สามีข้าคือขุนนางใหญ่ – บทที่ 815 ตีตัวปลอม

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 815 ตีตัวปลอม

แม่นางหันคิดไม่ออกเลยว่าสถานการณ์ในยามนี้ เซียวลิ่วหลังยังจะมีวิธีพลิกสถานการณ์อะไรได้อีก แต่เซียวลิ่วหลังสงบนิ่งเกินไปแล้ว สงบนิ่งจนถึงขั้นที่ทำให้นางสงสัยว่าแผนการของตัวเองมีช่องโหว่อะไรหรือไม่

นางหันกลับไปมองตามสัญชาตญาณ ก็เห็นหวังซวี่เร่งรุดมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ ด้านหลังหวังซวี่เป็นองครักษ์จวนแม่ทัพกองใหญ่ ไม่เพียงเท่านั้น เขตพระราชฐานชั้นนอกยังมีเสียงฝีเท้าอึกทึกและเสียงเกราะเย็นเยียบเสียดสีกันลอยมาด้วย

ครู่ต่อมา พลธนูในชุดเกราะจำนวนนับไม่ถ้วน มือถือธนูใหญ่พุ่งเข้ามาท่ามกลางแสงร้อนเจิดจ้า แต่ละคนขึ้นคันชักง้างสาย อยู่ในท่าคุกเข่า ท่าเดิน ท่าเตรียมพร้อม แม้แต่จุดที่สูงสุดของมุมกำแพงยังมีพลธนูยึดครองไว้

ตอนนั้นตระกูลหวังก็แบ่งอำนาจทางทหารของตระกูลเซวียนหยวนด้วยเช่นกัน หนึ่งในนั้นที่ได้รับความสนใจที่สุดก็คือค่ายธนูแห่งนี้

ค่ายธนูประสบพบเจอการเปลี่ยนแปลงมาสิบห้าปี ผู้คนสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปไม่น้อย แต่การสืบทอดของตระกูลเซวียนหยวนยังคงอยู่เสมอมา มันยังคงมีพลธนูที่ฝึกฝนชำนิชำนาญที่สุดของต้าเยี่ยนอยู่

ไอสังหารของพลธนูพวยพุ่ง บรรยากาศ ณ ที่นี้พลันเกิดการพลิกผันอันน่าเหลือเชื่อ มาดของราชองครักษ์อ่อนลงเท่าที่ความเร็วตาเนื้อจะมองทัน

แน่นอนว่านี่มิได้หมายความว่าราชองครักษ์จะสู้พลธนูไม่ได้ ด้านจำนวนคนราชองครักษ์ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ เพียงแต่ว่าขวัญกำลังใจของพลธนูแข็งแกร่งยิ่งนัก ทำให้ไม่อยากใช้ไม้แข็งด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น หวังซวี่ไม่เพียงนำพลธนูมาเท่านั้น ยังโยกย้ายทหารรักษาพระองค์ของจวนแม่ทัพทั้งสี่มาด้วย เมื่อคำนวณดูเช่นนี้แล้ว ความได้เปรียบของราชองครักษ์ก็ไม่ค่อยแจ่มชัดเท่าใดแล้ว

แม่นางหันไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้มาใหม่จะเป็นหวังซวี่

นั่นสิ ขุนนางผู้จงรักภักดีของฝ่าบาทคนนี้ นางลืมเขาไปได้อย่างไรกัน

อย่าว่าแต่แม่นางหันลืมเลย อันที่จริงฮ่องเต้เองก็ลืมเช่นกัน

เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายเพียงนี้ ในหัวฮ่องเต้ล้วนเลอะเลือน หากมิใช่ไท่จื่อเอ่ยขึ้น พระองค์ก็จำไม่ได้ว่าตัวเองยังมีไพ่อย่างหวังซวี่อยู่ในมืออยู่

วันนี้เซียวเหิงไม่ได้ปรากฏตัว แต่หน้าที่ติดต่อหวังซวี่ก็มีเขาเป็นคนจัดการ

ก่อนหน้านี้ หวังซวี่ไม่ได้พบฮ่องเต้

“ใต้เท้าหวัง ไม่พบกันนาน ยังเหมือนเดิมเลยนะ” แม่นางหันทักทายขึ้นเสียงนิ่ง

หวังซวี่ประสานมืออย่างสุภาพ แต่หาใช่การคำนับแบบขุนนางที่มีต่อสนม เป็นเพียงการคำนับของผู้น้อยที่มีต่อผู้อาวุโส อย่างไรเสียแม่หันก็ถูกปลดเป็นสามัญชนแล้ว หวังซวี่ไม่จำเป็นต้องใช้ธรรมเนียมของขุนนางที่มีต่อกษัตริย์มาปฏิบัติด้วย

เพียงแต่ การออกจากตำหนักเย็นโดยพลการนั้นมีโทษตาย หากฝ่าบาททรงลงโทษขึ้นมาละก็

“คนข้างใน ออกมาให้หมด!” หวังซวี่ทอดมองตำหนักข้างพลางเอ่ยอย่างน่าเกรงขาม

ตามแผนการที่กู้เฉิงเฟิงทราบมา เดิมทีเขาควรสังหารฮ่องเต้ตัวปลอมในตำหนักข้าง ให้ฮ่องเต้ตัวจริงมาแทนที่คืน แล้วค่อยทำลายใบหน้าของศพ ก่อนจะขนย้ายออกจากวังด้วยตัวตนของขันทีชราแห่งจวนไท่จื่อ

ทว่ายามนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว แผนนี้ย่อมดำเนินการไม่ได้แล้ว

ไม่เช่นนั้นหากทำไม่ดี พวกเขาได้ถูกกล่าวหาว่าสังหาร ‘ฮ่องเต้ตัวจริง’ แล้วแทนที่ด้วยกษัตริย์ตัวปลอมแน่

กู้เฉิงฟิงจำต้องปล่อยฮ่องเต้ตัวปลอมที่โดนเขากดไว้กับพื้นไป แล้วลากประตูตำหนักเปิดออก

ฮ่องเต้ตัวปลอมใช้เพลิงโทสะปิดบังความอกสั่นขวัญแขวนในใจ เดินออกมาอย่างกริ้วโกรธ ยืนอยู่บนทางเดิน มองหวังซวี่อย่างเย็นชา ตวาดเสียงลั่น “หวังซวี่ เจ้านำกำลังทหารเข้าวังโดยพลการ คิดจะก่อกบฏรึ”

ฮ่องเต้ตัวจริงก็ตรัสกับหวังซวี่เช่นกัน “หวังซวี่ เจ้ามัวเหม่ออะไรอยู่ ยังไม่รีบจับตัวพวกเขาอีก!”

หวังซวี่มองฮ่องเต้ตัวปลอม แล้วหันไปมองฮ่องเต้ตัวจริง สบถหนักๆ อยู่ในใจ!

สองคนนี้จะเหมือนกันเกินไปแล้วกระมัง!

นอกจากคนหนึ่งแต่งกายเป็นขันที อีกคนสวมชุดคลุมมังกร

ระหว่างทางมานี้เขามั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม มีคนสวมรอยเป็นฮ่องเต้อย่างนั้นรึ จะไปกลัวอะไร ดวงตาเขาแหลมคม ต้องแยกแยะจริงเท็จได้แน่!

ทว่ายามนี้…

ตบหน้าแล้ว ตบหน้าจนบวมเป่งเลย!

แม่นางหันเห็นหวังซวี่สีหน้างงงวย ใจที่หวาดหวั่นก็คลายลง หลงคิดว่าหวังซวี่เชื่อคำพูดใส่ร้ายของซ่างกวานชิ่งมาจับฮ่องเต้ตัวปลอมเสียอีก ที่แท้ก็แยกแยะไม่ออกเลยสักนิด

เขามีวิจารณญาณของตัวเอง

ยามนี้คงต้องดูว่าผู้ใดสามารถจับหวังซวี่ได้อยู่หมัดแล้วล่ะ

ฮ่องเต้สูดหายใจลึก ข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเอาไว้ ตีหน้าเคร่งตรัส “หวังซวี่ เราเคยสั่งให้เจ้าไปสอนการต่อสู้ให้พระนัดดาที่สุสานกษัตริย์ สามเดือนต่อมาเจ้ากลับมารายงานเราว่า พระนัดดาร่างกายอ่อนแอ ไม่เหมาะจะฝึกการต่อสู้ แต่พระนัดดาฉลาดเฉลียวมาก ไม่รู้เชิญอาจารย์สองสามคนมาสอนเขาดีกว่า เราอนุญาต สุดท้ายเขาทำอาจารย์โมโหไปทีเดียวแปดคนเลย!”

หวังซวี่สะดุ้งโหยง ถูกต้อง! มีเรื่องนี้อยู่จริงๆ ! ซ้ำฮ่องเต้ไม่อยากให้คนรู้ว่าพระองค์ใส่พระทัยซ่างกวานเยี่ยน จะออกหน้าก็ไม่ได้ จึงไม่ได้แพร่งพรายเรื่องนี้สู่ภายนอก

กู้เจียวลูบคาง อ้อ ทำอาจารย์โมโหหนีไปแปดคนเลยรึ จู่ๆ ซ่างกวานชิ่งก็มีวีรกรรมด้านมืดเช่นนี้ด้วยสินะ

ฮ่องเต้ตัวปลอมเอ่ยขึ้นอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “หวังซวี่ เราเคยส่งเจ้าไปสืบคดีอุทกภัยอวี่ตง เจ้าส่งรายชื่อมาให้เราฉบับหนึ่ง เราบอกเจ้าว่า เนื่องจากมันเกี่ยวโยงกับหลายสิ่งหลายอย่าง เราจึงระงับเรื่องนี้ไว้ก่อน เจ้าไม่ค่อยจะพอใจ จึงโพล่งปากล่วงเกินเรา เราบอกกับเจ้าว่า ถ้อยคำเมื่อครู่ของเจ้า เราจะถือเสียว่าไม่ได้ยิน แต่หวังซวี่เจ้าจงจำเอาไว้ เราทนได้แค่หนสองหน ไม่มีหนที่สามอีกเด็ดขาด! เจ้าตายไปก็ไม่สำคัญ ซ้ำเราจะฝังทั้งตระกูลหวังไปพร้อมเจ้าด้วย!”

หวังซวี่สะดุ้งโหยงอีกรอบ

เรื่องนี้เขาก็ไม่เคยบอกกับผู้ใดเช่นกัน!

กู้เจียวคิดในใจว่า ในมือแม่นางหันมีวิญญาณทมิฬอยู่ หากต้องการจะแอบฟังการเคลื่อนไหวในห้องทรงพระอักษรใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่หวังซวี่ไม่รู้ว่ามีวิญญาณทมิฬอยู่ ด้วยเหตุนี้ในสายตาของเขาแล้ว บทสนทนาที่เป็นความลับเช่นนี้จึงไม่มีบุคคลที่สามรับรู้

ฮ่องเต้กัดฟันกรอด ออกลูกไม้เด็ดไปทันใด “เมื่อสิบปีก่อน เจ้าติดตามเราปลอมตัวเป็นชาวบ้านธรรมดาออกไปข้างนอก..ไม่ทันระวังทำเงินติดตัวหาย…จึงไปขโมยไก่หนึ่งตัวในหมู่บ้าน!”

ทุกคนปากอ้าตาค้าง เป็นถึงฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ นึกไม่ถึงว่าจะขโมยไก่!

ฮ่องเต้ตัวปลอมไม่ยอมน้อยหน้า “ฤดูล่าสัตว์ทุกปี เราล้วนล่าสัตว์ไม่ได้ เป็นเจ้าที่ล่าได้ดีเสมอมา แล้วเอามาแขวนไว้บนหลังม้าของเรา!”

ทุกคนตกใจจนคางร่วง ฮ่องเต้ไม่เพียงขโมยไก่เท่านั้น ยังโกงด้วย!

มิน่าเล่าท่านจึงได้ที่หนึ่งตลอด…

ฮ่องเต้โดนเปิดโปงหมดไส้หมดพุงแล้ว ก็โมโหจนวิญญาณสั่นระริก

เปิดโปงตัวเองต่อไปไม่ได้แล้ว พระองค์จึงเริ่มเปิดโปงหวังซวี่อย่างแน่วแน่แทน “เจ้าพูดติดอ่าง!”

ฮ่องเต้ตัวปลอม “เจ้าน่าเบื่อมาก!”

ฮ่องเต้ “เจ้ารสนิยมสุราห่วยแตก!”

ฮ่องเต้ตัวปลอม “เจ้าเดิมพันห่วยแตก!”

หวังซวี่ “…!!”

ไยจึงกลายเป็นเปิดโปงข้อด้อยข้าเสียเล่า!

อีกอย่าง ข้าไม่ติดอ่างมานานหลายปีแล้วด้วย!

ข้าติดอ่างแค่ตอนเข้าเฝ้าฝ่าบาทแรกๆ เท่านั้นเอง!

“ช้าก่อน!” เพียงเวลาประกายไฟตอนตีหิน หวังซวี่ก็มีความคิดผุดวาบขึ้นมา ทำมือบอกให้ทั้งคู่หยุด “ข้านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ตอนที่ข้าสอนการต่อสู้ให้พระนัดดาที่สุสานกษัตริย์ พระนัดดาได้บอกความลับหนึ่งของฝ่าบาทให้แก่ข้า เพื่อเอาใจข้าให้เขายืนท่าขาม้าน้อยลง”

ฮ่องเต้ทั้งตัวจริงและตัวปลอมต่างหันขวับไปมองหวังซวี่

หวังซวี่กระแอมขึ้นเบาๆ อย่างค่อนข้างลำบากใจ กัดฟันเอ่ยไป “ก้นข้างขวาของฝ่าบาทมีไฝอยู่เม็ดหนึ่ง!”

อุ๊บ

ไม่รู้ว่าใครในบรรดาฝูงชนที่กลั้นขำไม่อยู่

ทุกคนพากันหันไปมองเขา

เป็นพลธนูของตระกูลหวัง

พลธนูพลันตีหน้าเคร่งในชั่วพริบตา ง้างธนูเต็มเหนี่ยว ราวกับคนที่ขำเมื่อครู่ไม่ใช่เขา

ฮ่องเต้กำหมัดแน่น กัดฟันกรอด มุมปากกระตุกยิกๆ

ซ่างกวานชิ่ง เราจะตีเจ้าให้ตาย!

แววตาของวฮ่องเต้ตัวปลอมมีประกายตระหนก ตอนแรกไม่ได้บอกให้ปลอมตัวถึงขั้นนี้นี่นา ไยไปๆ มาๆ จึงมาเรื่องไฝตรงก้นได้เล่า

แม่นางหันขมวดคิ้ว

แม้นางจะเป็นสามีภรรยากับฝ่าบาทมานานปี แต่ยามปรนนิบัติในห้องบรรทมก็ดับไฟตลอด นางไม่ได้ตั้งใจสังเกตเรื่องนี้มาก่อนเลย

จะว่าไปแล้ว ซ่างกวานชิ่งเป็นเด็กใจกล้าบ้าบิ่นอะไรกันแน่ เรื่องพรรค์นี้ก็ยังโพนทะนาข้างนอกได้

เสียแผนแล้ว!

แม่นางหันย่อมรู้ว่าจากนิสัยซื่อตรงของหวังซวี่ ไม่มีทางสร้างเรื่องโกหกพกลมออกมาแน่

ดังนั้นนี่เป็นเรื่องจริง บนก้นของฝ่าบาทมี…เจ้าสิ่งนั้นจริงๆ

แม่นางหันหลับตาลง

อย่าตระหนก อย่าตระหนก ต้องมีวิธีแก้ไขแน่

แม่นางหันลืมตาขึ้น สายตาตกลงบนหน้าหวังซวี่ที่ค่อนข้างกระอักกระอ่วน ก่อนหัวเราะเหน็บแนมขึ้น เอ่ย “ใต้เท้าหวัง ตอนที่เจ้าสอนพระนัดดาที่สุสานกษัตริย์น่ะ พระนัดดายังเป็นแค่เด็กอยู่เลย เด็กก็พูดไปเรื่อย ไยเจ้าจึงเอามาเป็นจริงเป็นจังด้วยเล่า”

แม่นางหันเดิมคิดจะกล่าวว่า ‘ข้ากับฝ่าบาทเป็นสามีภรรยากันมานานปี บนวรกายฝ่าบาทมีไฝหรือไม่ข้าจะไม่รู้รึ’

แต่หากกล่าวเช่นนี้ออกไป หวังซวี่ต้องให้เชิญชายาสนมคนอื่นมาแน่ นางไม่ได้สังเกต ไม่ได้หมายความชายาสนมคนอื่นจะไม่ได้สังเกตเช่นกันนี่ หากบังเอิญมีคนยืนยันคำพูดของหวังซวี่ได้จริง ฮ่องเต้ตัวปลอมได้ความแตกหมดแน่

ดังนั้นจึงต้องกัดฟันบอกว่าซ่างกวานชิ่งยังเด็กพูดจาเลื่อนเปื้อนเอาไว้!

แม่นางหันคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าหวัง เจ้าคงไม่ได้เป็นพวกเดียวกันกับพวกเขาหรอกกระมัง จงใจใช้เรื่องนี้มายืนยันตัวตนของฮ่องเต้”

หวังซวี่เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ข้าไม่ได้เป็นพวกใครทั้งนั้น! ข้าจงรักภักดีแค่กับฝ่าบาทเพียงพระองค์เดียว!”

แม่นางหันยิ้มเย็นเอ่ย “แต่วรกายฝ่าบาทไม่มีของพรรค์นี้ที่เจ้าว่าแท้ๆ ! ซ้ำข้าก็ไม่ถือสาที่จะบอกกับเจ้าด้วย! ว่าไท่จื่อผู้นี้เป็นตัวปลอม! พวกเขาปลอมตัวเป็นไท่จื่อ แล้วหาคนที่หน้าตาเหมือนฮ่องเต้มาสวมรอย! เจ้าอย่าได้หลงกลพวกเขาเด็ดขาดเชียวนะ!”

กู้เฉิงเฟิงเดือดดาลขึ้นมา “เฮ้ย! ข้าปลอมตัวเป็นไท่จื่อ มิใช่เพราะจะเข้าวังมาล้มพวกเจ้าหรอกหรือไร! นังปีศาจเฒ่าอย่างเจ้าใช้กลยุทธ์หลี่ตายแทนเถา ซ้ำยังมาใช้ลูกไม้คนชั่วชิงฟ้องก่อนอีก!”

แม่นางหันเอ่ย “ใต้เท้าหวัง เขายอมรับแล้ว! ถ้อยคำสมัยเด็กของพระนัดดาไม่เพียงพอที่จะเชื่อได้ เจ้ารีบจับพวกกบฏเหล่านี้กลับไปดีกว่า!”

สีหน้าหวังซวี่ซับซ้อน

กู้เฉิงเฟิงได้ยินเสียงฝีเท้าแห่งความตายดังขึ้น จบเห่แล้ว หวังซวี่จะติดกับนางปีศาจเฒ่านั่นแล้ว

“ถ้อยคำของพระนัดดาตอนเด็กไม่เพียงพอจะเชื่อถือได้ เช่นนั้นถ้อยคำของข้าเล่า”

พร้อมกับเสียงสูงส่งทุ้มต่ำนี้ บุรุษอาภรณ์สีเงินสง่างามคนหนึ่งเชิดหน้าสาวเท้าเดินมา

สีหน้าแม่นางหันพลันเปลี่ยน

เป็นเขาได้อย่างไร

ผู้มาใหม่หาใช่ใครอื่น เป็นอนุชาแท้ๆ ของฮ่องเต้ บิดาแท้ๆ ของท่านหญิงน้อย เยี่ยนซานจวิน!

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม!

จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้เจียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล

แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เซียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ

เพราะบุญคุณเซียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ

แต่เพราะ ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนใหม่ได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในอนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก

เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ายทั้งหลายเพื่อประคองเขาขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท