ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 489 ความคืบหน้า

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 489 ความคืบหน้า

ท่านหญิงชิงหยางเสียชีวิตในวัยสิบเจ็ดปี หากนับรวมเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ก็อายุสิบเก้าเหมือนกับคุณหนูใหญ่หวังพอดี

ส่วนคุณหนูลั่วปีนี้อายุสิบเจ็ดแล้ว

ลั่วเซิงไม่คิดว่านี่คือเรื่องบังเอิญ

ตอนนี้สิ่งที่นางอยากรู้มากที่สุดคือวันเกิดของสตรีอีกสี่คนที่หายตัวไป หากเป็นยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดเหมือนกัน ก็คงอดไม่ได้ที่จะต้องครุ่นคิดดีๆ แล้ว

“คุณหนูลั่ว?” เมื่อเห็นลั่วเซิงสีหน้าจริงจัง คุณหนูรองหวังจึงเรียก

ลั่วเซิงดึงสติกลับมามองนาง

คุณหนูรองหวังกัดปากเบาๆ พยายามข่มความไม่สบายใจไว้พูดว่า “คุณหนูลั่ว หากใต้เท้าหลินมีข่าวของท่านพี่ข้า ได้โปรดบอกข้าด้วย ข้า…ข้าไม่กลัว…”

ใบหน้านางซีดขาว ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล แต่สีหน้ากลับเผยความแน่วแน่

แทนที่จะปล่อยให้ท่านพี่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้ สู้ให้นางรู้ผลลัพธ์เสียดีกว่า

“คุณหนูรองหวังโปรดวางใจ ข้าจะบอกเจ้าทันทีที่มีข่าวแน่นอน”

“ขอบคุณคุณหนูลั่วแล้ว” คุณหนูรองหวังเช็ดหางตาเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน “หากไม่มีเรื่องอื่น ข้าขอกลับไปก่อน ไม่แน่ว่าครอบครัวอาจจะมีข่าวท่านพี่แล้ว…”

ขณะที่พูดเช่นนี้ นางกลับไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย

หากหาคนได้โดยอาศัยครอบครัว คงหาเจอไปนานแล้ว จะรอจนถึงตอนนี้และไม่มีข่าวคราวเลยได้อย่างไร

บัดนี้นางรอคอยเพียงปาฏิหาริย์หรือใต้เท้าหลินท่านนั้นจะเก่งกาจสมคำร่ำลือ

หลังจากคุณหนูรองหวังจากไป ลั่วเซิงก็ส่งคนไปแจ้งข่าวหลินเถิงที่กรมยุติธรรม

ใกล้ยามเที่ยง หลินเถิงก็เดินเข้ามาในหอสุรา

ลั่วเซิงเชิญหลินเถิงนั่งลงบนโต๊ะบริเวณหนึ่ง ถามว่า “ใต้เท้าหลินทำงานเสร็จแล้วหรือ”

“ใต้เท้าหลินยังไม่กินข้าวใช่หรือไม่ หอสุราไม่เปิดยามเที่ยง ปกติจะกินอาหารง่ายๆ กินก๋วยเตี๋ยวผัดปรุงรสสักถ้วยก่อนหรือไม่”

เมื่อครู่นี้ซิ่วเย่ว์กำลังเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำก๋วยเตี๋ยวผัดปรุงรส หลินเถิงมาได้เวลาพอดี

เพราะหลินซูผู้เป็นหลานชายคนโต ทำให้ลั่วเซิงอดปฏิบัติตัวเป็นผู้อาวุโสกับหลินเถิงไม่ได้ มองดูใต้ตาที่คล้ำเพราะความเหนื่อยล้าก็หยุดคำถามที่จะถามไว้ชั่วคราว

หลินเถิงกำลังจะถามถึงคุณหนูใหญ่หวัง เมื่อได้ยินว่ามีก๋วยเตี๋ยวผัดปรุงรสก็พยักหน้าโดยสัญชาติญาณ “ก๋วยเตี๋ยวผัดปรุงรสก็ดี”

เมื่อพูดจบก็ชะงักไป รู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย

เขาผู้ที่ตั้งใจกับการทำงานเช่นนี้ ไม่ควรถูกก๋วยเตี๋ยวถ้วยหนึ่งรบกวนเอาได้ง่ายๆ

ลั่วเซิงสั่งหงโต้ว “ไปดูในห้องครัว หากทำก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้วก็ยกมา”

หงโต้วหันหลังเดินไปข้างหลัง ไม่นานก็ยกก๋วยเตี๋ยวมาถ้วยหนึ่ง… ไม่สิ กะละมังหนึ่งออกมา

สาวใช้เดินมาตรงหน้าทั้งสองอย่างรวดเร็ว วางก๋วยเตี๋ยวผัดปรุงรสตรงหน้าหลินเถิงแล้วพูดเสียงใสว่า “ใต้เท้าหลินกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าค่ะ”

หลินเถิงก้มหน้ามองกะละมังลายครามที่วางตรงหน้า

กะละมังลายครามมีสีขาว ตกแต่งด้วยลวดลายกิ่งเหมยสีเขียว ก๋วยเตี๋ยวโรยหน้าด้วยถั่วเหลืองบด เนื้อหั่นเต๋า เนื้อกุ้ง และเครื่องเคียงอย่างเช่น ถั่วงอกตัดหัวตัดหางและผักกาดขาว

กลิ่นหอมของเนื้อลอยขึ้นมาพร้อมไอร้อนแตะจมูก ทำเอาผู้คนกลืนน้ำลาย

“ใต้เท้าหลินรีบกินตอนร้อนๆ เถอะ กินเสร็จแล้วค่อยคุยธุระกัน”

เดิมหลินเถิงจะบอกว่ากินหนึ่งกะละมังไม่ไหว แต่เนื่องจากกลิ่นหอมที่เย้ายวนทำให้เขากลืนคำพูดลงไปและก้มหน้าก้มตากิน

แม้เขาจะเกิดในครอบครัวที่สืบทอดความรู้และประเพณีอันงดงาม แต่กลับต้องคลุกคลีอยู่กับคดีตลอดปี เมื่อยุ่งขึ้นมาแม้แต่ข้าวก็ไม่ได้กิน เขาย่อมไม่ให้ความสำคัญกับความสุภาพเรียบร้อย

ลั่วเซิงดื่มชาหนึ่งจอกเสร็จ หลินเถิงก็กินก๋วยเตี๋ยวผัดปรุงรสหนึ่งกะละมังหมดแล้ว

ชายหนุ่มที่กินจนอิ่มเพิ่งรู้สึกเขินอายขึ้นมา

แย่แล้ว ได้กินก๋วยเตี๋ยวผัดปรุงรสหอมๆ เมื่อครู่นี้ก็ลืมไปเลย…

หลินเถิงมองลั่วเซิงด้วยใบหน้าร้อนผ่าว เมื่อสัมผัสถึงสายตาอ่อนโยนดุจน้ำไหลของอีกฝ่ายก็รู้สึกแปลกประหลาด

เหตุใดสายตาที่คุณหนูลั่วมองเขาจึง…ดูเมตตาแบบนั้นนะ

การค้นพบนี้ทำเอาหลินเถิงลืมสิ่งที่จะพูดไปสนิท

ลั่วเซิงยื่นชาร้อนจอกหนึ่งให้ เริ่มพูดก่อนว่า “วันเกิดของคุณหนูใหญ่หวัง ข้าถามคุณหนูรองหวังมาแล้ว”

“วันที่เท่าไหร่หรือ” เมื่อคุยธุระสำคัญ หลินเถิงก็สลัดความคิดยุ่งเหยิงในศีรษะทิ้งทันที

ลั่วเซิงพูดขึ้นทีละคำว่า “ยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด”

หลินเถิงแสดงสีหน้าไม่แปลกใจ

“สตรีสี่คนที่หายตัวไปที่ใต้เท้าหลินถาม เกิดวันเวลาเดียวกับคุณหนูใหญ่หวังใช่หรือไม่”

หลินเถิงเงียบครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ใช่แล้ว ยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด”

“นี่คงไม่ใช่คดีลักพาตัวธรรมดาๆ”

หลินเถิงไม่ได้ตอบ แต่พูดว่า “คดีมีความซับซ้อนเล็กน้อย ข้าต้องสืบสวนดีๆ คุณหนูลั่วอย่าถามมากเกินไปเลย จะได้ไม่เกิดปัญหากับตนเอง”

หงโต้วทนฟังต่อไปไม่ไหว กลอกตาใส่เขา “ใต้เท้าหลิน ทำไมท่านจึงเป็นเช่นนี้ กินก๋วยเตี๋ยวผัดปรุงรสเมื่อครู่นี้ไม่เห็นบ่นสักคำ ตอนนี้มาบ่นว่าคุณหนูของเราถามมากเกินไปหรือ”

นี่มันสร้างแม่น้ำสำเร็จแล้วรื้อสะพานชัดๆ

เมื่อถูกสาวใช้พูดประชดประชัน หลินเถิงก็เข้าใจถึงคำว่า ‘ใจอ่อนเพราะติดค้างบุญคุณ’ อย่างลึกซึ้ง

เขาอดมองเด็กสาวที่นั่งตรงหน้าไม่ได้

ลั่วเซิงยิ้ม “ใต้เท้าหลินไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไร อย่าใส่ใจกับคำพูดของหงโต้วเลย”

หลินเถิงได้ยินก็ยิ่งไม่สบายใจ

กินก๋วยเตี๋ยวผัดปรุงรสของผู้อื่นแล้ว ยังวานให้คนอื่นช่วยส่งข่าวให้คุณหนูรองหวัง พอถึงคราวเขากลับไม่พูดอะไรเลย ดูไม่เหมาะสมจริงๆ

เมื่อครุ่นคิดครู่หนึ่งหลินเถิงก็พูดว่า “เมื่อพูดถึงวันและเวลาเกิด มักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องความเชื่อภูตผีปีศาจ…”

ลั่วเซิงหรี่ตาลงจิบชาคำหนึ่ง พูดอย่างครุ่นคิดว่า “สตรีที่หายตัวไปทั้งสี่รวมถึงคุณหนูใหญ่หวังมีภูมิหลังแตกต่างกันมาก อีกฝ่ายได้วันเวลาเกิดของพวกนางไปได้อย่างไร”

“ข้าจะไปกรมครัวเรือนยามบ่าย”

กรมครัวเรือนมีหน้าที่รับผิดชอบทะเบียนราษฎร จะหาสตรีที่เกิดวันเวลาเดียวกับคุณหนูใหญ่หวังและสตรีที่หายตัวไปในเมืองหลวง เริ่มลงมือจากที่นี่ย่อมสะดวกที่สุด

และนี่ก็คือสาเหตุที่หลินเถิงไม่อยากเปิดเผยให้ลั่วเซิงรู้ในตอนแรก

หากสตรีที่หายตัวไปเหล่านี้มีภูมิหลังคล้ายกันก็คงง่าย ทว่ามีทั้งสตรีที่มีภูมิหลังเป็นครอบครัวข้าราชการไปจนถึงครอบครัวยากจน เป้าหมายไม่ได้อยู่ในแวดวงเดียวกัน อยากจะทราบข้อมูลวันเวลาเกิดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

เขาสงสัยกระทั่งว่าผู้ร้ายเป็นข้าราชการในกรมครัวเรือนจึงมีข้อได้เปรียบเช่นนี้

“ขอให้ใต้เท้าหลินมีข่าวดีเร็วๆ”

“ขอให้เป็นจริงตามนั้น ข้าขอตัวกลับก่อนแล้ว” หลินเถิงลุกขึ้นจะเดินจากไป เมื่อเหลือบเห็นกะละมังใสสะอาด สีหน้าก็แข็งทื่อ “ตอนออกมารีบร้อนไปหน่อย จดบัญชีไว้ก่อนเถอะ”

ชามใหญ่ขนาดนี้ ราคาเท่าไหร่นะ

ขณะที่กำลังหวาดกลัวก็เห็นลั่วเซิงยิ้มให้ “ใต้เท้าหลินเกรงใจแล้ว ยังไม่ถึงเวลาเปิดหอสุรา รับรองใต้เท้าหลินกินก๋วยเตี๋ยวง่ายๆ จะเก็บเงินได้อย่างไร”

หลินเถิงได้ยินดังนั้นก็ทั้งรู้สึกผิดและดีใจ เขากล่าวขอบคุณแล้วรีบจากไป

กรมครัวเรือนและกรมยุติธรรมอยู่ในละแวกเดียวกัน หลังจากหลินถึงไปถึงแล้วก็หาเสมียนที่รู้จักคนหนึ่ง บอกว่าจะขอตรวจดูทะเบียนราษฎร

เสมียนชะงักงัน “ใต้เท้าหลินจะดูรายชื่อทะเบียนราษฎรหรือ”

หลินเถิงรู้สึกแปลก ถามว่า “มีคนเคยมาขอดูหรือ”

เสมียนตอบว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อน ใต้เท้าซื่อหลางของเรามาขอไปครั้งหนึ่ง”

รายชื่อทะเบียนราษฎรเป็นงานยุ่งยากน่าเบื่อ ผู้ที่รับผิดชอบในการจดบันทึกล้วนเป็นเสมียนตัวน้อยๆ เช่นพวกเขา เหล่าใต้เท้าแค่ต้องมารับรู้จำนวนเป็นประจำ ไม่ค่อยได้อ่านรายชื่อด้วยตนเอง

หลินเถิงย่อมรู้เรื่องเหล่านี้ เขาข่มหัวใจที่เต้นแรงถามอย่างสงบว่า “ไม่ทราบว่าใต้เท้าท่านไหนหรือ”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท