บทที่ 409 เจ้าเงาระเบิดเสียแล้ว
เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็เงียบนิ่ง สองตาหรี่ลง ครุ่นคิดอยู่นาน ประสานหมัดคารวะ
ชายชราไม่เอ่ยปาก ลับมีดต่อ
สวี่ชิงก็เดินจากไปท่ามกลางเสียงครืดคราด กลับไปยังหน้าประตูห้องขังติงหนึ่งสามสองเขตห้าสิบเจ็ด เขามองประตูห้องขังสีดำเบื้องหน้า ยกมือขึ้นผลักประตู เดินเข้าไปด้านใน
เพิ่งเข้าไป เขาก็ได้ยินหัวในกรงขังที่สองสามเจ็ดส่งเสียงเรียก
“ท่านพลทหาร ท่านพลทหาร กลับมาแล้วหรือ
“เป็นอย่างไร ไปเจอเรื่องซวยด้านนอกมาใช่หรือไม่ รีบโยนข้าไปที่ห้องอสูรเมฆาเถอะ ข้าจะช่วยปลดเปลื้องให้ท่านเอง
“เชื่อข้าเถอะ ไม่ผิดหรอก
“ถ้าท่านไม่เชื่อข้า เช่นนั้นก็จบแล้ว ข้าเห็น ว่าท่านตายได้น่าเวทนามาก แต่ท่านไม่รู้ ท่านไม่รู้หรอกว่าท่านตายไปแล้วกี่ครั้ง
“ยิ่งไปกว่านั้น…ผู้ดูแลห้องขังติงหนึ่งสามสองนี้ ท่านคิดว่า ท่านเป็นคนแรกที่มาหรือ
“พูดไม่ได้แล้ว ข้าพูดไม่ได้แล้ว ท่านรีบโยนข้าไปที่อสูรเมฆาเถอะ โยนข้าไป แล้วข้าจะบอกความจริงกับท่าน”
สวี่ชิงเดินผ่านไปอย่างสงบ ผ่านกรงขังที่พวกนักโทษแต่ละคน มาถึงห้องที่ศีรษะอยู่ เสียงเปิดประตูดังขึ้น ขณะที่ศีรษะดีอกดีใจ สวี่ชิงก็หิ้วมันขึ้นมา
“ใช่หรือไม่เล่า เช่นนี้ถูกแล้ว ฮ่าๆ เจ้าเมฆา ข้ามาแล้ว”
ขณะที่ศีรษะดีใจ สวี่ชิงหิ้วมันไปที่ห้องขังของโม่ จากนั้นก็โยนศีรษะเข้าไป
โม่สะดุ้ง เหมือนแปลกใจมาก และก็แผ่ความเบิกบานออกมา
ความเบิกบานบนใบหน้าศีรษะนั้นกลายเป็นความสะพรึงในพริบตา เปล่งเสียงกรีดร้อง
“ปล่อยข้าออกไป ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่
“ใต้เท้าพลทหารข้าผิดไปแล้ว ข้าจะบอกว่า ที่นี่มันถูกสาปไว้ ติงหนึ่งสามสองถูกสาปไว้ ข้าปลดเปลื้องให้ท่านได้ง่ายๆ
“แต่ก่อนหน้าที่ข้าพูดไว้ก็ไม่ได้โกหกท่าน ข้ามองเห็นจริงๆ ท่านตายไปหลายรอบแล้ว ข้าไม่ได้โกหกท่านนะ”
สวี่ชิงไม่สนใจ หันหลังเดินไปที่กรงขังที่นักโทษคนสุดท้ายอยู่ เห็นภาพนั้นลอยอยู่ด้านใน มองร่างเงายี่สิบสามด้านใน จู่ๆ ก็พูดกับเจ้าเงาว่า
“กินมัน”
พริบตาต่อมา เจ้าเงาก็เผยอารมณ์ละโมบ แผ่จากใต้เท้าสวี่ชิงไปยังห้องขัง
เจตจำนงชั่วร้ายวูบหนึ่งก็เกิดมาจากเจ้าเงาจากการแผ่เข้าไป ขณะที่ปกคลุมไปรอบด้าน จู่ๆ ทั่วทั้งเขตติงหนึ่งสามสองพริบตานั้นก็เงียบ
เจ้าศีรษะไม่กรีดร้อง โม่หยุดหมุน อสูรเมฆาหยดเคี้ยว หุ่นฟางเลิกคำราม…
มีเพียงเผ่าจิตรกรรมนั้นที่กำลังสั่นเทิ้ม
ยิ่งเจ้าเงาเข้าใกล้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเจ้าเงาห่างจากมันไม่ถึงสามฉื่อ จู่ๆ ชายชราในภาพก็เอ่ยขึ้นว่า
“ใต้เท้าผู้ดูแล มุมขวาล่างนั้นไม่ใช่คนของเผ่าข้า”
สวี่ชิงมองไปทันที สายตาไปหยุดอยู่ที่มุมขวาล่างของภาพ
ตรงนั้นมีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เขายืนยิ้มอยู่ ดูแล้วแทบไม่แตกต่างกับร่างเงาอื่นๆ ในภาพ ราวกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
แต่หลังจากชายชราเอ่ยปาก เด็กชายในภาพนั้นก็ขมวดคิ้ว และพริบตานั้นเจ้าเงาก็โถมไปยังเด็กผู้ชายคนนั้นทันที เสียงดังกร้วมเหมือนกัดอะไรบางอย่าง
จากนั้นก็กลับมาหาสวี่ชิง ส่วนภาพนั้นก็ไม่เสียหาย เพียงแต่เจ้าเงากลืนเด็กผู้ชายในภาพนั้นจนหายไปแล้ว
แต่พริบตาที่เจ้าเงากลับมา ภาพที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็ปรากฏขึ้น
จู่ๆ ร่างของเจ้าเงาก็สั่นระริก จากนั้นก็แตกสลายต่อหน้าต่อตาสวี่ชิงทันที ขณะที่แตกเป็นเสี่ยง เจ้าเงาก็ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา
ร่างกายของมัน ประแตก!
ร่างเงาเลือนรางร่างหนึ่งมุดออกมาจากด้านใน มีเสียงหัวเราะผสานไปในความมืดรอบๆ แม้แต่เหล็กแหลมสีดำก็ยังพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็แทงได้แค่อากาศ เด็กชายคนนั้นหายไปแล้ว
แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าเงาก็ไม่มีทางตายไปเช่นนี้ แม้ว่าร่างกายจะแตกสลายเป็นชิ้นๆ นับไม่ถ้วน ไม่นานก็รวมร่างกลับมา หลังจากฟื้นฟูก็อ่อนแออย่างชัดเจน แต่กลับส่งระลอกคลื่นอารมณ์ไปหาสวี่ชิงอย่างเร่งด่วน
“โชค…กลืนกิน…ระเบิดระเบิดระเบิด…”
เหมือนมันกลัวสวี่ชิงคิดว่ามันไร้ความสามารถ ครั้งนี้จึงบรรยายออกมาชัดเจนพอควร
ดวงตาสวี่ชิงจ้องเพ่ง หันหน้ามองจุดที่เด็กชายหายไป
“โชคชะตา?” สวี่ชิงพึมพำ
เหล็กแหลมสีดำกลับมา บรรพจารย์สำนักวัชระปรากฏตัวขึ้น เขากวาดตามองไปทางเจ้าเงาที่อ่อนแอ จากนั้นก็มองสวี่ชิง ตึงเครียดทันที
ครั้งนี้ตนเองเสียประโยชน์ไปสองครั้ง แม้เจ้าเงาจะล้มเหลว แต่กลับแต่งเรื่องโชคชะตาอะไรนั่นขึ้นมา
‘เจ้าเงาเคยตัวเสียแล้ว ให้ตายเถอะ!’
บรรพจารย์สำนักวัชระแค่นเสียงเย็นชาในใจ เขารู้สึกว่าเรื่องนี้แปดส่วนคือเจ้าเงาแต่งเรื่องไปเรื่อยเปื่อยเพื่อจะไม่แสดงความไร้ความสามารถของตนเองออกมา จึงแอบบ่น เจ้าเงาเอ๋ยเจ้ายังเทียบกับข้าไม่ได้หรอก
ในเมื่อเจ้าพูดไปเรื่อย ข้าก็จะแต่งเติมเสริมให้ เช่นนี้เมื่อดาวพิฆาตพบจุดที่ไม่ถูกต้อง เจ้าก็จะลำบาก ส่วนข้าก็แค่ปลีกตัวออกมาไม่ถูกลากไปเกี่ยวข้อง
เขาเคยอ่านหนังสือเรื่องเล่ามามากมาย มีบรรยายถึงโชคชะตาเอาไว้บางส่วน ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นสิ่งที่ตัวละครหลักต้องมีทั้งนั้น เหมือนว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ตัวละครหลักล้วนเต็มใจใช้อีกด้วย
“โชคชะตา? นายท่านข้ามองโชคชะตาที่ว่านี้ไม่ออก จุดนี้ข้าสู้เจ้าเงาที่มีความรู้ลึกซึ้งไม่ได้ แต่ในเมื่อมันพูดเช่นนี้…”
“ยินดีด้วยนายท่าน นายท่านถูกกำหนดโชคชะตาไว้จริงๆ จึงพบกับโชคชะตาที่นี่!”
บรรพจารย์สำนักวัชระรีบเอ่ย
สวี่ชิงขมวดคิ้ว มองไป
บรรพจารย์สำนักวัชระฮึกเหิมขึ้น รีบนึกย้อนถึงเรื่องราวของหนังสือเหล่านั้น เอ่ยออกมาอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน จากวิธีการพูดและแนวคิดของเจ้าเงา หากมันพูดไม่ผิดล่ะก็ ข้าน้อยก็น่าจะเดาออกแล้วว่าเหตุใดการควบคุมเขตติงหนึ่งสามสองแห่งนี้ จึงมีคนเกิดเรื่องไม่คาดฝันภายนอกจนดับสูญไปอย่างน่าประหลาด
“ความลับของเขตติงหนึ่งสามสอง หากเจ้าเงาพูดไม่ผิด เช่นนั้นข้าก็รู้แล้ว
“ที่นี่แฝงด้วยโชคชะตาเอาไว้ คาดว่าน่าจะเป็นพลังแห่งโชคชะตาส่วนหนึ่งของเขตปกครองผนึกสมุทร และไม่รู้ว่ามารวมกันอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เปลี่ยนจากไร้รูปร่างจนมีรูปร่างขึ้นมา
“และผู้ดูแลคนก่อนๆ เหล่านั้นที่ตายไป เป็นเพราะโชคชะตาไม่ใช่สิ่งที่คนปกติจะรับได้ เมื่อไม่เหมาะสมถึงเกิดผลตรงข้าม จึงเกิดเรื่องอัปมงคลกับเรื่องแปลกประหลาดขึ้น”
พูดถึงตรงนี้ บรรพจารย์สำนักวัชระก็ตกตะลึง เขาก็รู้สึกลังเลขึ้นมา เพราะเขารู้สึกว่าคำอธิบายนี้ เหมือนว่า…จะสมเหตุสมผลมาก
‘ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เจ้าเงาพูดมาจะเป็นจริงหรอกกระมัง’
ตอนที่บรรพจารย์สำนักวัชระใจสั่นสะท้าน สวี่ชิงก็ยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น สิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาเขาก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ตอนที่อาจารย์แนะนำรัชทายาทม่วงคราม ก็บอกว่าอีกฝ่ายกำเนิดขึ้นจากการรวมโชคชะตาของทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
ขณะที่สวี่ชิงกำลังครุ่นคิด จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป หันไปมองทางขวาทันควัน ในความมืดมีเงาร่างหนึ่งปรากฏออกมา เด็กชายที่หายไปก่อนหน้านี้นั่นเอง
เขายืนอยู่ตรงนั้น มองสวี่ชิงอย่างอยากรู้อยากเห็น
บรรพจารย์สำนักวัชระพุ่งออกไปฉับพลัน เด็กชายคนนั้นก็หายไป แต่ไม่นานเขาก็มาปรากฏตัวที่อีกด้าน มองสวี่ชิงอย่างอยากรู้อยากเห็นดังเดิม
แต่ครั้งนี้ สวี่ชิงสังเกตเห็นว่าสายตาของอีกฝ่ายมองที่ข้อมือขวาของตน!
สวี่ชิงใจสั่น ยกมือขวาขึ้น
สายตาของเด็กชายก็เลื่อนตามขึ้นมา
สวี่ชิงเงียบนิ่ง ข้อมือขวาของเขาก็ดูปกติดี แต่เขารู้ว่าที่นั่นมีด้านเส้นเล็กสีทองซ่อนอยู่ ตอนนั้นที่เขาผสานลูกกลอนพิษจนเกือบตาย ด้ายสีทองนี้ก็เปล่งแสง เกิดเรื่องบังเอิญที่อธิบายไม่ได้ออกมา
“นี่คืออะไร” สวี่ชิงยกมือขวา เอ่ยถามไปทางเด็กชายกะทันหัน
ในห้องขังเขตติงหนึ่งสามสอง นักโทษทั้งหมดก็เงียบนิ่งจากเสียงของสวี่ชิงที่สะท้อนก้อง
อสูรเมฆาหันหลังมา หญิงสาวคลานมาด้านหน้ากรง ลายอักขระบนโม่หินก็กลายเป็นดวงตา ศีรษะที่อยู่ในมุมก็มองไปไกลๆ…
กระทั่งภาพวาดเผ่าจิตรกรรมภาพนั้นยังเปลี่ยนเป็นเลือนราง ภาพมายาชายชราร่างหนึ่งขยับมาที่ลูกกรง สนใจมาทางสวี่ชิง
สวี่ชิงไม่ได้ใส่ใจนักโทษเหล่านี้ เขามองไปที่เด็กชาย โบกมือขวาของตนเอง
ดวงตาของเด็กชายก็ขยับตามมือขวาของสวี่ชิง ราวกับว่าในดวงตาของเขา มือขวาของสวี่ชิงกลายเป็นสิ่งเดียวในโลกใบนี้ และสีหน้าของเขาก็แปลกประหลาดมาก มีความไม่เข้าใจ ยิ่งมีความสับสน
เมื่อเขาได้ยินคำพูดสวี่ชิง สายตาก็ย้ายออกมาจากข้อมือมาสบตากับสวี่ชิง
ครู่ต่อมาเขาก็อ้าปาก เหมือนกำลังพูดอะไร แต่กลับไม่มีเสียงหรือจิตเทพออกมาเลย กระทั่งรูปปากก็ไม่เปลี่ยนแปลง
สวี่ชิงขมวดคิ้ว
แต่การแสดงออกของเด็กชายแปลกประหลาดมาก เขาพูดจบหูก็กระดิก ราวกับได้ยินการตอบกลับอะไรบางอย่าง ดวงตายิ่งเป็นประกาย จากนั้นก็เอ่ยปากอีกครั้ง
และก็ฟังอีกรอบ
ท้ายสุดก็เหมือนได้ยินการตอบกลับที่ทำให้เขาดีใจ จึงกระโดดโลดเต้น และหลังจากมองสวี่ชิง ก็ตบที่อกตนเอง ร่างถอยไปผสานกับความมืดอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน ในขอบเขตขั้วอำนาจเมืองหลวงเขตปกครอง พื้นที่ที่ห่างจากเมืองหลวงเกือบหนึ่งเดือน อยู่ติดกับชายขอบมณฑลยมโลก ที่นั่นมีเทือกเขาทอดยาวอยู่
ด้านหนึ่งทอดเข้าไปในมณฑลยมโลก อีกด้านทอดไปทางพื้นที่ของเมืองหลวงเขตปกครอง
เทือกเขานี้แปลกประหลาดมาก พื้นดินกับก้อนหินล้วนเป็นสีม่วง
สภาพพื้นดินเช่นนี้เห็นได้ไม่บ่อยนัก และชื่อของมัน ก็มีชื่อว่าเทือกเขาวิญญาณม่วง
ตอนนี้ ในขอบเขตส่วนที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาวิญญาณม่วงของเมืองหลวงเขตปกครองนี้ ท่ามกลางหมู่เขามีหุบเหวอยู่แห่งหนึ่ง
หุบเหวนี้ใหญ่มาก ด้านล่างมืดมิด มองไม่เห็นรายละเอียด เห็นเพียงแค่ปราณหมอกสีม่วงแผ่ซ่านออกมาจากหุบเหวนี้ ขณะที่ค่อยๆ ลอยขึ้นมา ด้านนอกหุบเหวก็มีเงาสองเงากำลังเข้าใกล้
สองเงานี้เป็นหนึ่งเป็นร่างชายชราหนึ่งเป็นร่างเด็กสาว ชายชราก็คือเถ้าแก่จากถนนทองผุด หญิงสาวคือหลิงเอ๋อร์ในชุดขาวงดงามไร้ตำหนิ
ก่อนหน้านี้พวกเขาโดยสารยักษ์ลอยฟ้ามากับเผ่าอื่นที่นัดไว้แล้ว หลังจากพามาถึงเมืองหลวงเขตปกครองอีกฝ่ายก็จากไป พวกเขาจึงเดินมาจนถึงเทือกเขาวิญญาณม่วง
ในที่สุดตอนนี้ก็เข้าใกล้สถานที่เป้าหมายแล้ว
“หลิงเอ๋อร์ ใกล้จะถึงเผ่าต้นไม้วิญญาณแล้ว จากพันธสัญญาโบราณ เจ้าจะได้รับการสืบทอดอย่างหนึ่งจากที่นี่ ทว่าก็มีความเสี่ยงอยู่ เจ้าจำเป็นต้องบ่มเพาะเงียบๆ ระยะเวลาหนึ่ง รอจนสายเลือดมั่นคงถึงจะสามารถทดสอบได้
“ในช่วงนี้ ใจเจ้าต้องสงบ เจ้า…” เถ้าแก่ถนนทองผุดกำลังพูด จู่ๆ ก็สังเกตเห็นว่าหลิงเอ๋อร์ทางนั้นดูเหม่อลอยเล็กน้อย
“เจ้ากำลังทำอะไร”
“ท่านพ่อ มีเด็กคนหนึ่งมาพูดคุยกับข้า” ในดวงตาหลิงเอ๋อร์เผยประกายยินดี
“เด็กอะไรมาพูดด้วย” เถ้าแก่ถนนทองผุดรู้สึกประหลาดใจ มองไปรอบๆ
“ไม่มีอะไร อาจจะเป็นเผ่าต้นไม้วิญญาณก็ได้เจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่นางโกหกท่านพ่อ นางรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบสวี่ชิง จึงคิดว่าไม่บอกเรื่องนี้กับอีกฝ่ายดีกว่า
ขณะเดียวกันในก้นบึ้งจิตใจ นางก็ตอบกลับเสียงของเด็กน้อยที่จู่ๆ ก็ดังก้องขึ้นมาในจิตเทพ
‘ใช่แล้ว ข้าเป็นคนพันสายใยดวงชะตาแห่งชีวิตนี้ไว้เอง เจ้าเป็นใคร เจ้าเจอท่านพี่สวี่ชิงของข้าหรือ พวกเขาอยู่ที่ใดกัน
‘อยู่ที่เมืองหลวงเขตปกครอง?!’ ในดวงตาหลิงเอ๋อร์เปล่งประกายมากขึ้น
‘อืมๆ ในเมื่อเจ้าไม่มีเพื่อนเลย เอาล่ะ ข้าเป็นเพื่อนกับเจ้าได้อยู่แล้ว แต่ว่าเจ้าช่วยข้าดูแลท่านพี่สวี่ชิง สักพักข้าจะไปหาพวกเจ้า’
เถ้าแก่ถนนทองผุดสงสัย พิจารณาหลิงเอ๋อร์อย่างละเอียด
“ท่านพ่อ พวกเรารีบไปเถอะเจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม ท่าท่างดีอกดีใจ รอยยิ้มเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ พร้อมกับงดงาม
เถ้าแก่ถนนทองผุดยิ่งสงสัย แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากครุ่นคิดจึงส่ายหัว จากนั้นก็กำชับอีก
“เจ้าอย่าทำอะไรโง่ๆ เชียว การสืบทอดครั้งนี้สำคัญมาก ห้ามล้มเหลวเด็ดขาด นี่เกี่ยวข้องถึงชีวิตเลยนะ อีกเดี๋ยวเมื่อเผ่าต้นไม้วิญญาณมาถึงเจ้าก็ปิดด่านทำสายเลือดเสถียรเสียก่อน ข้าจะไปเมืองหลวงเขตปกครองซื้อของบางอย่างมาคอยช่วยเจ้า”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ” หลิงเอ๋อร์ดึงแขนชายชรา เอ่ยอย่างออดอ้อน
ตอนนี้ลมภูเขาพัดมา สยายเส้นผมสีดำของนาง เป่าใบหน้าสวยสดของนางเบาๆ ที่เหมือนแค่เป่าก็จะแตกสลายไปใบนั้น
หลิงเอ๋อร์ยกมือทัดผม และใช้ท่าทางนี้ นางก็หันหน้ามองไปทางเมืองหลวงเขตปกครอง ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม