ตอนที่ 272 การตายของฮองเฮา
“หลางจงกรมคลัง จ้าวชิ่งอวิ๋น?” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นึกภาพไม่ออก “เขาใกล้ชิดกับขุนนางระดับสูงคนใด”
ตำแหน่งหลางจงระดับห้าคนหนึ่ง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงไม่เชื่อว่าจะมีสายอยู่ในกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินและบงการสังหารฮองเฮาซินได้
“จากที่กระหม่อมตรวจสอบ จ้าวหลางจงกับอดีตรองเจ้ากรมคลังฝ่ายซ้ายเผยจั่ว มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด” เฮ่อชิงเซียวคิดถึงผลที่เพิ่งสอบสวนได้มา ในใจก็รู้สึกเคร่งเครียด “จ้าวหลางจงรับสารภาพว่า ติดต่อกับโจวทงได้ก็เพราะการจัดการของเผยจั่ว”
ไม่นานก่อนหน้านี้ รองเจ้ากรมคลังฝ่ายซ้ายเผยจั่วโดนโทษประหารไปแล้ว ผู้ชายในตระกูลที่อายุครบสิบหกขึ้นไปล้วนถูกประหาร
นี่คือสาเหตุที่เฮ่อชิงเซียวเคร่งเครียด
จ้าวหลางจงเป็นเพียงหมากตัวเล็ก รับคำสั่งโดยตรงจากเผยจั่ว ตอนนี้เผยจั่วตายแล้ว ก็นับว่าได้ขุดปลาตัวใหญ่ออกมาได้แล้ว จะหาหลักฐานหนักแน่นอื่นก็ยากแล้ว
“เจ้าเผยจั่วตัวดี!” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตบโต๊ะ “สมควรตายจริง!”
เฮ่อชิงเซียวไม่เอ่ยอันใด
“เขาได้บอกไหมว่า เหตุใดเผยจั่วคิดสังหารฮองเฮา”
นี่คือเรื่องที่ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สนพระทัยที่สุด
เฮ่อชิงเซียวส่ายหน้า “เขาไม่รู้ เผยจั่วเป็นหัวหน้าของจ้าวหลางจง มีอำนาจรองจากเสนาบดีกรมคลังเท่านั้น สัญญาว่าหลังเสร็จงานจะส่งเสริมเขา ล่อลวงเขาเป็นพวก…”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ผิดหวังอย่างมาก
เขารู้วิธีการลงทัณฑ์ของสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ แม้แต่กระดูกเหล็กกล้ายังหักได้ หลางจงเล็กๆ ไม่มีทางทนรับไหว เฮ่อชิงเซียวบอกว่าจ้าวหลางจงไม่รู้ น่าจะไม่รู้จริงๆ ไม่ใช่ถามไม่ได้ความ
“แล้วเขารู้หรือไม่ว่าผู้ใดร่วมมือกับเผยจั่ว หรือหลังเผยจั่วตายมีคนอื่นติดต่อกับเขาอีกหรือไม่”
เฮ่อชิงเซียวทูลตอบปฏิเสธ
หากเบื้องหลังเผยจั่วมีกลุ่มอิทธิพล เห็นเผยจั่วตายไป แม้ว่ายังมีการเคลื่อนไหวหลังพบซินไต้จ้าวคล้ายดังพบองค์ชายที่ถือกำเนิดจากฮองเฮา เกรงว่าก็คงสละหมากเล็กๆ เช่นจ้าวหลางจงนี้ทิ้ง
“เผยจั่ว…” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พึมพำ หลุบตาลงตกสู่ภวังค์ความคิด “เราจำได้ว่าตอนฮองเฮาออกจากวังหลวงไป เขายังเป็นแค่ขุนนางตำแหน่งหยวนไว่หลางเล็กๆ ในกรมคลัง…”
ตอนนั้นเขายังเป็นเพียงฮ่องเต้หนุ่ม ผ่านศึกท่ามกลางสมรภูมิรบจนมาถึงช่วงเวลาปกครองแผ่นดิน ประสบการณ์สนามรบไม่อาจชดเชยความรู้ที่สั่งสมมาเพียงน้อยนิด แม้ว่าเชิญอาจารย์มีความรู้มาสอน แต่ก็ยังคงไม่เพียงพอ
ยามเผชิญหน้ากับบรรดาตระกูลใหญ่รากฐานสืบทอดร้อยปีเหล่านี้แล้วก็มักรู้สึกว่าตนเองความรู้ไม่พอ หลายเรื่องจึงอดไม่ได้ที่จะประนีประนอมอย่างไม่รู้ตัว อาทิ ยกระดับสถานะขุนนางบุ๋น อาทิ รีบให้กำเนิดทายาทให้เร็วที่สุด อาทิ…
แววพระเนตรฮ่องเต้ซิงหยวนตี้หรี่ลงยามนึกถึงสถานการณ์ขัดแย้งหนึ่งที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำส่วนลึก
เหตุการณ์นั้นเกี่ยวเนื่องกับภาษีและการปิดเส้นทางทะเล คนที่เสนอให้ปฏิรูปก็คือฮองเฮา ทว่าเพียงแค่เสนอขึ้นมา ก็ถูกคัดค้านรุนแรงจากบรรดาขุนนางใหญ่หลายคน
ตอนราชวงศ์ต้าซย่าเริ่มก่อตั้งขึ้น ซินซินเสนอแนวคิดหลายด้าน หญิงสาวครอบครองที่นาและตั้งครอบครัวเป็นเจ้าบ้านได้ก็เป็นหนึ่งในนโยบายของนาง นโยบายที่ล้มธรรมเนียมความคิดเดิมเช่นนี้ หลังผ่านการอภิปรายก็ดำเนินการราบรื่นดี แต่เรื่องภาษีและการปิดเส้นทางทะเลนั้นเพียงแค่เสนอกรอบความคิด ก็ถูกบรรดาขุนนางต่อต้านรุนแรง
ไม่นาน ซินซินก็พบเรื่องที่เขาเลี้ยงดูสตรีไว้ที่อี๋หยวน จึงหนีออกจากวังไป…
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พลันเบิกพระเนตรขึ้นมองไปทางเฮ่อชิงเซียว
เฮ่อชิงเซียวสะดุ้งในใจ
หรือว่าฮ่องเต้ทรงนึกเรื่องใดขึ้นมาได้
แต่ไรมาเขาเก็บอาการทางสีหน้าได้ดี แต่ตอนฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรมา กลับได้แต่จำต้องก้มหน้าลงเล็กน้อยและแสดงท่าทีนอบน้อมยิ่งขึ้น
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มองดูชายหนุ่มที่มีความสามารถและอนาคตไกล ก็ถอนพระปัสสาสะตรัสว่า “ชิงเซียว มีคนสองสามคนเจ้าลองไปตรวจสอบสักหน่อย รวมข้อมูลบ้านเกิดพวกเขา ลูกศิษย์และญาติสนิท เราต้องการตรวจให้ละเอียดสักหน่อย…”
ได้ยินฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสชื่อคนสองสามคน แววตาเฮ่อชิงเซียวคล้ายดังคลื่นลมกระเพื่อมไหว
คนเหล่านี้ บางคนเกษียณไปแล้ว บางคนจากไปแล้ว ยังมีบางคนที่ยังคงโลดแล่นอยู่ในราชสำนัก
จุดร่วมเดียวของพวกเขาก็คือเป็นขุนนางบุ๋น ชาติกำเนิดตระกูลใหญ่สั่งสมรากฐานมานานหลายชั่วอายุคน
ไม่ใช่เพราะเฮ่อชิงเซียวรู้เรื่องของขุนนางเก่าแก่พวกนี้กระจ่าง แต่เพราะคนเหล่านี้เป็นขุนนางเสาหลักของราชวงศ์ต้าซย่าในตอนก่อตั้งแผ่นดิน ทุกคนล้วนรู้จัก
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
ตอนเฮ่อชิงเซียวออกไป ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงกำชับอีกว่า “กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินจับคนไปทั่ว จิตใจซินไต้จ้าวน่าจะรู้สึกไม่ค่อยดี เจ้าไปดูแลสักหน่อย ปลอบใจแทนเราด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อชิงเซียวรับพระบัญชาสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ออกจากวังกลับสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือจัดการการงานเสร็จแล้ว ก็ส่งคนไปเชิญซินโย่วมาพบกันที่ร้านน้ำชา
“…ฝ่าบาททรงยอมให้ท่านมาพบข้า?” คนงานที่ยกน้ำชาเข้ามาถอยออกไปแล้ว ซินโย่วจึงได้ถามขึ้นอย่างไม่อ้อมค้อม
เจิ้นฝูสื่อกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินมาพบนางอย่างเปิดเผยในเวลาเช่นนี้ น่าจะเป็นคำสั่งของคนผู้นั้น
เฮ่อชิงเซียวพยักหน้า ไม่รอให้ซินโย่วเอ่ยถาม ก็อธิบายเป้าหมายของการจับกุมคนวันนี้
มือที่กุมแก้วน้ำชาของซินโย่วกดแรงไม่รู้ตัว “ดังนั้นจึงว่า จ้าวหลางจงก็คือตงเซิงที่สมคบคิดกับโจวทง และเขาได้รับคำสั่งจากรองเจ้ากรมคลังเผยจั่วที่โดนลงโทษไปแล้ว?”
กังวลว่าซินโย่วจะดื้อรั้นคิดหาทางต่อ คำพูดเฮ่อชิงเซียวจึงแฝงนัยตักเตือนและปลอบใจ “ฝ่าบาททรงรู้เรื่องนี้แล้ว รับสั่งให้ข้าตรวจสอบขุนนางเก่าแก่หลายคน เบาะแสจะไม่ถูกตัดตอนเพราะการตายของเผยจั่ว ขอเพียงเคยกระทำ ย่อมต้องทิ้งร่องรอยไว้”
อย่างน้อยก็ตราประทับคำว่า ‘จวิน’ ยังสืบต่อได้
ซินโย่วมองลึกเข้าไปในดวงตาที่แอบซ่อนความห่วงใย นางรู้สึกทั้งสงสารและนึกขำ
การที่นางเตรียมการลอบสังหารและตายตกไปด้วยกันครั้งนั้น คล้ายฝากเงาดำไว้ในใจของเขา
“ใต้เท้าเฮ่อวางใจ ข้าจะไม่วู่วาม แม้ว่าการตายของเผยจั่วทำให้การตรวจสอบจากนี้ยุ่งยาก แต่อย่างน้อยเขาก็ได้รับโทษที่ควรได้รับแล้ว”
ปฏิกิริยาซินโย่วทำให้เฮ่อชิงเซียววางใจ
“เหตุใดฝ่าบาทต้องตรวจสอบขุนนางเหล่านั้นด้วย ยังตรวจสอบหลายคนอีกด้วย?”
“ฝ่าบาทไม่ได้ตรัสกระจ่าง”
ซินโย่วครุ่นคิดครู่หนึ่งก็มองเฮ่อชิงเซียว “เช่นนั้นใต้เท้าเฮ่อมีความเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้”
เรื่องที่เฮ่อชิงเซียวไม่มั่นใจ เขาจะไม่กล่าวออกมาง่ายๆ แต่พอถูกซินโย่วถามก็ไม่อาจปิดบังนาง
“ตรวจสอบจนถึงตอนนี้ รวมกับรับสั่งฝ่าบาทให้ข้าตรวจสอบขุนนางเก่าแก่หลายคน ข้าก็คาดเดาได้เรื่องหนึ่ง”
“ใต้เท้าเฮ่อโปรดเอ่ย”
เฮ่อชิงเซียวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “การตายของฮองเฮา กู้ชางป๋อช่วยองค์ชายรองชิงตำแหน่งเป็นเพียงภายนอก สาเหตุแท้จริงอาจจะเป็นความแค้นส่วนตัว และเกี่ยวพันถึงรากฐานกลุ่มอิทธิพลบางกลุ่ม หรืออาจเกี่ยวกับความขัดแย้งเรื่องนโยบายปกครอง…”
ถึงกับเรื่องที่ฮองเฮาซินไปจากวังหลวง ก็อาจเป็นกลุ่มอิทธิพลนี้อาศัยมือพระสนมซูเฟย ก็เหมือนตอนนี้ที่อาศัยมือกู้ชางป๋อสังหารฮองเฮาซิน
ซินโย่วแอบคิดเงียบๆ พลางกัดริมฝีปากแน่น
ถึงกับเป็นเช่นนี้?
นางอดนึกถึงเรื่องที่ท่านแม่เอ่ยกับนางถึงเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านไม่ได้
ตอนนั้นนางกับท่านแม่ไหนเลยจะนึกถึงว่า ความคิดและแนวทางเพื่อแผ่นดินและประชาจะนำภัยถึงตายมาสู่ตัวได้เช่นนี้
ถึงกับเป็นเช่นนี้…
“คุณหนูโค่ว…” ชายตรงหน้าส่งเสียงเรียกเบาๆ
ซินโย่วรู้สึกงุนงง
ตอนนี้นางเป็นซินไต้จ้าว แต่ไรมาใต้เท้าเฮ่อรอบคอบ เหตุใดจึงได้ส่งเสียงเรียกผิดได้
เฮ่อชิงเซียวไม่ได้สนใจตนเองที่หลุดเรียกขานผิดออกมา แต่สายตามองไปที่ริมฝีปากนาง
ซินโย่วรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวโลหิตรางๆ เอียงหน้าไปก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมุมปาก ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเปื้อนโลหิตสีแดงสดกระทบนัยน์ตา
ความเจ็บปวดนี้สำหรับนางแล้วไม่กระไรนัก เดิมคิดจะกลับไปคุยเรื่องสำคัญต่อ แต่เห็นความเจ็บปวดจากแววตาที่เขาไม่ทันได้ปิดบัง คำพูดนั้นก็ย่อมเอ่ยออกมา “เรียกข้าว่าคุณหนูซินได้”
เฮ่อชิงเซียวพลันตกตะลึง