ตอนที่ 1536 ไม่ให้เยี่ยม
คุณธรรมของตระกูลหลู่เป็นที่รู้กันดี หลู่ไท่เว่ยเป็นคนซื่อตรง หลู่ซ่างซูไม่เคยรับสินบนและใช้อำนาจกดขี่ผู้อื่น หลู่หยวนเผิงเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่อนาคตกว้างไกล ตระกูลเว่ยต่ำศักดิ์กว่าตระกูลหลู่นัก หากหลู่ไท่เว่ยไม่รังเกียจตระกูลเว่ยนางก็ยินดีแต่งงานกับหลู่หยวนเผิง
เว่ยปู้จิ้งและภรรยาได้ยินการวิเคราะห์ของบุตรสาวก็รู้สึกว่ามีเหตุผล พวกเขารู้ดีว่าบุตรสาวของเขามีความคิดเป็นของตัวเอง ทว่า เว่ยปู้จิ้งกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ลูกพ่อ พ่อรู้ว่าเจ้าทำเพื่อตระกูลของเรา ทำเพื่อน้องๆ ของเจ้า เจ้าคิดว่าพ่อได้รับการสนับสนุนจากฝ่าบาท ทว่า ไม่มีรากฐานในราชสำนักดังนั้นเจ้าจึงคิดว่าการที่เจ้าแต่งงานเข้าตระกูลหลู่อาจส่งผลดีต่อน้องๆ ของเจ้า ทว่า เจ้าล่ะ ฝ่าบาททรงอนุญาตให้สตรีร่ำเรียนหนังสือและเข้าทำงานในราชสำนักได้แล้ว เจ้าอยากสอบขุนนางแท้ๆ ตอนนี้อนาคตของสตรีไม่ได้มีเพียงการแต่งงานเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแล้ว!”
บุตรสาวของเว่ยปู้จิ้งก้มหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้ามองบิดาของตัวเองแล้วกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ผู้ใดกล่าวว่าหากแต่งงานไปแล้วจะสอบเข้ารับราชการไม่ได้เจ้าคะ เมื่อข้าแต่งงานเข้าตระกูลหลู่ข้าก็ยังสอบขุนนางได้อยู่ หลู่หยวนเผิงไม่ได้เดินในเส้นทางบัณฑิตแล้ว ข้าคือสะใภ้ของตระกูลหลู่ หากข้าสอบขุนนางได้ล้วนมีแต่ผลดีต่อตระกูลหลู่และตระกูลเว่ยเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นบุตรสาวตัดสินใจแน่วแน่เว่ยปู้จิ้งจึงไม่โน้มน้าวอีก เขาพยักหน้าจากนั้นหันไปกล่าวกับภรรยาของตัวเอง
“เมื่อฮูหยินของใต้เท้าหลู่มาที่จวนเจ้าจงบอกนางเรื่องนี้ด้วย”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ภรรยาของเว่ยปู้จิ้งหันไปมองบุตรสาวด้วยสีหน้ากังวล นางรู้ว่าบุตรสาวของนางฉลาดและมีความสามารถ ต่อให้แต่งงานเข้าตระกูลหลู่ก็คงรับมือกับแม่สามีและบรรดาพี่สะใภ้ได้ ทว่า นางอดกังวลไม่ได้ว่าตระกูลเว่ยต่ำศักดิ์กว่าตระกูลหลู่ ถึงเวลานั้นบุตรสาวของนางอาจโดนรังแกได้
ในสายตาของภรรยาเว่ยปู้จิ้งนางคิดว่าการแต่งงานควรแต่งกับตระกูลที่สมฐานะกัน เช่นนี้เมื่อบุตรสาวของนางแต่งงานออกไปจะได้ยืดอกได้อย่างเต็มที่
เมื่อหลู่ไท่เว่ยได้รับคำตอบจึงรีบเชิญแม่สื่อเลือกวันมงคลไปเจรจาสู่ขอบุตรสาวของเว่ยปู้จิ้งที่จวนทันที เมืองหลวงไม่มีความลับ แม้แม่สื่อยังไม่ได้ไปเยือนจวนของตระกูลเว่ย ทว่า คนส่วนใหญ่ในเมืองหลวงล้วนรับรู้หมดแล้วว่าหลู่หยวนเผิงจะแต่งงานกับบุตรสาวคนโตของเว่ยปู้จิ้ง
เมื่อซือหม่าผิงรับรู้ข่าวจึงชะงักมือที่กำลังซ้อมยิงธนูอยู่ทันที เขารีบไปหาหลู่หยวนผิงที่จวนโดยไม่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายด้วยซ้ำ ทว่า เมื่อไปถึงจวนหลู่กลับได้รับคำตอบว่าหลู่หยวนเผิงป่วย ไม่ขอพบหน้าผู้ใดทั้งสิ้น…
ซือหม่าผิงได้ยินจึงรู้ทันทีว่าหลู่หยวนเผิงถูกหลู่ไท่เว่ยกักบริเวณ ดูเหมือนว่าหลู่ไท่เว่ยคงไม่อยากเป็นดองกับราชวงศ์ ทว่า วันนั้นหลู่หยวนเผิงกลับรีบกลับมาขอร้องให้หลู่ไท่เว่ยไปสู่ขอไป๋จิ่นจื้อให้เขา ดังนั้นหลู่ไท่เว่ยจึงรีบร้อนจัดการเรื่องการแต่งงานของหลู่หยวนเผิงเช่นนี้
ทว่า ตอนนี้แม่สื่อยังไม่ได้ไปที่จวนเว่ย เรื่องทุกอย่างยังมีทางแก้ไข…
ซือหม่าผิงมองพ่อบ้านที่ยืนขวางเขาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นพยักหน้าให้น้อยๆ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ขอตัวก่อน”
ซือหม่าผิงหันไปก้าวขึ้นหลังม้า ทว่า ไม่ได้ควบม้าจากไป เขามองดูประตูทั้งหกบานของตระกูลหลู่ หากเขาไม่เข้ามายุ่งเรื่องนี้การหมั้นหมายของหลู่หยวนเผิงและบุตรสาวของเว่ยปู้จิ้งต้องถูกกำหนดขึ้นแน่นอน ถึงเวลานั้นหลู่หยวนเผิงและไป๋จิ่นจื้อจะไม่มีโอกาสอีกต่อไป
ที่สำคัญเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่หลู่หยวนเผิง ต่อให้หลู่หยวนเผิงจะอาละวาดมากแค่ไหน ทว่า หากหลู่ไท่เว่ยไม่ตกลงหลู่หยวนเผิงก็ต้องทำตามเพราะคำว่ากตัญญูค้ำคออยู่ดี คนสำคัญของเรื่องนี้คือไป๋จิ่นจื้อ
หากไป๋จิ่นจื้อมีใจให้หลู่หยวนเผิง หลู่ไท่เว่ยก็ไม่อาจทำลายความรักของคนทั้งสองได้ ทุกคนล้วนรู้ว่าไป๋จิ่นจื้อคือน้องสาวที่ฝ่าบาทรักมาก
เมื่อคิดได้ดังนี้ซือหม่าผิงจึงตัดสินใจช่วยเหลือหลู่หยวนเผิงอีกครั้ง เขาจะไปพบไป๋จิ่นจื้อแทนหลู่หยวนเผิง…
ซือหม่าผิงไปพบไป๋จิ่นจื้อที่จวนไป๋โดยอ้างว่ามีเรื่องสำคัญในกองทัพต้องรายงาน
ไป๋จิ่นจื้อกำลังถูกพี่ชายสามบังคับให้ฝึกเขียนอักษร เมื่อได้ยินว่าซือหม่าผิงมาหาจึงรีบโยนพู่กันทิ้งและออกไปหาซือหม่าผิงด้วยความดีใจทันที
เมื่อไป๋จิ่นจื้อเดินไปถึงโถงรับรองด้านหน้าก็เห็นซือหม่าผิงยืนรออยู่หน้าโถงรับรอง ไม่ได้เข้าไปดื่มชารอที่ด้านใน สาวน้อยเอ่ยทักซือหม่าผิงด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องด่วนกองทัพอันใดจึงทำให้เจ้าร้อนใจจนไม่อาจเข้าไปดื่มชารอด้านในเช่นนี้ สวนของจวนข้าสวยจนเจ้าไม่อาจละสายตาได้อย่างนั้นหรือ”
ซือหม่าผิงหันกลับไปมองก็เห็นไป๋จิ่นจื้อสวมชุดแขนยาวสีขาว กระโกรงยางสีเขียวไม้ไผ่ขลิบทองเดินตรงมาทางเขายิ้มๆ ไป๋จิ่นจื้อในวันนี้ดูเป็นสตรีมากกว่าตอนที่นางรวบผมยาวสูง สวมชุดนักรบตลอดเวลาตอนที่อยู่ในกองทัพมากนัก ไป๋จิ่นจื้อในตอนนี้ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา สดใสร่าเริงมาก
ตั้งแต่ไป๋จิ่นจื้อกลับมาที่จวน หากวันใดที่นางไม่ต้องไปที่กองทัพฮูหยินสามหลี่ซื่อก็จะจับนางแต่งตัวอย่างงดงามทุกวัน หลังจากหลี่ซื่อพยายามอยู่นาน ในที่สุดไป๋จิ่นจื้อก็ขาวและงดงามขึ้นกว่าเดิมมาก
“เจ้ามองอันใด”
ไป๋จิ่นจื้อเดินเอามือไขว้หลังไปหยุดอยู่หน้าซือหม่าผิง จากนั้นเอ่ยถามยิ้มๆ
ซือหม่าผิงได้สติ เขามองเลยไปทางด้านหลังไป๋จิ่นจื้อ
“ขอเวลาส่วนตัวครู่หนึ่ง…”
ไป๋จิ่นจื้อหันไปสื่อให้หลิงจือและหลิงชุ่ยถอยห่างไปอีกนิด จากนั้นเอ่ยถาม
“เป็นอันใดไป มีเรื่องร้ายแรงอันใดอย่างนั้นหรือ”
“เจ้ารู้เรื่องที่หลู่ไท่เว่ยจะหมั้นหมายบุตรสาวคนโตของใต้เท้าเว่ยปู้จิ้งให้หลู่หยวนเผิงแล้วหรือไม่”
ซือหม่าผิงจ้องไป๋จิ่นจื้อนิ่งพลางเอ่ยถาม
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ไป๋จิ่นจื้อก็โมโหขึ้นมาทันที
“รู้แล้วน่ะสิ! เพราะเรื่องที่หลู่หยวนเผิงจะแต่งงาน ท่านแม่ของข้าจึงเอาแต่กล่าวว่าขนาดคุณชายเจ้าสำราญ…”
ไป๋จิ่นจื้อชะงักคำกล่าวลงทันที นางเพิ่งนึกได้ว่าซือหม่าผิงสนิทกับหลู่หยวนเผิงจึงรีบกลืนคำกล่าวลงไปในคอ จากนั้นกล่าวเพียง
“แม้แต่หลู่หยวนเผิงยังจะแต่งงานแล้ว ทว่า ข้ายังไม่แต่งเสียที”
“เจ้า…”
เมื่อซือหม่าผิงเห็นท่าทีไม่สึกไม่รู้สาของไป๋จิ่นจื้อจึงเอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง
“หยวนเผิงจะแต่งงาน เจ้าไม่มีความรู้สึกอื่นเลยหรือ เจ้าไม่เสียใจหรือ”
“เขาแต่งงานไม่ดีหรืออย่างใด”
ไป๋จิ่นจื้อเบิกตาโพลงมองซือหม่าผิง
“ญาติผู้พี่ตระกูลต่งกล่าวว่าคุณหนูเว่ยนิสัยดี นางเป็นคนสุขุมมาก ท่านแม่ของข้าบอกว่าหากไม่นับเรื่องชาติตระกูล คุณหนูเว่ยคู่ควรกับหลู่หยวนเผิงมาก นี่มิใช่เรื่องดีสำหรับหลู่หยวนเผิงหรอกหรือ”
ซือหม่าผิงเห็นแววตาบริสุทธิ์และคำกล่าวอย่างเปิดเผยของไป๋จิ่นจื้อจึงรู้ทันทีว่าไป๋จิ่นจื้อไม่ได้มีใจให้หลู่หยวนเผิง ลำคอของเขาร้อนผ่าว จากนั้นเอ่ยถามต่อ
“เช่นนั้นหากข้าแต่งงานล่ะ”
“หากข้า…แต่งงานกับผู้อื่น เจ้าจะเสียใจหรือไม่”
แววตาดำขลับของซือหม่าผิงจ้องไปที่ไป๋จิ่นจื้อนิ่ง
เดิมทีซือหม่าผิงยินดีให้หลู่หยวนเผิงสมหวังกับไป๋จิ่นจื้อ ทว่า หากไป๋จิ่นจื้อไม่ได้มีใจให้หลู่หยวนเผิงก็ไม่ถือว่าเขาทรยศหลู่หยวนเผิง
“เจ้า…เจ้าหมายความว่าอย่างใด”
ไป๋จิ่นจื้อกำมือที่ไขว้อยู่ทางด้านหลังแน่น
ไป๋จิ่นจื้อรู้ความรู้สึกของซือหม่าผิงและหลู่หยวนเผิงเพราะพี่หญิงใหญ่เคยบอกนางก่อนหน้านี้ว่าทั้งสองคนมีใจให้นาง…