ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 347 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 347 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-1

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเห็นร่างเสี่ยวลี่ล้มตึงไปข้างหน้าพลันหยุดเสียงหัวเราะ

จากนั้นถอนหายใจต่อเนื่องหลายครั้ง

“ท่านอ๋อง เหตุใดเขาจึงนอนลงไปเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

สองคนนั้นเอ่ยถาม

“เขาเหนื่อยแล้วจึงอยากนอน”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว

ทั้งสองคนพยักหน้า

สิบเอ็ดดาบเมื่อครู่ทั้งสิ้นเปลืองพลังงานและสติปัญญายิ่งนัก

ย่อมอ่อนเพลียเป็นธรรมดา

ทว่าคำพูดต่อมาของเจิ้นเป่ยอ๋องกลับทำให้ทุกคนประหลาดใจสุดขีด

“จงสร้างสุสานให้เขาตรงตำแหน่งที่เขานอนหลับ เพียงฝังลงดินไว้…ป้ายหน้าหลุมศพต้องใหญ่กว่านี้และสง่างามอีกหน่อย”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องพูดต่อทันที

“เขาตายแล้วหรือ”

ทั้งสองถามอย่างเหลือเชื่อ

ผู้ถวายงานสี่คนที่เหลือและผู้แบกเกี้ยวสิบคนก้าวเดินขึ้นมาข้างหน้า

“เขาตายแล้ว”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว

“ท่านอ๋อง ร่างกายของเขาไร้รอยบาดแผล…”

ผู้ถวายงานวังอ๋องผู้หนึ่งกล่าวหลังจากตรวจสอบศพแล้ว

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว

ครั้นผู้ถวายงานวังอ๋องผู้นั้นได้ยินพลันตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นประคองร่างของเสี่ยวลี่ขึ้นมาและเริ่มค้นหา

กระทั่งมองเห็นเข็มเงินบางเฉียบราวกับขนวัวในตำแหน่งที่ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าวมาดังคาด

เข็มเงินเล่มนี้ไม่ต่างอะไรกับเข็มที่หมอใช้ในยามทั่วไป

เพียงแต่ว่าเรียวยาวกว่าเล็กน้อย

“คุ้มกันท่านอ๋อง!”

ผู้ถวายงานวังอ๋องผู้นั้นถือเข็มเงินและมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

คาดไม่ถึงว่าระหว่างที่เสี่ยวลี่วิ่งอยู่ภายใต้สายตาของฝูงชนจะถูกปลิดชีวิตเพียงเข็มเงินเรียวเล่มเดียว

การทำให้คนผู้หนึ่งตายมักเพื่อปกปิดบางสิ่ง

รู้มากเท่าใด ตราบใดที่สิ้นลมก็ไร้ประโยชน์

“ไม่จำเป็น…คนจากไปนานแล้ว!”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องยกมือขึ้นพลางกล่าว

“หรือว่าท่านอ๋องจะมองเห็นมาก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ?”

ผู้ถวายงานวังอ๋องผู้นั้นเอ่ยถาม

“มองเห็นสิ่งใดหรือ”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเงยหน้าขึ้นกล่าวถาม

“มองเห็นผู้ที่ลอบสังหารพ่ะย่ะค่ะ”

ผู้ถวายงานวังอ๋องกล่าว

เดิมทีคิดว่าสองคนที่ถือโคมอยู่หัวสะพานคือมือสังหารเสียอีก

คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวลี่จะเป็นหนอนบ่อนไส้และทรยศ

ทว่าตอนนี้หนอนบ่อนไส้ผู้นี้ถูกมือสังหารตัวจริงสังหารแล้ว

เจิ้นเป่ยอ๋องครุ่นคิดเรื่องนี้อีกหนหนึ่งจึงรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าเล็กน้อย

เขารู้สึกว่าทั้งๆ ที่ผู้ที่ตายควรเป็นตนเองจึงจะถูก

หากคนเหล่านี้ต้องการเพียงเงิน

เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ลองหาบ่อนพนันหรือโรงแลกเงินขนาดใหญ่สักแห่งเล่า

เงินในสถานที่เหล่านั้น ไม่แน่ว่าอาจมีมากกว่าสี่ล้านตำลึงด้วยซ้ำ

อีกทั้งคุณสมบัติก็ต่างกันด้วย

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องไม่รู้ชัดถึงจุดประสงค์แท้จริงของอีกฝ่าย

แต่เขารู้ว่าวิธีการของอีกฝ่ายนั้นสูงยิ่งนัก

แม้แต่เสี่ยวลี่ที่ติดตามเขามานานหลายปียังถูกยุยงให้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาคอยรับใช้ได้

ยอดฝีมือชำนาญอาวุธลับนั้นก็อย่าได้เสียเวลาเอ่ยถึง

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องนั่งอยู่บนขั้นบันไดสะพานหินอยู่พักหนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นยืนและเดินไปยังเกี้ยวของตน

“กลับกันเถิด จำไว้ว่าเสี่ยวลี่เคราะห์ร้ายถึงชีวิตขณะพยายามคุ้มกัน…ช่างเป็นผู้จงรักภักดีจริงๆ!”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าวเช่นนี้ขณะนั่งบนเกี้ยว

ครั้นคนภายนอกได้ยินเช่นนี้จึงพากันพยักหน้า

แม้ว่าคำพูดนี้จะตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงโดยสิ้นเชิง

แต่บางครั้งการปิดบังความจริงก็เป็นการปกป้องอย่างหนึ่งเช่นกัน

ไม่เพียงแต่ปกป้องราษฎรในเมืองอ๋อง ทั้งยังปกป้องเกียรติของซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องอีกด้วย

เขาเคยคิดมานานแล้วว่าอาจเป็นสิ่งที่ชาวทุ่งหญ้ากระทำหรือไม่

เนื่องจากเบี้ยหวัดของทัพชายแดนถูกปล้นชิง ผู้รับผลประโยชน์รายแรกย่อมเป็นราชสำนักทุ่งหญ้าที่อยู่อีกฟากหนึ่งของอาณาจักรอ๋อง

แต่ความคิดนี้ของซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องในตอนนี้เริ่มไขว้เขวเล็กน้อย…

แม้ชาวทุ่งหญ้าจะแข็งแกร่งดุดัน

แต่ไม่มีทางฉลาดเฉียบแหลมวางกลยุทธ์ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพียงนี้ได้แน่นอน

แม้ว่าจะถูกชาวทุ่งหญ้าปล้นชิงไปจริงๆ ก็ตามที

ชาวทุ่งหญ้าที่อยู่ลึกเข้าไปในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องกลุ่มนี้ จะต้องถูกผู้คนคิดว่าเป็นผู้ปล้นชิงเป็นแน่

เมื่อกลับถึงวังอ๋อง

สิ่งแรกที่ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องทำคือการประกาศยกเลิกคำสั่งทำความสะอาดถนน

ทำให้ทั้งเมืองอ๋องกลับคืนสู่ความคึกคักผู้คนขวักไขว่ไปมาในพริบตา

สิ่งที่สองย่อมเป็นการประกาศการเสียชีวิตของเสี่ยวลี่

ทว่านี่กลับทำให้ทั่วทั้งเมืองอ๋องปกคลุมไปด้วยบรรยากาศเศร้าหมอง…

หลังจากทำสองสิ่งนี้เสร็จสิ้น เขารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย

เรื่องที่ครุ่นคิดในวันนี้มากกว่าที่สะสมมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาเสียอีก

ไม่แปลกที่เขาจะไม่ชินกับมัน

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องนั่งบนบัลลังก์ในพระตำหนักวังอ๋องของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นเตรียมจะไปพระตำหนักหลัง

ในตอนนี้เอง คนผู้หนึ่งก้าวฉับๆ เข้ามาอย่างรวดเร็ว

“ท่านอ๋อง!”

คนผู้นี้เห็นซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเพิ่งลุกขึ้นจึงรีบค้อมกายคำนับแล้วกล่าว

พระตำหนักแห่งนี้สร้างในร่มเงา

แม้ว่าแสงแดดในยามนี้จะเจิดจ้า แต่หาได้สาดส่องเข้ามา

ในพระตำหนักไม่มีตะเกียงสักดวง

ด้วยเหตุนี้ โครงหน้าของคนผู้นี้จึงมองเห็นไม่ชัดเจนอยู่บ้าง

ทว่าผู้ที่สามารถเข้าออกพระตำหนักวังอ๋องได้อย่างอิสระล้วนเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องอย่างยิ่ง

จากน้ำเสียงและฝีเท้าของอีกฝ่าย เขาสามารถรับรู้และบอกได้ว่าเป็นผู้ใด

ไม่จำเป็นต้องเห็นใบหน้าชัดเจน

“ซุนเต๋ออวี่ เจ้ากลับมาเร็วเพียงนี้เลยหรือ”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว

ผู้มาเยือนหาใช่ผู้อื่น

ซุนเต๋ออวี่หนึ่งในสามผู้ถวายงานที่เขาส่งไปตรวจสอบเบี้ยหวัดที่หายไปนั่นเอง

“ทูลท่านอ๋อง เพิ่งถึงเมื่อครู่พ่ะย่ะค่ะ”

ซุนเต๋ออวี่กล่าวด้วยความเคารพ

“นั่งลงพูดคุยเถิด…”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว

น้ำเสียงของเขาเอือมระอาอย่างยิ่ง

เพราะเขาไม่อยากได้ยินซุนเต๋ออวี่พูดสักคำด้วยซ้ำ

แต่กระทำการใดย่อมต้องมีมารยาท

จะฟังเข้าหูหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะฟังหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

หากตอนนี้เขายังมีท่าทีเกียจคร้านอยู่ก็จะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำงานหนักทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังเหล่านี้ผิดหวัง

ฉะนั้นเขาจำต้องฟัง

แม้ว่าจะฟังไม่เข้าหูก็ต้องฝืนนั่งตัวตรงบนบัลลังก์และรอจนอีกฝ่ายพูดจบ

ท่ามกลางผู้ถวายงานของวังอ๋อง เขาไม่ชอบซุนเต๋ออวี่ที่สุด

ไม่ได้เป็นเพราะคนผู้นี้ไม่ดี

แต่เป็นเพราะคำพูดของเขาทำให้คนฟังรู้สึกเบื่อหน่าย…

เพื่อให้ประโยคชัดเจนล้วนพูดวกไปวนมาสามสี่หน

ในตอนแรก ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องยังมีใจคิดแก้ไขปรับปรุงเขา

กระทั่งชิงเอ่ยถามก่อนตอนที่เขากำลังพูดคุย หมายจะเร่งความคืบหน้า

คิดไม่ถึงว่าคำถามนี้จะทำให้อีกฝ่ายระมัดระวังในรายละเอียดมากขึ้น

เหลือเพียงบอกว่าตนกินสิ่งใดในสามมื้ออาหารเมื่อออกไปอยู่ข้างนอกมาหลายวัน

แต่ระดับพลังวิถียุทธ์และความสามารถจัดการธุระของซุนเต๋ออวี่กลับเป็นผู้ที่เก่งกาจอย่างยิ่ง

เมื่อพบเจอเรื่องใหญ่ใดๆ จำต้องให้เขาจัดการ

ครั้นคิดหน้าคิดหลังแล้วจึงทำได้เพียงอดทนเท่านั้น…ไร้ทางเลือกอื่น

“ท่านอ๋อง กรมสอบสวนกลางเข้าแทรกแซงพ่ะย่ะค่ะ!”

ซุนเต๋ออวี่กล่าว

ครั้นซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องได้ยินพลันตกตะลึง!

สิ่งที่เขาตกตะลึงไม่ใช่การเข้าแทรกแซงของกรมสอบสวนกลาง

แต่เป็นซุนเต๋ออวี่ที่ครั้งนี้ผิดไปจากเดิมและพูดประเด็นสำคัญในประโยคแรกต่างหาก

จงรู้ไว้ว่าซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องได้ปรับท่าทางที่สบายที่สุดบนบัลลังก์แล้ว

เพียงรอให้ซุนเต๋ออวี่พูดเรื่องราววกวนช่วงหลายวันที่ผ่านมานับตั้งแต่ออกจากเมืองอ๋องไป…

“กรมสอบสวนกลางหรือ”

เหตุใดพวกเขาจึงรู้รวดเร็วถึงเพียงนี้เล่า

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องถาม

แม้เขาจะรู้ว่าสถานที่ที่ถูกปล้นชิงเบี้ยหวัดจะมีอาคารกรมสอบสวนอยู่แห่งหนึ่งก็ตาม

แม้ว่าตงอี้ผู้สั่งการกองและเป็นหัวหน้าอาคารของอาคารกรมสอบสวนแห่งนี้จะถูกจิ้งเหยาสังหารไปแล้ว

แต่ซุนเต๋ออวี่และพรรคพวกเป็นคนค้นพบศพ

อีกทั้งได้มีการรายงานไปยังกรมสอบสวนกลาง

แต่ไม่ว่าจะเป็นฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าหรือกรมสอบสวนกลางต่างก็ยังไม่ตอบกลับใดๆ

ควรจะพูดถึงการแทรกแซงว่าอย่างไรอีกเล่า

“กระหม่อมพบคนผู้หนึ่งในเมืองที่เบี้ยหวัดถูกปล้น เป็นอวิ้นเหวิน อดีตผู้กำกับการกรมสอบสวน เพียงแต่ว่านางออกจากกรมสอบสวนเมื่อไม่กี่ปีก่อนและเปลี่ยนนามเป็นเยว่ตี๋ท่องยุทธภพพ่ะย่ะค่ะ”

ซุนเต๋ออวี่กล่าว

หลังจากซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องได้ยินก็ครุ่นคิดหนัก…

เขารู้โครงสร้างของกรมสอบสวนกลางเป็นอย่างดี

ผู้กำกับการกรมมีเพียงสองคนเท่านั้น

เป็นรองเพียงผู้บังคับการกรมเว่ยฉี่หลินในกรมสอบสวน

“เจ้ารู้จักนางได้อย่างไร”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเอ่ยถาม

“เรื่องนี้…เอ่อ…หลังจากคนผู้นี้เปลี่ยนนามเป็นเยว่ตี๋ เคยรู้จักกับกระหม่อมในอดีตพ่ะย่ะค่ะ”

คำกล่าวนี้ของท่านอ๋อง บังเอิญถามในส่วนที่เก้อกระดากที่สุดของซุนเต๋ออวี่

เขาที่สงบนิ่งเถรตรงมาโดยตลอดกลับอึกอักขึ้นมา

“เจ้าพูดต่อสิ!”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องมองท่าทางของซุนเต๋ออวี่ปราดเดียวก็รู้ว่าจะต้องมีเรื่องราวบางอย่างที่เขาเล่าได้ยากแน่นอน

เจ้าไม่อยากเห็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตนอับอาย

จึงยิ้มอย่างอ่อนโยน

ทั้งยังเรียกให้องครักษ์นำสุราเข้ามาสองกา

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องไม่ชอบดื่มสุรา

สิ่งที่แปลกก็คือ ทุกครั้งที่เขาเห็นซุนเต๋ออวี่กลับอยากดื่มสุราเสียอย่างนั้น…

ทว่าแต่ไรมาซุนเต๋ออวี่ไม่เคยแตะสุราแม้แต่หยดเดียว

มีเพียงยามที่พบกับสถานการณ์สุขสันต์ยิ่งใหญ่จึงดื่มเพียงครึ่งจอกเพื่อแสดงน้ำใจเท่านั้น

คนที่ไม่ดื่มสุราทั้งสองคน ไฉนต้องจัดสุราด้วยเล่า

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้

เขาเพียงรู้สึกว่าผู้ที่มีสติแจ่มชัดจะดื้อดึงเกินไปในบางครั้ง ไม่เข้าใจความรักเลยแม้แต่น้อย…

เมากรึ่มๆ ออกจะดี มองใต้หล้าผืนนี้พร่ามัวเสียหน่อย เรื่องเศร้าเสียใจจะทุเลาลงมากโข

“และยังมีคนหนุ่มสาวอีกสองคนข้างกายอวิ้นเหวิน เดาว่าคงจะเกี่ยวพันกับกรมสอบสวนอยู่บ้าง”

ซุนเต๋ออวี่กล่าวต่อทันที

“เมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนข้าตกปลาที่บ่อห่านป่าสีชาดสัมผัสได้ถึงความอลหม่านดังอึกทึกครึกโครมมาจากทิศทางที่เบี้ยหวัดถูกปล้นไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องถาม

“เพราะอวิ้นเหวิน…ออกกระบี่แหวกนภา…เกือบจะถึงขอบเขตเทพบริราชเก้าทวีปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ซุนเต๋ออวี่กล่าว

“อวิ้นเหวินนี่ช่างเก่งกาจ! ท้ายที่สุดเหตุใดจึงไม่สำเร็จเล่า”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเริ่มสนใจขึ้นมา

“นาง…ยอมแพ้ไปเอง เรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในเป็นแน่…”

ซุนเต๋ออวี่ชั่งใจอยู่นาน ในที่สุดก็เล่าเรื่องในอดีตระหว่างอวิ้นเหวินกับบุตรชายของเขาให้ฟัง

ครั้นพูดจบเขาก็เอาแต่ก้มศีรษะ

ไม่อาจสบสายตาตรงๆ ได้อีกต่อไป

สุราจัดขึ้นโต๊ะแล้ว

ซุนเต๋ออวี่ก้มหน้ามองจอกสุรา รินให้ตนเองจนเต็มจอกแล้วเงยหน้าดื่มรวดเดียว

เมื่อดื่มสุราจอกนี้จนเกลี้ยง เขากลับเห็นว่าซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องยังถือจอกสุราค้างไว้

น้ำตารื้นขอบตา

“เฮ้อ…มีความรักและความภักดี! ช่างเป็นสตรีที่เรียกได้ว่าวิเศษในโลกจริงๆ!”

ซ่างกวนซวี่เหยาทอดถอนใจขึ้นมา

กว่าจะรู้ตัวก็ดื่มสุราไปหลายจอกแล้ว

หลังจากได้สติกลับมาก็รู้สึกว่าตนลืมตัวจนเสียกิริยาไปเสียแล้ว

รีบร้อนเก็บสีหน้า

ร่างที่แต่เดิมนั่งเอนบนบัลลังก์ก็ปรับตัวตรง

“หลังจากนั้น อวิ้นเหวินกับคนหนุ่มสาวสองคนนั้นก็จากไป ดูทิศทางแล้วน่าจะไปเมืองหยางเหวินพ่ะย่ะค่ะ”

ซุนเต๋ออวี่กล่าว

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องพยักหน้า

แม้ว่าเมืองหยางเหวินจะไม่ใช่เมืองที่ใกล้จุดปล้นชิงเบี้ยหวัดมากที่สุด แต่ในระยะร้อยลี้มีเพียงเมืองหยางเหวินที่มีอาคารกรมสอบสวนตั้งอยู่

อีกทั้งหัวหน้าอาคารของอาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินยังเป็นผู้บังคับบัญชาอีกด้วย

“ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องรายงานต่อท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”

ซุนเต๋ออวี่วางจอกสุราลงแล้วกล่าว

“เรื่องใดหรือ”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องรู้สึกว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ต้องไม่ปกติเป็นแน่

เพราะซุนเต๋ออวี่ที่อยู่ในความกระอักกระอ่วนเมื่อครู่เคร่งขรึมขึ้นมากะทันหัน

“ผู้จุดตะเกียงเหมันต์ปรากฏตัว…ที่เมืองหยางเหวิน วันนั้นเป็นงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของจิ้นเผิง หัวหน้าอาคารแห่งอาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวิน ผู้จุดตะเกียงเหมันต์พาหลานสาวมาร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ซุนเต๋ออวี่กล่าว

“ผู้จุดตะเกียงเหมันต์! เหตุใดช่วงนี้อาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องของข้าจึงคึกคักถึงเพียงนี้…”

ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องโคลงศีรษะ

ชาวทุ่งหญ้า กรมสอบสวนกลาง ผู้จุดตะเกียงเหมันต์

รวมถึงเสี่ยวลี่ที่เสียชีวิตไป

มองเพียงแวบเดียวก็มีสี่ขุมอำนาจที่แตกต่างกันมีเอี่ยวเรื่องการปล้นชิงเบี้ยหวัดทัพชายแดนสี่ล้านตำลึงของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง

นี่ยังไม่นับรวมกองกำลังอาณาจักรเจิ้นเป่ยของเขาเข้าไปด้วย

ซ่างกวนซวี่เหยาจมอยู่ในความคิดครู่หนึ่งจึงบอกเรื่องการตายของเสี่ยวลี่กับซุนเต๋ออวี่

ขณะเดียวกัน ก็ให้เขาแบกรับภาระหน้าที่ของเสี่ยวลี่ก่อนหน้านี้

ดูแลเรื่องซับซ้อนจิปาถะทั้งหมดในวังอ๋องและเมืองอ๋อง

เดิมซุนเต๋ออวี่ต้องการปฏิเสธ

ไม่ว่าจะด้วยความจริงใจหรือตามมารยาท

ท่านอ๋องมอบภาระหนักไว้บนบ่า ปฏิเสธย่อมดีกว่า

แต่ซ่างกวนซวี่เหยากลับโบกมือ

ยืนขึ้นแล้วก้าวเท้าออกจากพระตำหนักไป

ท่านอ๋องผู้นี้ที่ตนมองเห็นกลับไร้ความรีบร้อน

ซุนเต๋ออวี่ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างจนปัญญา

เขาจะต้องไปจวนของเสี่ยวลี่สักหนหนึ่ง

แม้คนจะตายไปแล้ว แต่สิ่งของยังอยู่

ไม่แน่ว่าอาจพบเบาะแสบางอย่างก็เป็นได้

ค่ำคืนนั้นลมวสันต์มาเยือน

ค่ำคืนนั้นลมวสันต์มาเยือน

Status: Completed
หนังสือเล่มนี้เป็นนิยายรักน้ำเน่า นางร้ายของเรื่องบังเอิญมีชื่อเดียวกันกับ "อวี๋เซียง" ที่บังเอิญยิ่งกว่านั้น ยังขาพิการตั้งแต่ยังเด็กเหมือนอวี๋เซียงไม่ผิดเพี้ยน ไม่ต้องเสียเวลาคิดก็รู้ ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตวิญญาณหรือสุขภาพร่างกาย คนทั้งคู่มีโอกาสหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว!"นี่มันวันซวยของเธอ อวี๋เซียงหรืออย่างไร! ภพก่อนประสบเคราะห์กรรมตั้งมากมาย ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เกิดชาติใหม่ภพใหม่ สุดท้ายกลับต้องเกิดใหม่ในร่างที่ไม่สมบูรณ์ นั่นยังพอทำใจได้ แต่ทีทำให้เธอโมโหที่สุดก็คือ...เธอหลงเข้ามาอยู่ในนิยาย ทั้งยังได้รับบทเป็นตัวละครสมทบหญิงที่ซวยที่สุดในโลก!"

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท