บทที่ 816 น้ำลดตอผุด
สงครามที่มองไม่เห็นนี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างหัวหมุนไปหมด หากบอกว่าฮ่องเต้อารมณ์หัวร้อนลืมหวังซวี่ไป เช่นนั้นแม่นางหันก็ลืมเยี่ยนซานจวินไปโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
นางมัวแต่ป้องกันซ่างกวานเยี่ยน ซ่างกวานชิ่งและตำหนักกั๋วกง
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ประการแรกเป็นความสะเพร่าของตน อีกสาเหตุหนึ่งก็คือเยี่ยนซานจวินมักไม่อยู่ที่เซิ่งตู ต่อให้อยู่ ก็เหมือนเขาแทบไม่มีตัวตน
แม้ว่าจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ แต่สร้างคฤหาสน์ไว้ที่เมืองชั้นนอก มีชินอ๋องที่เก่งกาจเพียงนี้ด้วยหรือ
ความตื่นตะหนกผุดวาบขึ้นในใจแม่นางหัน
เรื่องราวค่อนข้างเกินกว่าที่นางจะควบคุมได้แล้ว
หากเอ่ยว่านางสามารถใส่ร้ายซ่างกวานเยี่ยนกับตำหนักกั๋วซือว่าสมคบคิดกันได้ ก็เป็นเพราะมีพยานบุคคลที่นางเตรียมไว้ล่วงหน้า ทว่าเยี่ยนซานจวินนี้จะทำเช่นไร
เขาเป็นผู้บริสุทธิ์
ต่อให้ยามนี้นางเอ่ยประณามว่าเยี่ยนซานจวินเป็นพวกเดียวกันกับสองแม่ลูกซ่างกวาน แต่เยี่ยนซานจวินก็สามารถย้อนประณามคืนได้ว่านางกับไท่จื่อมีใจคิดทรยศ
เยี่ยนซานจวินไม่แยแสกับชื่อเสียงและความมั่งคั่ง ไม่เคยเข้าร่วมกันต่อสู้ในราชสำนัก แต่มีความสัมพันธ์อันดีกับฮ่องเต้ที่สุด และด้วยเหตุนี้ ถ้อยคำของเขาจึงยิ่งมีแรงคล้อยตามที่มากกว่า
อย่าลนลาน อย่าลนลาน…
เยี่ยนซานจวินไร้หลักฐาน หากเลวร้ายที่สุดก็แค่ทั้งสองฝ่ายต่างยืนกรานในความคิดของตัวเอง
ยังมีโอกาสที่จะชนะกลับมา
นางส่งสายตาให้ฮ่องเต้ตัวปลอม ฮ่องเต้ตัวปลอมรู้กันทันที เขาเผยสีหน้าปรีดาอย่างไม่คาดฝัน ก่อนพรูลมหายใจราวกับปลดภาระลง “เฉินเอ๋อร์เจ้ากลับมาได้เวลายิ่งนัก!”
“เฉินเอ๋อร์ก็เป็นเจ้าที่เรียกมารึ” ฮ่องเต้ถลึงตามองฮ่องเต้ตัวปลอมอย่างเย็นชา แล้วหันไปมองเยี่ยนซานจวินนิ่งๆ “เจ้าหนู พี่ชายแท้ๆ ของเจ้าคือใครคงไม่ถึงขั้นจำไม่ได้หรอกกระมัง”
“เรื่องนี้น่ะหรือ…” เยี่ยนซานจวินเกาหัวแกรกๆ
แม้ว่าจะผ่านไปสามปีแล้ว แต่ในสายตาผู้คน นิสัยของเยี่ยนซานจวินยังไม่โตเท่าใดนัก ไม่เช่นนั้นคงไม่ทิ้งบุตรสาวไว้แล้วหนีออกไปเที่ยวเล่นเป็นประจำหรอก
เขายิ้มเจื่อน “พวกท่านหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ น้ำเสียงและมาดก็คล้ายคลึงกัน ยากจะแยกแยะจริงๆ กลับเป็นไฝเม็ดนั้นที่หวังซวี่บอก…”
ฮ่องเต้ตัวปลอมเอ่ยอย่างไม่กระโตกกระตาก “เฉินเอ๋อร์ เจ้าคงไม่รู้ ไม่กี่ปีก่อนเราได้รับบาดเจ็บ บังเอิญบาดเจ็บที่ตรงนั้น ไฝเม็ดนั้นไม่มีแล้ว”
ถ้อยคำนี้รอบคอบยิ่ง หวังซวี่ไปสอนการต่อสู้ให้ซ่างกวานชิ่งเป็นเรื่องที่ผ่านมาหลายปีแล้ว ในเมื่อเป็นช่วงเวลานั้น ถ้าอย่างนั้นก็ผ่านมาเนิ่นนานมากแล้ว
ไม่กี่ปีก่อนพระองค์ได้รับบาดเจ็บ ได้รับยาฟื้นฟูชั้นเยี่ยมจากตำหนักกั๋วซือ บาดแผลรักษาจนหายเกลี้ยงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ส่วนช่วงเวลาที่เยี่ยนซานจวินสามารถเห็นไฝเม็ดนี้ ก็เป็นก่อนที่เยี่ยนซานจวินออกจากวังไปสร้างจวนด้วย หลังจากนั้น เยี่ยนซานจวินไม่ได้กลับมาอยู่วังมาสิบกว่าปีแล้ว
ฮ่องเต้ตัวปลอมถอนใจเอ่ย “เพราะบาดเจ็บตรงที่นั้น เราจึงสั่งให้หมอหลวงเงียบไว้ หากเฉินเอ๋อร์ไม่เชื่อ ก็ตามหมอหลวงเหลียงมาได้”
หมอหลวงเหลียงผู้นี้เป็นคนของแม่นางหัน ต้องสร้างหลักฐานปลอมให้เขาได้แน่!
แม่นางหันพอใจมาก
หุ่นเชิดคนนี้มีความสามารถอยู่ทีเดียว
ฮ่องเต้ตัวปลอมใช้สายตาเหน็บแนมมองฮ่องเต้ตัวจริง วางมาดเต็มที่เอ่ย “คิดไม่ถึงกระมัง ว่าไฝของเราหายไปนานแล้ว ต่อให้ไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิธีการใด จึงได้มีไฝเหมือนกันกับก้นของเราได้ ยิ่งยืนยันว่าเจ้าสวมรอยเป็นของปลอมของเราเท่านั้น!”
“เอ่อ ข้าขอขัดเดี๋ยว” เยี่ยนซานจวินยกมือขึ้น เอ่ยกับฮ่องเต้ตัวปลอม “บนก้นของเสด็จพี่ข้าเดิมทีไม่มีไฝอยู่นะ”
ฮ่องเต้ตัวปลอมชะงัก
วะ…ว่าอย่างไรนะ
ไม่มีไฝอย่างนั้นรึ
เยี่ยนซานจวินมองเขาอย่างประหลาดใจ “คำพูดเพ้อเจ้อของเด็กน้อยเจ้าก็ยังเชื่อ”
หวังซวี่ที่โดนตอกหน้าจนสะอึก “…”
ว่ากันตามตรง บนก้นของฮ่องเต้ไม่มีไฝอยู่จริงๆ ดังนั้นฮ่องเต้จึงได้โมโหอย่างไรเล่า
ซ่างกวานชิ่งเจ้าเด็กตัวแสบนั่นแต่งเรื่องได้อย่างไร
เพียงเพื่อหลบเลี่ยงการยืนขาม้าเท่านั้น พระองค์ก็ถูก ‘แต้ม’ ไฝลงบนก้นเสียแล้ว เช่นนั้นหากเจอการฝึกอย่างอื่นเข้าเล่า
พระองค์จะไม่โดน ‘แต้ม’ แผลใต้ฝ่าเท้าด้วยหรือ
เจ้าเด็กไม่เอาอ่าวนี่ แต่งเรื่องลับหลังพระองค์ไปเท่าใดแล้ว!
รอเขากลับมาก่อนเถิด พระองค์ไม่ตีเขาให้ตาย สวรรค์ก็อย่ายอมรับเลย!
เรื่องมาถึงขั้นนี้ ตราบใดที่ทุกคน ณ ที่นี้ไม่ใช่คนตาบอด หูหนวก ฮ่องเต้ตัวปลอมนั่นเผยพิรุธออกมาต่อหน้าผู้คนแล้ว
ฮ่องเต้เลี้ยงเยี่ยนซานจวินมาจนโต เขาไม่มีทางจำผิดว่าบนวรกายฮ่องเต้สุดท้ายมีไฝหรือไม่
เขาไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ฮ่องเต้ตัวปลอมกินปูนร้อนท้องจึงร้อนใจ สารภาพออกมาโดยไม่ต้องบังคับ
ไม่มีไฝอยู่แท้ๆ แต่หลงนึกว่าฮ่องเต้มี จึงได้เอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บโดยไม่คาดฝันทำไฝหายไปแล้ว ซ้ำยังหัวเราะเยาะฮ่องเต้ตัวจริงที่ทำไฝขึ้นมา
ไร้สาระทั้งเพ
นิยายยังไม่กล้าเขียนเช่นนี้เลย!
เยี่ยนซานจวินวางมาดจริงจังเอ่ย “ข้าอยากจะดูซิว่าบนก้นเจ้ามีไฝหรือไม่”
ฮ่องเต้ตรัสด้วยสีพระพักตร์ไร้อารมณ์ “เราว่าเจ้าอยากรนหาที่ตายนะ”
“เอาเถิด ท่านเป็นเสด็จพี่ของข้า” เยี่ยนซานจวินทอดมองฮ่องเต้ตัวปลอม ชี้ฮ่องเต้ตัวจริง ที่อยู่ข้างๆ พลางเอ่ย “เห็นแล้วหรือไม่ เสด็จพี่โหดกับข้ามาก ไม่ได้เมตตากรุณาอย่างที่พวกเจ้าคิด”
ฮ่องเต้ตัวปลอมเต็มไปด้วยช่องโหว่ จากนั้นก็มีเยี่ยนซานจวินมาเป็นพยาน หวังซวี่ตัดสินใจในยามวิกฤต สั่งคนจับตัวฮ่องเต้ตัวปลอมและแม่นางหันเพื่อยุติคดี!
กู้เฉิงเฟิงเหนือความคาดหมายไม่น้อย หวังซวี่ผู้นี้ดูๆ แล้วเหมือนสมองไม่ปราดเปรื่อง แต่ตอนที่ควรเด็ดขาดก็ไม่พลาดเลยแม้แต่น้อย
บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับเขากระมัง
หวังซวี่ตวาด “ราชองครักษ์ทางที่ดีพวกเจ้าอย่าได้ขัดขวาง ไม่เช่นนั้นจะลงทัณฑ์ด้วยโทษก่อกบฏ!”
ในบรรดาราชองครักษ์ มีคนลังเล
รองผู้บัญชาการหันฟู่กลับไม่อาจยอมจำนนได้
ยิ่งมาถึงขั้นนี้แล้ว ทหารใต้บัญชาการอาจละเว้นได้ แต่ทหารตำแหน่งสูงอย่างพวกเขาต้องโดนโทษตายแน่!
เขาชักกระบี่ยาวตรงบั้นเอวออกมา “คุ้มกันเหนียงเหนียงกับฝ่าบาท! ฆ่า!”
เขาออกคำสั่งออกไป เหล่าราชองครักษ์แนวหน้าก็พลันชักกระบี่ยาวล้อมแม่นางหันกับฮ่องเต้ตัวปลอมไว้ตรงกลาง
คนอื่นๆ เห็นเข้า ก็พลอยได้รับอิทธิพลไปด้วย และชักกระบี่ตาม
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ทะมึนขึ้นมา
พวกนี้ล้วนเป็นทหารของต้าเยียน เรื่องกลับใหญ่โตถึงขั้นประหัตประหารกันเอง
หวังซวี่กับรองแม่ทัพใต้บังคับบัญชาแยกกันขวางหน้าฮ่องเต้กับเยี่ยนซานจวินไว้ ก่อนจะยกมือขึ้น เอ่ยด้วยสายตาแน่วแน่ “พลธนูเตรียมพร้อม!”
ธนูถูกง้างเต็มเหนี่ยว ส่งเสียงกึดๆ ตึงเปรี๊ยะ ณ ที่นี้เต็มไปด้วยไอสังหารเข้มข้น หันฟู่ตะโกนลั่น “ฆ่า…”
หวังซวี่โบกมือ “ยิง…”
ลูกธนูออกจากสายดอกแล้วดอกเล่า พร้อมกับเสียงแหวกอากาศคมกริบ ยิงร่างของราชองครักษ์ฟุ่บๆ
ราชองครักษ์ล้มลงคนแล้วคนเล่า กรีดร้องโหยหวนประสานกัน
ส่วนทางหวังซวี่ก็ไม่ได้เป็นผู้ชนะฝ่ายเดียว ในบรรดาราชองครักษ์มีทหารเก่งกาจอยู่ไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าจะคุ้มกันกษัตริย์ตัวปลอมกับแม่นางหันออกจากตำหนักจงเหอได้อย่างราบรื่น
กู้เจียวก้าวพรวดขึ้นเหยียบภูเขาจำลอง ยืนแรงทะยานขึ้นหลังคา ก่อนเอ่ยกับพลธนูนายหนึ่งที่อยู่ข้างๆ “เอาธนูมาให้ข้า”
เจ้าเป็นใครน่ะ ไยข้าต้องให้เจ้าด้วย
พลธนูส่งธนูให้กู้เจียวแต่โดยดี
กู้เจียวมือขวาจับธนู มือซ้ายง้างสาย เล็งไปทางฮ่องเต้ตัวปลอมที่หลบหนี ก่อนจะยิงทะลุหัวใจเขาในดอกเดียว!
พลธนูที่อยู่ข้างๆ ตกตะลึง ระยะไกลเพียงนั้น มุมยากเพียงนั้น ขันทีน้อยๆ อย่างเขายิงโดนได้อย่างไร
ถึงจะเบี่ยงไปครึ่งชุ่น แต่ก็ล้วนยิงลำคอของทหารรักษาพระองค์คนนั้นของจวนแม่ทัพ!
ฮ่องเต้ตัวปลอมล้มลงบนพื้น เลือดกระเซ็นเต็มพื้น แม่นางหันตกใจส่งเสียงร้อง
“ฝ่าบาท!”
นางไม่อาจสูญเสียหมากที่ใหญ่ที่สุดไปได้!
นางย้อนกลับไปประคองเขา แต่กลับถูกหันฟู่คว้าแขนไว้
หันฟู่กัดฟันเอ่ย “กุ้ยเฟย! ไม่ทันแล้ว! รีบหนี!”
แม่นางหันเอ่ยอย่างไม่ยินยอม “แต่ฝ่าบาท…”
หันฟู่ตะโกนเสียงดัง “เขาไม่ใช่ฝ่าบาท! และช่วยเขาไม่ได้แล้ว!”
แม่นางหันตาแดงฉานทอดมองกษัตริย์ตัวปลอมล้มจมกองเลือด
นี่เป็นหมากที่นางตั้งอกตั้งใจฝึกฝนตั้งสิบกว่าปี นึกไม่ถึงว่าจะเสียหายง่ายดายเพียงนี้
นางยังไม่ทันได้ใช้เขาคุ้มเลย!
นางไม่ยอม!
นางไม่ยอม!
หันฟู่ใช้กระบี่ฟันทหารรักษาพระองค์จวนแม่ทัพนายหนึ่งบาดเจ็บ “เหนียงเหนียง! หากยังไม่ไปได้ตายอยู่ที่นี่จริงๆ แน่!”
กู้เจียวขึ้นสายธนูอีกครั้ง ง้างสายจนเต็มเหนี่ยว ชวนให้รู้สึกว่าจะขาดผึงได้ทุกเมื่อ
พลธนูที่อยู่ข้างๆ กลั้นหายใจ
ธนูส่วนใหญ่ที่พลธนูใช้จะเป็นธนูหนักหนึ่งตั้น พลธนูเทพใช้สองตั้น แต่คันนี้กลับแทบจะสามตั้น มีคนง้างได้ระดับนี้ได้อย่างไร
ต้องใช้เรี่ยวแรงเพียงใดกันหนอ
กู้เจียวเล็งแม่นางหัน
คนของตัวเองเยอะเกินไป มักจะมาบังแม่นางหันโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่บ่อยๆ
กู้เจียวหลับตาลงข้างหนึ่ง จู่ๆ ก็ยิงธนูขึ้นข้างบน
ขันทีน้อยผู้นี้ยิงไปไหนน่ะ
พลธนูทอดมองไป ก็เห็นว่าธนูดอกนั้นยิงกิ่งไม้หักอย่างเหนือคาด กิ่งก้านหักเสียงดังลั่น ตกกระแทกใส่ร่างแม่นางหันเข้าอย่างจัง
“กรี๊ดดด”
แม่นางหันร้องโหยหวน ถูกกิ่งไม้กระแทกล้มกับพื้นทั้งเป็น
“กุ้ยเฟย!” หันฟู่รับมือกับทหารรักษาพระองค์ที่ล้อมอยู่ พลางเข้าไปหาแม่นางหัน
พลธนูยามนี้ไม่ไปคิดแล้วว่าเหตุใดขันทีน้อยจึงยิงธนูเป็น เขายื่นลูกธนูให้แต่โดยดี
กู้เจียวยิงไปยังศีรษะแม่นางหัน!
เคร้ง!
ปราณกระบี่ฟาดฟันมา ทำลูกธนูที่กู้เจียวยิงออกไปหักสะบั้น
เป็นวิญญาณทมิฬ!
วิญญาณทมิฬยกกิ่งไม้บนตัวแม่นางหันออก ดึงลูกธนูสองดอกที่ปักอยู่บนศพราชองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ ออกมา หันหลังเหวี่ยงปาไปทางกู้เจียวอย่างแรง!