บทที่ 1204 ตอนพิเศษ (78.1)
ป้าหลินจำเสียงของลู่จื่ออวิ๋นได้จึงเอื้อมมือออกไปหา
ลู่จื่ออวิ๋นเข้าไปพยุงนาง “ท่านป้า การแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล็ก ข้ารู้ว่าท่านกังวลว่าพี่ใหญ่ชูอีจะไม่มีที่พักพิง แต่นั่นก็ไม่อาจตัดสินใจแทนเขา แม้การตระเตรียมของท่านจะไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ แต่เห็นแก่ความสัมพันธ์กับท่าน เขาย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ เช่นนั้นเขาจะไม่ใช้ทั้งชีวิตไปกับความเจ็บปวดหรือ? ข้าคิดว่าความสุขของพี่ใหญ่ชูอีจึงจะเป็นความประสงค์ของท่าน ท่านคงไม่ต้องการให้เขาลำบากใจกระมัง?”
สีหน้าของป้าหลินเต็มไปด้วยความสำนึกผิด “เป็นความผิดข้า ข้ารีบร้อนเกินไปแล้ว”
นางเหลือเวลาอยู่เพียงไม่กี่วันจึงอยากจะเห็นลูกชายที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดผู้นี้แต่งงาน เริ่มสร้างครอบครัวก่อนที่นางจะตาย เขาจะได้ไม่ต้องเหงาเพียงนั้น
ดวงตานางมองไม่เห็น ทว่าใจกลับกระจ่างแจ้ง เจ้าเด็กคนนั้นเป็นคนรอบคอบ หน้าตาอัปลักษณ์มาแต่กำเนิด คนส่วนใหญ่ล้วนไม่ยินดียกบุตรสาวให้แต่งกับเขา เมื่อครู่สตรีผู้นั้นต้องการจะแต่งให้เขา นางจึงเผลอไผลไป
“ท่านป้า…” สตรีผู้นั้นยังคิดจะกล่าวบางอย่าง
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ไม่เช่นนั้นเอาอย่างนี้เถิด หากท่านยืนกรานจะบอกว่าพี่ใหญ่ชูอีช่วยท่าน พวกเรารอดูท่าทีของพี่ใหญ่ชูอีได้ หากยังไม่พอ พวกเราก็รายงานทางการให้มาตัดสินคดีนี้”
“เพื่อเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ต้องไปรายงานทางการคงไม่ค่อยดีกระมัง?”
“จะตัดสินใจอย่างไรล้วนอยู่ในมือท่าน หากท่านคิดว่าข้าโกหกหลอกลวง เช่นนั้นก็ให้ทางการมาตรวจสอบ เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือพี่ใหญ่ชูอีที่ช่วยท่าน พวกเราล้วนไม่คิดจะให้ท่านตอบแทน แล้วเหตุใดท่านดูกังวลเพียงนี้? หากเป็นพี่ใหญ่ชูอีช่วยท่าน ท่านคิดจะทำอะไร? คงไม่ได้คิดจะอุทิศกายแทนคุณอย่างในบทละครหรอกกระมัง? แม้จะเป็นในบทละครก็ยังต้องดูว่าอีกฝ่ายยินดีหรือไม่ ท่านคิดว่าพี่ใหญ่ชูอีจะยินดีแต่งงานกับท่านหรือ?”
“เขาไม่มีภรรยา ข้าหน้าตาก็ไม่ได้ย่ำแย่ เหตุใดจักแต่งกับข้าไม่ได้?” สตรีผู้นั้นทัดปอยผมขึ้นข้างหู
“หน้าตาท่านดูไม่ย่ำแย่หรือ…” ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มน้อย ๆ “เทียบกับข้าเป็นอย่างไร?”
สตรีผู้นั้น “…”
นี่เป็นการทำให้ขายหน้าโดยสิ้นเชิง
นับตั้งแต่ลู่จื่ออวิ๋นปรากฏตัว บุรุษในระยะหลายลี้นี้ราวกับวิญญาณล่องลอย ว่ากันว่ามีอันธพาลคิดจะข่มเหงนาง อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่เขาจะทำไม่สำเร็จ ทว่ายังเสียขาไปข้างหนึ่งด้วย มีคนกล่าวว่า ลู่จื่ออวิ๋นเป็นจิ้งจอกแปลงกายมา
“แม้แต่ข้าเขายังไม่ต้องตา แล้วยังจะต้องตาท่านได้หรือ?”
ชูอีพึ่งเข้าประตูมาก็ได้ยินคำพูดนี้ สายตาจึงไปหยุดอยู่ที่ลู่จื่ออวิ๋น
เมื่อครู่ลู่จื่ออวิ๋นอยู่ที่บ้านตนเอง เพราะอากาศร้อนเกินไปนางจึงสวมใส่เสื้อผ้าบาง ๆ เสื้อที่หน้าอกนางถูกดึงลงมาเล็กน้อย เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าที่งดงาม
นางผิวเนื้อนวลเป็นยองใย ผิวด้านในเนียนละเอียดดุจน้ำนม ใบหน้าเล็ก ๆ นั่นใหญ่เพียงฝ่ามือ ริมฝีปากเป็นรูปอิงเถา ดวงตาวาวน้ำคู่นั้นราวกับเม็ดอัญมณี ยามยิ้มแย้มขึ้นมาประหนึ่งรูปดอกท้อ ล่อลวงคนโดยไม่รู้ตัว นางคือรูปลักษณ์ของความขัดแย้ง มีความบริสุทธิ์อย่างเด็กสาว มีเสน่ห์เย้ายวนอย่างหญิงสาว สิ่งสำคัญที่สุดคือ นางมีความสง่างามและความสูงศักดิ์ของกุลสตรีสกุลใหญ่ อากัปกิริยาท่าทีของนางทำให้ผู้คนหลงใหล
“พี่ใหญ่ชูอี ท่านกลับมาแล้ว” สตรีผู้นั้นเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นชูอี
นางวิ่งเข้าไปหาเขาทันที
ชูอีมองนางอย่างเย็นชา
สตรีผู้นั้นเห็นความเย็นชาบนใบหน้าเขาจึงหยุดฝีเท้าลงด้วยความกลัว
อันที่จริง…
นางค่อนข้างกลัวคนผู้นี้
ไม่ใช่เพียงเพราะรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาเท่านั้น หากแต่ยังเป็นเพราะดวงตาเย็นชาไร้อารมณ์ที่ราวกับจะรัดคอนางให้ตายในอึดใจถัดไปคู่นั้น
“พี่ใหญ่ชูอี ข้าจำได้ว่าเป็นท่านที่ช่วยข้าไว้ พี่หญิงคนนี้จะยืนกรานให้ได้ว่าเป็นนาง…”
“เป็นนาง” ชูอีเอ่ยอย่างเฉยชา
“อ๊ะ?” สตรีผู้นั้นชะงักค้าง “จะเป็นนางไปได้อย่างไร?”
“ข้าบอกว่าเป็นนางก็เป็นนาง ท่านมีเรื่องอะไร?”
“เช่นนั้นก็เอาเถิด ถึงแม้พี่หญิงผู้นี้จะช่วยข้าไว้ แต่ว่าข้าตกหลุมรักพี่ใหญ่ชูอีตั้งแต่แรกพบ ข้าอยากแต่งให้ท่าน สินสอดไม่จำเป็นต้องมากมายเพียงนั้น ห้าตำลึงเงินก็พอแล้ว จากนั้นบ้าน…”
“แม่นางท่านนี้ กลางวันแสก ๆ ก็ฝันเสียแล้วหรือ? เช่นนั้นก็กลับบ้านไปนอนเถอะ อย่าได้วิ่งโร่มาบ้านผู้อื่นรบกวนคน ท่านไม่ส่องกระจกบ้างหรือ? หรือจะกล่าวว่า กลางวันแสก ๆ ก็คิดถึงบุรุษจนเป็นบ้า ถึงได้วิ่งมายั่วยวนคนถึงในบ้านผู้อื่น?”
สตรีผู้นั้นนึกไม่ถึงว่าชูอีจะปากคอเราะรายเพียงนี้ ใบหน้าพลันเผือดสี
ขณะเดียวกันนางก็ตกใจกลัว
“ยังมีเรื่องอีกหรือไม่? หากไม่มีแล้วก็ออกไปจากที่นี่เสีย”
“ได้…”
ในที่สุดแขกที่ไม่ได้รับเชิญก็จากไปแล้ว
ป้าหลินนับว่าฟังออก เจ้าเด็กคนนั้นไม่เมตตาปรานีผู้ใดเลยจริง ๆ
โชคดีที่ลู่จื่ออวิ๋นปรากฏตัวขึ้นมาหยุดการกระทำวุ่นวายของนางได้ทันกาล ไม่เช่นนั้นหากตระเตรียมการแต่งงานที่เขาไม่ยินดีจริง ๆ ไม่รู้ว่าเขาจะโมโหเพียงใด
“ท่านป้า ข้ากลับก่อนนะเจ้าคะ” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว
“นั่งอีกประเดี๋ยวเถิด!”
“ไม่ละเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นเหลือบมองคนบางคนแวบหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “มีคนบางคนสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง หากข้ายังอยู่ที่นี่อีก เกรงว่าเขาจะทำตัวร้ายกาจเพียงนั้นกับข้าเช่นกัน”
ชูอี “…”
ป้าหลิน ‘มอง’ ไปทางชูอี “ชูอี ที่บ้านมีแขก เจ้าอย่าได้ทำให้นางกลัว”
“ข้าไม่ได้ทำ” ชูอีขมวดคิ้ว “คนผู้นั้นข้าไม่รู้จัก ข้าไม่ชอบ ถึงได้ไล่นางไป”
“เจ้าฟังสิ ชูอีไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เจ้า” ป้าหลินกล่าว “เด็กคนนั้นไม่ชอบพูด ครึ่งค่อนวันก็ไม่เอ่ยสักคำ เจ้านั่งเป็นเพื่อนข้าประเดี๋ยว เราค่อย ๆ พูดคุยกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ลู่จื่ออวิ๋นยกเก้าอี้มานั่งอยู่ใต้ชายคาบ้านกับป้าหลิน
“ปกติมักจะได้ยินเสียงของแม่นางน้อยสองคน นั่นเป็นน้องสาวท่านหรือว่าสาวใช้?”
“สาวใช้เจ้าค่ะ”
“บ้านท่านมีสาวใช้สองคน คิดว่าที่บ้านคงฐานะดีกระมัง? ได้ยินว่าท่านมีลูกแล้ว แต่ข้ากลับไม่ได้ยินเสียงเด็กเลย…”
“ลูก ๆ อยู่ที่บ้านสามีข้า ที่นั่นมีครอบครัวเขาดูแลเด็ก ๆ เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นท่านมาสถานที่ทุรกันดารห่างไกลอย่างที่นี่ได้อย่างไร?”
ลู่จื่ออวิ๋นเหลือบมองไปทางชูอีแวบหนึ่ง
คนผู้นั้นกำลังกวาดเล้าไก่อยู่ในลานบ้าน ดูเหมือนกำลังง่วนอยู่กับงานของตน แต่กลับเคลื่อนไหวเชื่องช้า เห็นได้ชัดว่าเขากำลังฟังพวกนางพูดคุยกันอยู่ทางนี้
ชูอีหันกลับไปมองลู่จื่ออวิ๋น
ผู้ที่มองแวบแรกก็งดงามอย่างนาง เหตุใดจึงปรากฏตัวในสถานที่เล็ก ๆ เช่นนี้? นางคงมาที่นี่เพื่อหาความสำราญเท่านั้น หากรู้สึกผ่อนคลายขึ้นแล้วคงกลับไปกระมัง! ได้ยินว่าคนรวยชอบสร้างจวนอยู่ในชนบท นี่จึงเป็นเหตุผล
“ข้าเพียงแค่หาที่ผ่อนคลายสักที่” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “สามีข้าจากไป ข้ารู้สึกโศกเศร้าใจจึงอยากหาสถานที่ใหม่ ๆ เพื่อทำให้ตนเองสงบ”
“สามีผู้นั้นของท่านเป็นคนโชคดี น่าเสียดายที่โชคดีไม่มากนัก พวกท่านวาสนาตื้นเขิน ถึงเดินมาได้เพียงระยะทางสั้น ๆ เหมือนข้ากับตาแก่บ้านข้า วาสนาตื้นเขินยิ่ง…”
ป้าหลินไม่ถามเรื่องของลู่จื่ออวิ๋นอีก
ถึงแม้จะมองไม่เห็นสีหน้าของคู่สนทนาแต่ก็รับรู้ได้จากน้ำเสียงของนางว่า นางรักลึกซึ้งต่อสามีมากเพียงใด ตอนนี้เป็นม่ายใหม่ ๆ ย่อมไม่อาจหลุดพ้นออกมาจากความเศร้าได้ เวลาผ่านไปนานเข้า หากไม่เริ่มชินชาก็คงจะอดทนต่อความเหงาไม่ไหว
ลู่จื่ออวิ๋นพูดคุยกับป้าหลินอยู่ครู่หนึ่ง อารมณ์ของนางเริ่มแปรปรวน
แม้จะเป็นยามที่เพิ่งพบกัน เซี่ยเฉิงจิ่นก็ไม่เคยเฉยเมยต่อนางเช่นนี้ ตอนนี้ดีนัก เขาเปลี่ยนเป็นชูอีอะไรไปแล้ว แม้กระทั่งจะพูดคุยกับเขายังยากเย็นยิ่ง
“อ๊ะ…” ลู่จื่ออวิ๋นนั่งลงยอง ๆ
“ท่านเป็นอะไรไป?” ชูอีวางของที่ถืออยู่ สาวเท้าฉับ ๆ เข้ามาอุ้มนางขึ้น