
แต่นี่ไม่ใช่สไตล์ของอิ๋งโกว เขาไม่พูด ไม่ใช่เพราะว่าไม่สะดวกที่จะพูด เพียงแค่ขี้เกียจพล่ามก็เท่านั้น
เวลานี้ภาพในความทรงจำราวกับหม้อต้มน้ำที่เริ่มเดือดปุดๆ
บางทีภายในภาพความทรงจำนี้ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นอิงอิงที่นั่งอยู่บนพื้นหรือว่าแผ่นหลังอันวิจิตรงดงามที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น ความรู้สึกในใจมีความละม้ายคล้ายกันเหลือเกิน นั่นก็คือราวกับว่าในขณะนี้ หญิงสาวทั้งสองต่างก็รู้สึกว่าตนเป็นผู้แพ้ราบคาบ
หญิงสาวทั้งสองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันก่อนหน้านี้ดันมีความรู้สึกเศร้าอาดูรร่วมกันไปเสียได้
ภาพในความทรงจำเริ่มบิดเบี้ยว เปรียบเสมือนรถเก๋งคันหนึ่งสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิงจนเริ่มเร่งความเร็วเองและมุ่งหน้าไปทางที่ไม่รู้จัก แต่ท่ามกลางความเป็นจริงภายนอกนั้น บาดแผลบนฝ่ามือซ้ายของอิงอิงที่มีอยู่แต่เดิมกำลังสมานตัวด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
หนึ่งคือเชิญท่านลงโอ่ง[1] สองคือจับเต่าในไห[2]
คนที่หัวเราะได้ดังสะใจที่สุดนั้น แท้จริงแล้วสู้คนที่หัวเราะทีหลังไม่ได้ด้วยซ้ำ
ก็จริง คนที่สามารถพูดกับคนผู้นั้นบนสะพานไน่เหอว่า ‘หากไม่ใช่เพราะทองคำแท่งของข้าเสียบเข้าร่างกายเจ้าในตอนแรก มีหรือที่เจ้าจะอยู่รอดได้นานถึงตอนนี้’ อย่างเจ้าโง่นั่น มีหรือจะวางแผนล่วงหน้าขนาดนี้เพื่อสตรีนางหนึ่ง
เขาเบื่อหน่ายถึงขนาดนั้นเชียวหรือ
ถัดจากแท่นบูชา สัญลักษณ์สีทองที่แยกออกจากหน้าผากของอิงอิงก่อนหน้านี้ยังคงจัดระเบียบค่ายกล และไม่ได้สยบเงาดำและลมสีฟ้ากลับไป เพียงแต่ยังรักษาความนิ่งงันแบบนี้ต่อไป
ส่วนโจวเจ๋อนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างสงบนิ่งมาก และในเวลานี้เอง พลังที่คุ้นเคยเริ่มไหลทะลักราวกับกระแสน้ำเข้ามาเติมเต็มทั้งแขนและขารวมถึงกระดูกของโจวเจ๋อในชั่วพริบตา ความรู้สึกที่คุ้นเคย จังหวะที่คุ้นเคย และคำพูดที่คุ้นเคยปรากฏออกมาพร้อมพลังนั้น “เหตุ…ใด…ไม่…ระ…เบิด…ทำ…ลาย…ไท่…ซาน…”
คำถามเฉียบคมมาก แต่กลับดูเหมือนว่าจะสูญเสียปลายคมกริบที่สุดไปแล้วและทำร้ายใครไม่ได้อีก เพราะตอนที่โจวเจ๋อสามารถตัดสินใจ เขาไม่ระเบิดไท่ซานในร่างกายแต่ดันเลือกที่จะปล่อยแทน
โจวเจ๋อนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นส่ายหน้าโดยที่ไม่พูดอะไร ในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะตอบอะไรไปล้วนรู้สึกละอายใจเหลือเกิน และทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนถูกปิดบัง ความกระอักกระอ่วนละม้ายคล้ายคลึงกับแม่นางสวี่ ทั้งๆ ที่ทุกอย่างปกติดี แต่ทว่าเป็นเพราะหน้าตาสะสวย ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขามีเสน่ห์มาก เขากำลังล่อลวงให้คุณทำความผิด
โจวเจ๋อยืนขึ้น นัยน์ตาที่เหนื่อยล้าแต่เดิมแปรเปลี่ยนเป็นความชัดเจนและแน่วแน่
หลังจากเงาดำข้างแท่นบูชาเห็นฉากนี้ดูเหมือนจะตื่นเต้นขึ้นมาเร็วพลันอีกครั้ง แต่ก่อนที่เขาจะเริ่มต่อว่าและโวยวาย โจวเจ๋อยื่นมือคว้าสัญลักษณ์สีทองที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าเอาไว้
นี่เป็นตราประทับของคนผู้นั้น ครั้งหนึ่งเคยรวบรวมอำนาจน่าเกรงขามสูงสุดแห่งยุคสมัยนั้นไว้ จักรพรรดิรุ่นหลังคิดว่าการได้รับตราประทับหยกจะสามารถสั่งให้ทั้งโลกเชื่อฟังไม่อาจขัดขืนได้ แต่มีเพียงยุคสมัยนั้นที่ตราประทับของคนผู้นั้นสามารถทำให้มนุษย์ ปีศาจ ผีสาง และเทพเจ้าบนสวรรค์และนรกเชื่อฟังได้!
ตอนนั้นตัวอิ๋งโกวเองก็เคยนำกองทัพไปสังหารภายใต้ตราประทับนี้ นี่คือเจตจำนงของยุคสมัยหนึ่ง และแม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังสามารถขานรับค่ายกลของที่นี่ได้
เมื่อนึกถึงความทรงจำเล็กๆ แล้ว โจวเจ๋อเอื้อมมือไปบดขยี้ตราประทับนั้น
สิ่งสวยงาม สิ่งที่เหลือรอดมาได้ ไม่ควรวางไว้ในหอสะสมให้คนดูหมิ่นดูแคลนผ่านกระจกกั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า สำหรับอิ๋งโกวแล้ว การบดขยี้มันโดยตรงถึงจะเป็นการผนึกความงดงามของมันอย่างสมบูรณ์
ค่ายกลหยุด เงาดำที่เตรียมด่าทอชะงักงัน เขาได้อิสระกลับคืน อิสรภาพนี้ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
โจวเจ๋อเมินเขาและไม่แม้แต่จะเหลือบมองเขา ทำเพียงแค่โบกมือเบาๆ แล้วตะโกนว่า “มา…”
สายลมพัดมาอย่างเชื่องช้า หลังจากสายลมสีฟ้าสูญเสียการควบคุมจึงพัดตรงเข้ามายังฝ่ามือของโจวเจ๋อ พลางไหลเวียนไปรอบๆ ฝ่ามือซ้าย
ในเวลานี้เอง ในที่สุดฮวาหูเตียวก็ถูกเด็กชายคว้าขาข้างหนึ่งเอาไว้ได้ รูเลือดปรากฏขึ้นบนร่างกายของเด็กชายอยู่หลายโพรงทีเดียว แต่เขายังคงไม่สะทกสะท้าน หลังจากคว้าขาข้างหนึ่งของฮวาหูเตียวแล้ว เจ้าฮวาหูเตียวก็ไม่กล้าขยับตัวอีก ข้อได้เปรียบของมันอยู่ที่ความเร็ว อีกทั้งพลังโจมตีก็มาจากความเร็วอีกเช่นกัน แต่เมื่อไรที่โดนประชิดตัว ข้อบกพร่องทางร่างกายและนิสัยของมันจะกลายเป็นจุดอ่อนของมันทันที
เด็กชายยื่นมือมาลูบขนของฮวาหูเตียวอย่างแผ่วเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ให้ข้าหักขาที่นี่ตอนนี้ ก็ดีกว่าตายในน้ำมือของคนผู้นั้นว่าไหม”
ฮวาหูเตียวตัวสั่นเทิ้ม เมื่อหันหลังกลับมามองไปเบื้องหลัง มันก็รับรู้ได้ถึงเรื่องราวต่างๆ ดูเหมือนจะเอนเอียงไปจากความรู้สึกของมันในตอนแรกและหลุดออกจากการควบคุมโดยสิ้นเชิง มันหันหน้ากลับมามองเด็กชายตรงหน้าอีกครั้งด้วยท่าทางเศร้าโศกและน่าสงสาร
แต่เด็กชายกลับส่ายหน้าทำลายบรรยากาศและเอ่ยว่า “แสร้งทำเป็นน่ารักไปก็ไม่มีประโยชน์”
…
อิงอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นได้ลุกยืนขึ้นและลืมตา ในแววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา
ในฉากแห่งความทรงจำ นางร้องไห้ได้ นางหัวเราะได้ สามารถเผยนิสัยง้องแง้งของตัวเองออกมาได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น นางกลับเป็นองค์หญิงผู้เย่อหยิ่งผู้นั้นโดยธรรมชาติ อันที่จริง ยิ่งชนชั้นสูงตกต่ำมากเท่าไร ก็จะยิ่งสนใจเรื่องประเภทนี้มากขึ้นเท่านั้น เพราะมีความเป็นไปได้สูงมากว่าสิ่งที่พวกเขาเหลืออยู่นั้นมีเพียงแค่นี้แล้ว
นางชูมือขึ้น นางเหวี่ยงหมัดออกไป เพียงแต่ว่าคู่ต่อสู้ในคราวนี้ ไม่ใช่เจ้าหมาบ้าตัวนั้นอีกต่อไป และไม่ใช่เจ้าหมาเฝ้าบ้านตัวนั้นด้วย แต่เป็นคนผู้นั้นที่นางคิดว่ากำลังรอนางกลับมาและจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
โจวเจ๋อก้าวไปข้างหน้าต่อ เมื่ออิงอิงเหวี่ยงหมัดเข้ามา สิ่งกีดขวางสีดำโผล่ขึ้นข้างกายเขา หมัดนี้ทรงพลังจริงๆ แต่กลับคล้ายจมดิ่งลงไปท่ามกลางดินโคลนแล้วถูกละลายไปทันที โจวเจ๋อจึงยื่นมือออกมาจับข้อมือของอิงอิงไว้
ทุกอย่างเรียบง่ายราวกับเหยี่ยวจับลูกไก่ คล้ายกับการจำลองตอนที่ทนายอันเพิ่งเข้ามาเผชิญหน้ากับอิงอิงก่อนหน้านี้
ที่จริงนั้น ไม่ใช่เพราะพลังของอิ๋งโกวฟื้นคืนมาได้มากเพียงใด และไม่ใช่เพราะว่าพลังของคนผู้นั้นอ่อนแอลงไปมากแค่ไหน แต่เป็นเพราะหลังจากที่บาดแผลบนมือซ้ายหายดี ไม่เพียงแต่ปิดผนึกคนผู้นั้นไว้ในร่างกายของอิงอิงอย่างสมบูรณ์ ขณะเดียวกันก็ยังตัดการรับรู้ของนางต่อโลกภายนอกด้วย
สิ่งนี้ย่อมส่งผลโดยตรงเมื่อนางใช้ร่างกายนี้ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงความสามารถแท้จริงก่อนหน้านี้ได้อย่างสมบูรณ์ ในที่สุดสถานการณ์ที่ข้างหนึ่งได้เปรียบเพียงฝ่ายเดียวก็เกิดขึ้น
คว้าข้อมือ ออกแรงแหกนิ้วออกจากกัน จากนั้นเท่าที่สายตามองเห็น สายลมสีฟ้าได้กระแทกเข้ามาตามเจตจำนงเฉกเช่นเดียวกับตอนที่ทนายอันเพิ่งเข้ามาเผชิญหน้ากับอิงอิง กระแทกไปที่ตำแหน่งนั้นบนฝ่ามือ ด้วยพลังแห่งเขาไท่ซานได้ทำลายจิตสำนึกอย่างรุนแรง ส่วนที่เหลือ ในเมื่อนำมาแล้ว เช่นนั้นสิ่งใดควรเก็บไว้ก็เก็บไว้เสียเถอะ
เหน็ดเหนื่อยมาตั้งนมนานขนาดนี้หากไม่มีอะไรตกถึงเลยเห็นทีจะไม่ได้
ส่วนการทำลายจิตสำนึกนั้นหมายถึงจิตสำนึกไหนกันแน่ โจวเจ๋อไม่ได้พูดและไม่ได้แนะนำ เพราะเขารู้ดีว่าเขาไท่ซานลูกนี้ มันแยกแยะอย่างชัดเจนได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็อยู่ร่วมกันมานานขนาดนี้จะจำคนผิดได้อย่างไร
สายลมเป็นเขาไท่ซาน เขาไท่ซานดุจสายลมบดขยี้ลงไปโดยตรง!
ความเย็นชาในแววตาของอิงอิงเริ่มสั่นไหว นางมองเขาที่อยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ยถาม “เพราะเหตุใด”
โจวเจ๋อไม่สะทกสะท้าน
“เพราะเหตุใด!” ถามอีกครั้งแต่ก็ยังไม่มีคำตอบเช่นเดิม
นี่ไม่ใช่เธอและฉันอิงแอบแนบชิดในละครรักโรแมนติก และไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างโรมิโอกับจูเลียต นี่เป็นแท่นบูชาเย็นยะเยือก ไม่มีดอกไม้สด และไม่มีเสียงเปียโนอันอ่อนโยนคลอเบาๆ ที่สำคัญที่สุด ไม่มีใครเบื่อหน่ายจนต้องเตรียมหยิบกล้องเพื่อมาบันทึกฉากต่อไป
ไม่มีคำร้องขอให้แสดง และไม่มีความจำเป็นต้องแสดง
เงาดำเดินวนเวียนไปรอบๆ เขาอยากออกไปจากที่นี่เต็มทน เพราะตอนนี้คนที่มีสายตาเฉียบแหลมล้วนดูออกว่า เป้าหมายของโจวเจ๋อในเวลานี้หรือก็คือเป้าหมายของคนผู้นั้น ล้วนอยู่ที่ผีดิบสาวตัวนั้นและคนผู้นั้นที่อยู่ในร่างของผีดิบสาว
ดูเหมือนเขาจะกลายเป็นคนไร้ตัวตน และวนไปเวียนมาอยู่นานทีเดียวทั้งยังโผล่ไปแวบมาอีก คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้ ‘อิสรภาพ’ สินะ แม้ว่าจะยังอ่อนแอและเปราะบางอยู่มาก แต่เขาเป็นอิสระแล้วจริงๆ!
เพียงแต่เขากลับไม่มีความสุขที่ได้อิสรภาพมากนัก สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่เลือกที่จะหนีจากไปโดยตรง เขาเพียงแต่อยู่ที่นี่อย่างเงียบๆ เขาอยากดูความเป็นไปของเรื่องราว อยากจะเห็นว่าชายผู้นั้นที่เงียบและแสร้งโง่มาโดยตลอด ทั้งยังถูกเขาต่อว่าตลอดเวลาก่อนหน้านี้ จะเลือกอะไรกันแน่!
แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่สำคัญก็ยังเป็นเพราะ เจ้าใบหน้าครึ่งหนึ่งไม่คิดว่าสภาพของตัวเองในตอนนี้จะหนีพ้น ถ้าอีกฝ่ายจะจับเขาจริงๆ
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าอิ๋งโกวว่าเขาไท่ซานลูกนี้มีความหมายต่อจิตวิญญาณอย่างไร ดังนั้นการที่จิตสำนึกของคนผู้นั้นในร่างกายของอิงอิงจะถูกลบออกไปจนหมดสิ้น จึงเหลือแค่ปัญหาเรื่องของเวลาเท่านั้น
แววตาของอิงอิงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ความอ้างว้าง ความเคียดแค้น ความไม่ยินยอม สูญเสียความเย่อหยิ่ง ยามต้องเผชิญกับการดับสูญ ท้ายที่สุดแล้วนางก็เผยธาตุแท้ด้านที่บริสุทธิ์ที่สุดของตัวเอง
“นี่เป็นแค่เงาของข้า เป็นแค่แผ่นหลังของข้า! อิ๋งโกว ตอนนี้ข้ายินยอมถอยออกจากร่างนี้ก่อน!” นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมนางถึงมีแต่แผ่นหลังอยู่ในภาพ เพราะว่านี่เป็นเพียงแค่เงาของนางเท่านั้นจริงๆ
โจวเจ๋อก็ยังไม่ตอบ แต่กลับส่ายหน้า น่าขัน เนื้อจ่ออยู่ที่ริมฝีปากขนาดนี้แล้ว มีเหตุผลที่จะไม่กินมันด้วยหรือ
“เจ้าใจร้ายเหลือเกิน”
เมื่อเด็กชายที่จับขาฮวาหูเตียวไว้ข้างหนึ่งได้ยินประโยคนี้มาแต่ไกลก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที วนมาอีหรอบเดิมแล้วสินะ
“ข้าก็หลับใหลและเลียรักษาบาดแผลเช่นเดียวกับเจ้า แต่คราวนี้ หากเจ้ายังมุ่งมั่นยืนกรานที่จะทำแบบนี้ต่อไป สิ่งที่รอเจ้าอยู่จะเป็นการตามจองล้างจองผลาญไม่ตายไม่เลิกราจากข้าในอนาคต! ท้ายที่สุดข้าจะตื่นขึ้น ข้าจะตื่นและฟื้นตัวให้เร็วยิ่งกว่าเจ้า! เจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร เจ้ารู้สถานะของข้าดี ยังยืนกรานที่จะทำเช่นนี้จริงๆ หรือ”
ดวงตาของโจวเจ๋อฉายแววครุ่นคิด และเวลานี้เขาก็เอ่ยพูดออกมาในที่สุด “ข้า…รู้…ว่า…เจ้า…เป็น…องค์…หญิง…”
“เหอะ ดูเหมือนว่าเจ้ายังไม่ลืม เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะเข้าใจเช่นกัน มรดกตกทอดข้างกายข้ายิ่งกว่า…”
“แต่…เจ้า…ชื่อ…ว่า…อะไร…นะ…”
“…” ฮั่นป๋า
………………………………………………………………………
[1] เชิญท่านลงโอ่ง หมายถึง การเอาวิธีที่คิดจัดการคนอื่นย้อนมาใช้กับคนที่เป็นต้นคิดเอง หรือให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
[2] จับเต่าในไห หมายถึง ปิดประตูตีแมว