บทที่ 1410 โลกใบเล็กของห้องโถงโบราณ
ณ ดินแดนเร้นลับที่อยู่ลึกเข้าไปในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
โอม!
จานโบราณหมุนวนอยู่กลางอากาศ พร้อมเปล่งแสงของดวงดาวอันเย็นเฉียบจำนวนนับไม่ถ้วน ราวกับจะส่องสว่างท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันไร้ขอบเขต ซึ่งดวงดาวเหล่านั้นก็กลายเป็นผังค่ายกลที่แปลกและซับซ้อนในตอนท้าย
ภายในผังค่ายกลมีจุดแสงแวววาวตัดกันอยู่มากมาย และพวกมันก่อตัวเป็นมวลหนาแน่นที่เปล่งแสงสุกใส
ซึ่งแยกแยะได้ว่า จุดแสงเหล่านั้นเปรียบเสมือนโลกที่กว้างใหญ่ และพวกมันเต็มไปด้วยกลิ่นอายของพลังงานโลกทุกชนิด ทำให้มันเป็นภาพที่งดงามอย่างยิ่ง
ทุก ๆ ที่ที่สายตาทอดถึง มีโลกมากมายหมุนเวียนอย่างไม่รู้จบ และท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวก็กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
เหมิงซิงเหอ ผู้คือเจ้าสำนักของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ยืนเอามือไพล่หลังไว้ ขณะหันหน้าไปทางจานโบราณ ดวงตาที่ลุ่มลึกและสงบก็เปล่งประกายด้วยลำแสงที่ลึกซึ้งมากมาย
แม้รูปลักษณ์จะดูอ่อนเยาว์ แต่บุคลิกกลับคล้ายผ่านกาลเวลามานับไม่ถ้วน ทั้งยังมีกลิ่นอายสงบและไม่แยแส ซึ่งทำให้รู้สึกราวหวนคืนสู่ความเรียบง่าย
“นี่คือโลกใบเล็กของห้องโถงโบราณ” เหมิงซิงเหอ ชี้ไปที่จุดแสงบนจานโบราณและกล่าวอย่างใจเย็น “เมื่อหลายปีก่อน จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามและปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์ฝูซี ได้ถกวิถีเต๋าอยู่ที่นี่เป็นเวลาสิบวัน ไม่มีใครรู้ผลลัพธ์ของมัน แต่ตามตำราที่จักรพรรดิเต๋าทิ้งไว้ ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองได้ทิ้งสมบัติลับบางอย่างไว้ในโลกใบเล็กนี้”
เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ตามการคาดเดาของข้า จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามอาจจะทิ้งระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามารไว้ ส่วนฝูซีทิ้งชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากไว้”
ที่ด้านข้าง หัวเจี้ยนคงยืนอยู่ตรงนั้น และรู้สึกตกตะลึงในใจ
หลังจากที่ส่งเฉินซีกลับไปที่ห้องกระบี่ เขาก็รีบมาที่นี่ทันที เพราะตอนที่พูดคุยกับเฉินซี ซึ่งมีการกล่าวถึงการกลับไปยังภพมนุษย์ จู่ ๆ เขาก็ได้รับข้อความจากเหมิงซิงเหอ
เป็นเพราะข้อความนี้ ที่ทำให้เขาตกลงตามคำขอของเฉินซี และจะช่วยสอนเคล็ดวิชาลับต้องห้าม เพื่อส่งเฉินซีกลับสู่ภพมนุษย์
ทว่าหัวเจี้ยนคงไม่คิดเลยว่า เหมิงซิงเหอผู้เป็นอาจารย์จะดำเนินการในเรื่องนี้ไปแล้ว ไม่เพียงแต่ใช้จานข่ายหมื่นดาราเพื่อแสดงตำแหน่งที่แน่นอนของโลกขนาดใหญ่สามพันแห่งและโลกใบเล็กจำนวนมากมายในภพมนุษย์ เหมิงซิงเหอยังชี้ให้เห็นว่าเฉินซีมาจากโลกใบเล็กของห้องโถงโบราณ!
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้ยินเหมิงซิงเหอแนะนำห้องโถงโบราณ หัวเจี้ยนคงก็ตกตะลึงอีกครั้ง ทั้งไม่กล้าเชื่อว่าโลกใบเล็กที่แสนธรรมดาเช่นนี้ จะเป็นสถานที่ที่ปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์ฝูซี และจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามได้ถกวิถีเต๋าเมื่อหลายปีก่อน
หากข่าวนี้รั่วไหลออกไป มันคงจะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่แน่!
ปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์!
จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม
ทั้งสองเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งมีชื่อเสียงที่ไม่ธรรมดา และมองเย้ยจักรวาลในระหว่างยุคบรรพกาล!
แต่พวกเขาก็เลือกที่ถกวิถีเต๋าในโลกใบเล็กธรรมดา ๆ จะไม่ให้แปลกใจได้อย่างไร?
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามที่เหมิงซิงเหอกล่าว จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามและฝูซีได้ทิ้งสมบัติลับไว้เบื้องหลังในโลกใบเล็กนั้น ทำไม… พวกเขาถึงทำเช่นนั้น?
ทั้งหมดนี้เป็นดั่งปริศนา ที่คนอื่น ๆ ก็อดสงสัยไม่ได้ ซึ่งหัวเจี้ยนคงก็เช่นกัน และอดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เฉินซี… คงไม่ได้รับมรดกของเขาเทพพยากรณ์ใช่หรือไม่?”
เหมิงซิงเหอยิ้มแต่ยังคงเงียบและเก็บเป็นความลับ
อย่างไรก็ตาม หัวเจี้ยนคงเข้าใจว่านี่อาจเป็นความจริง จึงพึมพำว่า “มิน่าล่ะ เขาถึงได้เติบโตและบ่มเพาะในโลกใบเล็กของห้องโถงโบราณนี้?”
ทันใดนั้น เขานึกถึงบางสิ่งบางอย่างและกล่าวด้วยความตกใจ “ท่านอาจารย์ ท่านบอกว่าระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามารของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามถูกทิ้งไว้ข้างหลังที่ห้องโถงโบราณ มันคง…ไม่ถูกเฉินซีได้ไปเช่นกัน ใช่หรือไม่?”
เขาตระหนักดี ไม่ว่าจะเป็นระเบียนแดนมรณะหรือพู่กันพิพากษามาร พวกมันเป็นสุดยอดสมบัติลับของแดนยมโลก และสังสารวัฏ ซึ่งเป็นมรดกที่ซุกซ่อนอยู่ภายในพวกมัน ก็ทำให้เหล่าเทพต้องสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว!
หากสมบัติลับดังกล่าวตกอยู่ในมือของเฉินซี นั่นหมายความว่าเขาได้รับสืบทอดมรดกของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามแล้ว! และนั่นเป็นสิ่งต้องห้ามอันใหญ่หลวง!
“ไม่จำเป็นต้องคาดเดาอะไรมากมาย ความขัดแย้งในยุคบรรพกาลได้ผ่านพ้นไปนานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งต้องห้ามใดก็ตาม มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เมื่อกลียุคของสามภพกำลังจะเกิดขึ้น”
เหมิงซิงเหอกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “ไม่ต้องกล่าวถึงว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งต้องห้ามเดียวในโลก ตัวอย่างเช่นโลงศพเซียนยมโลกที่จักรพรรดิเต๋าทิ้งไว้เบื้องหลัง ก็ถือเป็นสิ่งต้องห้ามเช่นกัน ไม่ใช่หรือ?”
หัวเจี้ยนคงฟื้นคืนสติอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ เหตุผลที่เขารู้สึกตะลึงนั้น เป็นเพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าสถานที่ที่เฉินซีเติบโตมา จะมีสิ่งที่เป็นดั่งตำนานมากมายอยู่ในนั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงวีรกรรมอันน่าเหลือเชื่อของเฉินซี และทันทีที่ได้รับมรดกของจักรพรรดิเต๋า เฉินซีก็แลกเปลี่ยนแต้มดาราเป็นชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ซึ่งถูกเก็บไว้ในโถงแต้มดารามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา หัวเจี้ยนคงก็เข้าใจทุกอย่างราง ๆ
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงครอบครองยันต์ศัสตราได้ เป็นเพราะเฉินซีได้รับมรดกของเขาเทพพยากรณ์ในขณะที่อยู่ในภพมนุษย์นี่เอง” หัวเจี้ยนคงถอนหายใจไม่รู้จบ
“เจ้าหนูนั่นไม่ธรรมดาเลย” เหมิงซิงเหอแย้มยิ้ม ดวงตาที่ลึกล้ำราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวส่องแสงเรืองรองที่ไม่ธรรมดา “เจ้าไปเถอะ อีกหนึ่งเดือนพาเขามาที่นี่ ในเวลานั้น… เจ้าจะรับผิดชอบในการส่งเขากลับไปยังภพมนุษย์”
…
โลกแห่งดารา
เฉินซีนั่งขัดสมาธิและหลอมรวมตราศักดิ์สิทธิ์แห่งนิจกาล
ตอนนี้เขาได้หลอมรวมตราศักดิ์สิทธิ์แห่งเบญจธาตุ ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งพายุ ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งซากดารา ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งไท่จี๋ และตราศักดิ์สิทธิ์แห่งเกิดดับอย่างสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงตราศักดิ์สิทธิ์แห่งนิจกาลเท่านั้นที่ ก็จะบัญญัติเต๋าแห่งปราชญ์ยันต์อักขระของตนได้
สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึง คือตราศักดิ์สิทธิ์แห่งห้วงมิติที่เขาครอบครองนั้น เป็นกฎสูงสุดที่สามารถเข้าใจได้แค่ราชันเซียนเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ส่งผลกระทบเมื่อหลอมรวมตราศักดิ์สิทธิ์เพื่อบัญญัติกฎปราชญ์เต๋าของตนเอง
สำหรับเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบ เฉินซียังอยู่ในขั้นตอนของการทำความเข้าใจและควบคุมมัน มันไม่ใช่แม้แต่กฎ ดังนั้นจึงไม่ส่งผลกระทบต่อการบัญญัติเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบแต่อย่างใด
ทว่าด้วยเหตุนี้ ก่อนที่เขาจะสามารถหลอมรวมตราศักดิ์สิทธิ์แห่งห้วงมิติและเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบได้อย่างสมบูรณ์ ก็คงหลังจากที่บรรลุขอบเขตราชันเซียนไปแล้ว
ครืน!
ระลอกคลื่นของทำนองเต๋าดังกึกก้องเหมือนฟ้าร้องออกมาจากร่างกายของเฉินซี ทั้งยังเปล่งแสงลุกโชนที่แวววาวและพร่างพราวไปทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
สีหน้าของเขาเคร่งขรึมและสงบ ในขณะที่จิตใจแจ่มใส และเข้าสู่การทำสมาธิในระดับลึกทันที
ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งนิจกาลบรรจุกฎแห่งมหาเต๋าของการรังสรรค์ การกลืนกินและนิรันดร์ที่หายาก พวกมันล้วนมีพลังมหาศาลที่สามารถทำลายล้างฟ้าดินได้
หากเป็นเซียนปราชญ์ธรรมดา ๆ การครอบครองกฎแห่งมหาเต๋าที่หายากแม้แค่ชนิดเดียว ก็ถือว่าโชคดีอย่างยิ่ง แต่เฉินซีกลับครอบครองถึงสามชนิด และหลอมรวมพวกมันเข้ากับตราศักดิ์สิทธิ์แห่งนิจกาล!
ตอนนี้เขาต้องหลอมรวมตราศักดิ์สิทธิ์แห่งนิจกาลให้เป็นเต๋าแห่งปราชญ์ยันต์อักขระของตนเอง และความยากของกระบวนการนี้ก็เป็นที่ประจักษ์ชัด
อย่างไรก็ดี เพียงแค่นี้เฉินซีก็พอใจมากแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะโชคลาภมหาศาลที่ได้รับจากทางเดินดาวหาง ก็คงเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวยิ่งกว่านี้ ถ้าต้องค่อย ๆ หลอมรวมตราศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด
หนึ่งเดือนในโลกภายนอกก็เท่ากับห้าเดือนในโลกแห่งดารา
ในช่วงเวลานี้ นอกเหนือจากการหลอมรวมตราศักดิ์สิทธิ์แห่งนิจกาล เฉินซียังได้ไปที่พันธมิตรดารา เพื่อถกวิถีเต๋ากับบรรดาสมาชิก นอกจากนี้ เยี่ยถังและหลิงชิงอู๋ได้ประกาศแล้วว่าพวกเขาจะเข้าร่วมพันธมิตรดารา
ทำให้พันธมิตรดารากลายเป็นสมาคมชั้นนำในหมู่ศิษย์ และมันก็น่าตื่นตาตื่นใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อเสียงของมันนั้นยิ่งใหญ่มากจนไม่มีใครเทียบได้
ตลอดช่วงเวลานี้ เฉินซีบอกกับอาซิ่วเกี่ยวกับแผนการที่จะกลับไปสู่ภพมนุษย์ และมอบหมายให้นางดูแลหลิงไป๋ อาหมาน ไป๋คุย และชิงชิงระหว่างที่เขาไม่อยู่
เดิมทีอาซิ่วคิดกลับไปภพมนุษย์กับเฉินซี แต่ก็ไม่สามารถโน้มน้าวใจอีกฝ่ายได้ จึงทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น เพราะเฉินซีก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน เขาไม่ได้ไปภพมนุษย์เพื่อพักผ่อนและเที่ยวชม ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ชายหนุ่มจึงตั้งใจที่จะดำเนินการตามลำพัง
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากเขาได้เลิกเสแสร้งกับตระกูลจั่วชิวแล้ว เฉินซีจึงต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว
เรื่องนี้จึงถูกเก็บเป็นความลับ มีเพียงอาซิ่วเท่านั้นที่รู้
หนึ่งเดือนต่อมา หัวเจี้ยนคงมาหาเฉินซีตามที่นัดแนะกันไว้ ก่อนที่ร่างของทั้งสองจะสว่างวาบ เข้าสู่ดินแดนเร้นลับไป
…
ในเวลาเดียวกัน ณ ทิศตะวันออกอันไกลโพ้นของภพเซียน มีทางเดินลึกลับอยู่ในท้องฟ้าที่สูงไร้ขอบเขต และปลายทางของทางเดินนั้นก็เหมือนคนละโลก
โลกนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามสิบสามระดับ ทุกระดับเทียบได้กับโลกใบใหญ่ และมันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ทั้งยังมีทิวทัศน์ที่งดงามตระการตา ประหนึ่งโลกที่หลุดพ้นจากภพเซียน
นี่คือสถานที่ซึ่งหนึ่งในสามสุดยอดนิกายของสามภพตั้งอยู่ นิกายอำนาจเทวะ แดนอำนาจเทวะ!
แดนอำนาจเทวะแบ่งออกเป็นสามสิบสามระดับ ทุกระดับจะมีผู้อาวุโสของนิกายอำนาจเทวะอาศัยอยู่ และบริเวณเหนือระดับสามสิบสาม คือที่ที่ประมุขของนิกายอำนาจเทวะได้บ่มเพาะ ซึ่งเป็นสถานที่ที่โดดเด่นเหนือสิ่งอื่นใด
ครืน! ครืน!
บนยอดเขาสูงสิบห้าลี้ภายในแดนอำนาจเทวะ มีร่างที่ดูเหมือนเปลวไฟนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ผมของเขาเป็นสีแดงเข้มดุจเปลวไฟ รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา และสวมเสื้อคลุมนักพรตที่มีสีแดงเพลิงเหมือนเลือด ดูคล้ายราชาแห่งไฟที่ปรารถนาจะเผาผลาญท้องฟ้า!
ช่างน่าตกใจ คนผู้นี้คือทายาทของตระกูลซุ่ยเหริน ซึ่งมีสายเลือดของเทพเจ้าไหลเวียนอยู่ในกาย และเป็นอันดับสองในบรรดาศิษย์ชั้นยอดทั้งเจ็ดของนิกายอำนาจเทวะ ซุ่ยเหรินถิง!
ในขณะนี้ กลิ่นอายในร่างดังกึกก้อง ในขณะที่ปล่อยของเหลวลุกโชนที่ดูเหมือนหินหลอมเหลวออกมานับไม่ถ้วน และมันปกคลุมทั่วทั้งภูเขา ทำให้เกิดเหตุการณ์คล้ายภูเขาไฟที่กำลังปะทุ น่าอัศจรรย์ยิ่ง
“ศิษย์พี่ซุ่ยเหริน เราได้ยืนยันแล้วว่า ชายหนุ่มคนนั้นคือเฉินซี และเขามาจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เนื่องจากชะตากรรมของเขาถูกปกปิดโดยการทำงานของสวรรค์ ผู้อาวุโสจึงไม่สามารถคาดเดาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเขาได้”
“อย่างไรก็ดี จากข้อมูลที่ศิษย์ของเราได้รับ เราสามารถระบุได้ว่า เด็กคนนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับเขาเทพพยากรณ์แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เพียงแค่ครอบครอง กระบี่เต๋าวิบัติ แต่ยังครอบครอง… ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากอีกด้วย มิฉะนั้นคงไม่อาจปกปิดชะตากรรมได้อย่างสมบูรณ์เช่นนี้แน่”
“อีกอย่างเด็กคนนี้เหมือนจะเป็นศัตรูกับตระกูลจั่วชิว เรากำลังตรวจสอบความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างพวกเขาอยู่ บางที… เราอาจสามารถยืมมือตระกูลจั่วชิวได้”
“ท่านประมุขไม่ได้ออกคำสั่งใด ๆ ดังนั้นทุกอย่างขึ้นอยู่กับศิษย์พี่”
พร้อมด้วยเสียงอ่อนโยนที่ฟังสบาย เจี้ยงหลิงเซียวซึ่งอยู่อันดับห้าในบรรดาศิษย์ชั้นยอดของนิกายอำนาจเทวะ ก็ร่อนลงไปที่ยอดเขา นางสวมเสื้อผ้าธรรมดาและเรียบร้อย ผมเผ้าถูกหวีอย่างเรียบร้อย ส่งให้รูปลักษณ์งดงาม ละเอียดอ่อน และประณีต มีรอยยิ้มประดับอยู่ที่มุมปากเสมอ และท่าทางของนางก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก
“กระบี่เต๋าวิบัติ ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก เขาเทพพยากรณ์…” ทันใดนั้น ซุ่ยเหรินถิงก็ลืมตาขึ้น เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่านในดวงตา และปล่อยสายฟ้าที่ลุกเป็นไฟฉีกกระชากเป็นรอยแยกอันน่าสะพรึงกลัวมากมายในอากาศ