ตอนที่ 491 ลงทุน
หงโต้วมองหลินเถิงด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์
แม้ว่าชายหนุ่มร่างสูงโปร่งจะดูซื่อบื้อเล็กน้อยเนื่องจากสีหน้าที่งงงัน แต่ใบหน้าของเขายังคงโดดเด่น
สาวใช้ต้องประหลาดใจเมื่อค้นพบบางสิ่ง เอ๋ หากดูแค่รูปร่างหน้าตาแล้ว คุณชายใหญ่หลินเป็นนายบำเรอของคุณหนูก็ถือว่าพอผ่านเกณฑ์
สือเยี่ยนที่ตามออกมาพบว่าหงโต้วสีหน้าเปลี่ยนก็รีบกระแอมขึ้น
หลินเถิงดึงสติกลับมาได้เพราะเสียงกระแอมนี้ เขามองไปด้วยสัญชาติญาณ
สือเยี่ยนยิ้มให้หลินเถิงแล้วตบหงโต้วไปทีหนึ่ง พูดอย่างแฝงความหมายว่า “พี่หงโต้ว เจ้าอย่าพูดซี้ซั้ว คุณหนูของเราขาดแคลนบุรุษหรือ ข้านับให้เจ้าดูนะ ฟู่เสวี่ย หมิงจู๋ เฟยหยาง หลิงเซียว สี่คนเล่นไพ่นกกระจอกได้หนึ่งโต๊ะพอดี หากมีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งก็คงทำได้เพียงยืนมองเฉยๆ แล้ว”
หงโต้วกลอกตาใส่สือเยี่ยน พูดอย่างดูแคลนว่า “อย่ากังวลไปเลย ใช่ว่าคุณหนูของเราจะเลี้ยงไม่ได้เสียหน่อย คนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนก็จัดสองโต๊ะสิ”
สือเยี่ยน “…”
ไม่ได้ เขารู้สึกเหลวไหลไปหมด เข้าไปกินข้าวดีกว่า
หงโต้วเห็นว่าสือเยี่ยนเข้าไปแล้วจึงตามเข้าไปบ้าง
เดิมทีได้ยินเจ้าสือซานหั่วบอกว่าคุณชายใหญ่หลินอาจจะคิดเอาใจคุณหนูเพื่อจะได้กินข้าวไม่เสียเงิน นางจึงออกมาดู ในเมื่อแค่อยากเป็นนายบำเรอ หน้าตาก็พอผ่าน นางย่อมสนับสนุนคุณหนูสิ
สือเยี่ยนโมโหมาก
เขาโน้มน้าวให้หงโต้วออกไปเพื่อให้คุณชายใหญ่หลินยอมแพ้ สุดท้ายพี่หญิงคนนี้กลับบอกว่าตำแหน่งนายบำเรอของคุณหนูลั่วยังมีที่ว่าง นี่มันยิ่งช่วยยิ่งแย่ชัดๆ!
นอกหอสุรา หลินเถิงที่เข้าใจคำพูดน่าตกใจของหงโต้วนั่นก็รู้สึกวิตกเล็กน้อย “คุณหนูลั่ว ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น…”
“ข้ารู้” ลั่วเซิงพูดแทรกหลินเถิงที่กำลังอธิบาย รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย
คุณหนูลั่วจะเหลวไหลอย่างไรก็ไม่ฉุดข้าราชการราชสำนักมาเป็นนายบำเรอหรอก คนพวกนี้คิดอะไรกันอยู่
ขณะที่ครุ่นคิดเช่นนี้ จู่ๆ นางก็คิดถึงเว่ยหาน
อ้อ เหมือนกับว่าจะโทษว่าผู้อื่นคิดมากไม่ได้ ถึงอย่างไรในสายตาของทุกคน ครานั้นคุณหนูลั่วก็เกือบจะฉุดไคหยางอ๋องแล้ว…
เมื่อคิดถึงชายที่มักจะสวมชุดสีแดงเข้ม ลั่วเซิงก็เหม่อลอยไปชั่วขณะ
หลินเถิงสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่าลั่วเซิงเหม่อลอย ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกแน่นหน้าอกเล็กน้อย
เขาไม่อาจอธิบายสาเหตุของความรู้สึกกะทันหันนี้ได้จึงตัดสินใจเพิกเฉยมัน
ถึงอย่างไรเทียบกับความไม่สบายเล็กน้อยที่จู่โจมกะทันหัน เขาก็ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมากมาย
หลินเถิงทำหน้าจริงจัง พูดว่า “คุณหนูลั่วช่วยข้าเช่นนี้ ต่อไปหากมีอะไรให้ช่วยเหลือ หลินเถิงจะช่วยเหลือเต็มที่”
ลั่วเซิงยิ้ม “ใต้เท้าหลินไม่ต้องรู้สึกติดหนี้บุณคุณข้า ข้าทำเรื่องนี้ไม่ใช่เพราะใต้เท้าหลิน ข้าแค่สงสารสตรีเหล่านั้นจึงพยายามอย่างเต็มที่ตามความสามารถของข้า”
หลินเถิงได้ยินดังนั้นก็คำนับลั่วเซิงอย่างลึกซึ้ง “ไม่ว่าเพื่ออะไร สิ่งที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ข้าขอขอบคุณคุณหนูลั่วแทนสตรีเหล่านั้น พรุ่งนี้จะส่งบัญชีรายชื่ออีกชุดหนึ่งมาให้คุณหนูลั่ว”
“ได้ ข้าจะรอบัญชีรายชื่อของใต้เท้าหลิน”
“คุณหนูลั่ว ขอตัวก่อน” หลินเถิงเดินสาวเท้าไปข้างหน้า
ค่ำคืนที่มืดมิด แต่ก็มีแสงสว่างส่องทางข้างหน้าเสมอ
เช้าวันต่อมา ลั่วเซิงได้รับบัญชีรายชื่อจากเจ้าหน้าที่ที่หลินเถิงส่งมา นางสั่งโค่วเอ๋อร์เตรียมการทันที
หลินเถิงไปกรมครัวเรือนอีกครา
ซุนซื่อหลางได้ยินว่าหลินเถิงขอเข้าพบก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
ชื่อเสียงของหลินเถิงเขารู้จักดี ลูกน้องคนโปรดของเสนบาดีจ้าวมาหาเขาที่กรมครัวเรือนทำไมนะ
เมื่อรู้ว่าหลินเถิงมีชื่อเสียงได้อย่างไร ซุนซื่อหลางก็พึมพำตามสัญชาตญาณ แต่ก็ยังคงออกไปพบอีกฝ่าย
“ใต้เท้าหลินหาข้ามีธุระอันใดหรือ”
ซุนซื่อหลางจิบน้ำชาคำหนึ่งด้วยสีหน้าราบเรียบ “ใต้เท้าหลินพูดมาเถอะ”
สืบสวนคดีมาจนถึงกรมครัวเรือน?
หลินเถิงเจ้าคนนี้เหมือนที่ลือกันจริงๆ สืบสวนคดีขึ้นมาแม้แต่หลักธรรมนองคลองธรรมก็ไม่สนใจ
หลินเถิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “ไม่ทราบว่าช่วงนี้มีคนมาขอดูทะเบียนราษฎรจากใต้เท้าซุนหรือไม่”
ซุนซื่อหลางแววตาเปลี่ยนเล็กน้อย น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน “ใต้เท้าหลินหมายความว่าอย่างไร”
หลินเถิงพูดด้วยความสงบว่า “แค่ลองถามเพื่อสืบสวนคดี ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่นขอรับ”
ซุนซื่อหลางหัวเราะเบาๆ “ใต้เท้าหลินล้อเล่นแล้ว ทะเบียนราษฎรเหล่านี้กรมครัวเรือนเป็นผู้ดูแล จะให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องดูได้อย่างไร”
หลินเถิงเม้มปากเบาๆ
ซุนซื่อหลางไม่ได้พูดความจริง
เมื่อวานเสมียนที่สนิทกับเขาบอกว่าเมื่อไม่นานมานี้ซุนซื่อหลางเพิ่งนำทะเบียนราษฎรไป คงไม่ใช่เพราะว่างและเบื่อหน่ายเกินไปจึงดูทะเบียนราษฎรฆ่าเวลาหรอกนะ
สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือมีคนมาขอยืมเขาและสถานะของผู้ขอยืมย่อมไม่ต่ำ
ส่วนคดีหายตัวจะข้องเกี่ยวกับซุนซื่อหลางหรือไม่ หลินเถิงคิดว่ามีความเป็นไปได้น้อย
หากซุนซื่อหลางเป็นผู้กระทำจริงๆ เขาคงไม่มาสั่งงานง่ายๆ แบบนี้ กรมครัวเรือนคือถิ่นของซุนซื่อหลาง เขาสามารถกระทำอย่างปกปิดได้มากกว่านี้
จากนั้นก็ฟังซุนซื่อหลางพูดหลีกเลี่ยง หลินเถิงรู้แก่ใจว่าการมาเข้าพบครานี้คงไม่ได้คำตอบอะไรแล้วจึงกล่าวลา
เมื่อกลับถึงกรมยุติธรรม หลินเถิงก็ไปขอความช่วยเหลือจากเสนาบดีจ้าวทันที
เสนาบดีจ้าวรำคาญจนดึงเคราตนเอง “เจ้านี่รู้จักแต่หาเรื่องให้ข้า!”
หลินเถิงพูดเยินยอด้วยสีหน้าดังเดิม “สิ่งที่ข้าน้อยทำไม่ได้ มีเพียงใต้เท้าที่ทำได้”
เสนาบดีจ้าวกระตุกมุมปาก
คำชมที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ ไม่มีความจริงใจเอาเสียเลย!
นึกถึงปัญหาเละเทะที่เคยเก็บกวาด เสนาบดีจ้าวก็รู้สึกระทมขมขื่น
“ไปยุ่งเรื่องอื่นเถอะ เรื่องซุนซื่อหลางข้าจะลองดู” เสนาบดีจ้าวไล่หลินเถิงออกไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก
กรมยุติธรรมและกรมครัวเรือนห่างกันไม่ไกล เมื่อใกล้เลิกงานเสนาบดีจ้าวก็ส่งคนไปแอบเฝ้าดู ทันทีที่เห็นซุนซื่อหลางเดินออกมาก็แกล้งทำเป็นเจอโดยบังเอิญ
“ใต้เท้าซุนเพิ่งเลิกงานหรือ” เสนาบดีจ้าวยิ้มทักทาย
ซุนซื่อหลางมองเสนาบดีจ้าวอย่างระแวดระวัง
คนเจ้าเล่ห์นี่คิดจะทำอะไรนะ
“การเชื้อเชิญหรือจะสู้การพบเจอโดยบังเอิญ ถึงเวลากินข้าวเย็นพอดี ให้ข้าเลี้ยงสุราใต้เท้าซุนเถอะ”
ดื่มสุรา?
นึกถึงหลินเถิงที่มากรมครัวเรือนวันนี้ ปฏิกิริยาแรกของซุนซื่อหลางคือปฏิเสธ
เพื่อสุรามื้อหนึ่งนำพามาซึ่งปัญหา ไม่คุ้มหรอก
“ไปมีหอสุราเป็นอย่างไร”
“ได้!” ซุนซื่อหลางยังไม่ทันพิจารณาเสร็จ ปากก็ชิงตอบก่อนแล้ว
ซุนซื่อหลางยกมือขึ้นอยากจะตบปากตนเอง แต่ก็ทำไม่ลง
ต้องเก็บปากไว้ดื่มสุรา
บนถนนชิงซิ่งยังคงคึกคักเช่นเดิม ธงสุราสีเขียวหน้าประตูหอสุราพลิ้วไหวตามสายลม
เสนาบดีจ้าวเดินเข้าไปในหอสุราพร้อมกับซุนซื่อหลางและเข้าไปในห้องส่วนตัว
เมื่อคิดในใจเงียบๆ ว่าซุนซื่อหลางจะกินเงินส่วนตัวทั้งหมดของตนเองไป มิหนำซ้ำยังต้องค้างเงินไว้ เสนาบดีจ้าวก็กัดฟัน เขาต้องถามเรื่องที่หลินเถิงอยากรู้ให้ได้
ลงทุนไปขนาดนี้ เจ้าคนตะกละนี่หากกล้าเล่นตุกติก ตนจะฆ่าเขาเสีย!
เมื่อเผชิญกับแววตาสังหารของเสนาบดีจ้าว ซุนซื่อหลางทั้งนึกเสียใจและพึงพอใจ
สิ่งที่นึกเสียใจคือเขาควบคุมปากตนเองไม่ได้ ที่จริงแล้วเขาไม่ควรมาเลย
สิ่งที่พึงพอใจก็คือปากนี้เช่นกัน เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ได้กินจนหนังท้องตึงอย่างสบายใจในมีหอสุรา
ซุนซื่อหลางถอนหายใจอย่างยากลำบาก “ใต้เท้าจ้าว เรื่องนี้ข้าแนะนำท่านอย่าถามมากเลย พูดยากจริงๆ”
“พูดยากหรือ” เสนาบดีจ้าวหรี่ตาลง จับกาสุรา
ซุนซื่อหลางหัวใจสั่นไหว พูดเสียงเบาว่า “เกี่ยวข้องกับท่านนี้”
เขาจุ่มมือลงในน้ำชาแล้วรีบเขียนคำๆ หนึ่งลงบนโต๊ะ